บทที่ 137

พวกทหารทำตามคำสั่งอย่างไม่เถียงสักคำ พวกเขาควบม้าพุ่งทะยานเข้ามาในหมู่บ้าน เหยียบชาวบ้านในนั้นจนล้มตายกันไปมาก ก่อนที่พวกผู้ชายจะถูกสังหารจนหมดสิ้น ส่วนผู้หญิง ถังหยินก็สั่งให้ทหารสามารถจัดการกับพวกนางที่เหลืออยู่ได้ตามใจชอบจนกว่าจะพอใจ

ชายหนุ่มนั้นไม่สนใจเรื่องกฎระเบียบกองทัพอยู่แล้ว ตราบเท่าที่ทหารของเขาจะยังทำหน้าที่ได้ตามเดิมเขาก็อนุญาตทั้งนั้น นี่จึงทำให้ทหารมากมายอยากติดตามรับใช้เขา

เมื่อเสร็จเรื่องตรงนี้ เขาก็เดินไปที่บ้านหลังใหญ่โดยมีพี่น้องฉางกวงที่ตามเข้าไปด้วยเพื่อตรวจสอบว่าไม่มีใครอยู่

เมื่อดูทั่วจนแน่ใจแล้ว พวกเขาก็เดินเข้าไปที่เตาผิงแล้วนั่งผิงไฟอยู่ในนั้น “พวกเจ้าจะไปหาอะไรกินก่อนก็ได้นะ”

“น้อมรับบัญชา !” สองพี่น้องรับคำสั่งแล้วเดินไปยังห้องครัว

ด้วยไม่อยากเสียเวลาเปล่า ชายหนุ่มจึงหยิบแผนที่ออกมาแล้ววางมันลงบนพื้น

ทันใดนั้นหลีเทียนก็เดินเข้ามาแล้วรีบเข้ามาผิงไฟข้าง ๆ เขา

รอบ ๆ เมืองเบสซ่าต่างจากแคว้นเฟิงมาก จึงทำให้ทั้ง 3 ทิศที่ประกอบไปด้วย ทิศเหนือ ทิศตะวันตกเฉียงใต้ และทิศตะวันออกเฉียงใต้นั้นล้วนแล้วแต่มีปราสาทอยู่โดยรอบ ทำหน้าที่เป็นกำแพงป้องกันของพวกมอร์ฟีส

“เจ้าคิดว่ามีทหารป้องกันในเบสซ่าเท่าไหร่ ?” ชายหนุ่มถามขึ้นโดยไม่มองรอบข้าง

“น้อยกว่า 1 หมื่นแน่นอนขอรับ”

“น้อยขนาดนั้นเชียว ?”

“อันที่จริงต้องบอกว่า 1 หมื่นก็ยังมากไปอยู่ดีนะขอรับ เพราะครั้งนี้พวกเขานำทหาร 2 แสนนายจากทั่วทั้งรัฐเพื่อไปถอนรากถอนโคนพวกเราให้ราบคาบ ดังนั้นถึงแม้ว่าแผนของนายท่านจะอันตรายไปหน่อย หากแต่ก็มีโอกาสที่จะสำเร็จสูงทีเดียว” หลีเทียนตอบกลับอย่างจริงจัง “ทันทีที่พวกเราไปถึงเมืองเบสซ่า ท่านจะทำเช่นไรต่อ ?”

ถังหยินโบกมือ “ในเมื่อไม่มีศัตรูมากนัก งั้นก็ไม่ต้องสนใจปราสาทพวกนั้นก็ได้ พวกเราจะเข้าโจมตีเมืองหลวงและตรงไปยังวังของพวกมันเสีย ข้าเองก็อยากจะเจอหน้ากับราชาของพวกมันเหมือนกัน”

หลีเทียนไม่มีปัญหาอะไรกับแผนนี้อยู่แล้ว เพราะถ้าว่ากันด้วยความแข็งแกร่ง ถังหยินนั้นก็นับได้ว่าไม่เป็นสองรองใคร !

เมื่อพวกเขาหยุดคุยแล้ว ห้องก็ดูจะเงียบลง หากแต่มันก็ได้เสียงกรีดร้องอย่างทรมานของหญิงสาวดังเข้ามาให้ได้ยินจนหลีเทียนต้องพูดขึ้น “นายท่าน พวกทหารกำลังข่มขืนผู้หญิงในหมู่บ้านอยู่ นายท่านควรจะ…”

“ถ้าเจ้าอยากก็ไปทำสิ ข้าไม่คาดโทษพวกเจ้าหรอก” ถังหยินยักไหล่ เพราะอย่างที่ได้บอกไป ว่าชายหนุ่มไม่สนใจหรอกว่าทหารของเขาจะทำอะไร ถ้าพวกเขาข่มขืนผู้คนหรือปล้นชิงฆ่าเด็กแล้วมันทำให้การรบของพวกเขาดีขึ้น ถังหยินก็ไม่มีปัญหาอะไร

หลีเทียนไอกระแอมออกมาทันที “แค่ก แค่ก… ข้าคิดว่าไม่…”

ถังหยินเก็บแผนที่ไว้แล้วมองหน้าหลีเทียน “ข้านั้นไม่คิดว่าสิ่งที่พวกเขาทำมันผิด ก็ในเมื่อพวกเขาทำหน้าที่ได้ดีในสนามรบ แล้วงั้นข้าจะห้ามไปทำไมกัน ? สู้ให้พวกเขาได้เสพสุขไปก่อนจะดีกว่า”

นี่แหละคือถังหยิน ชายผู้โฉดชั่วช้าและสารเลวที่สุดเท่าที่โลกนี้จะมีมา เขาเป็นคนที่จิตใจเหี้ยมโหดและไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใดทั้งนั้น “ในสนามรบน่ะไม่มีใครเดาอะไรได้หรอก ดังนั้นข้าจึงอยากให้พวกเขาได้เสพสุขกันให้เต็มที่ก่อนที่พวกเขาจะทิ้งชีวิตในสนามรบ”

เขาเดินออกไปมองนอกหน้าต่างแล้วพึมพำ “คืนนี้ที่นี่น่าจะปลอดภัยที่สุดแล้วล่ะ หลีเทียน เจ้าเองก็ไปหาสาวสักคนสิ”

หลีเทียนยิ้มแห้ง ๆ แล้วส่ายหัว “ไม่ล่ะขอรับ ว่าแต่ท่านเถอะ ท่านไม่สนใจพวกต่างแดนเช่นนี้บ้างหรือ? ”

ถังหยินหัวเราะเบา ๆ “ไม่ล่ะ ข้าไม่ชอบใช้ของต่อจากคนอื่น”

กองทัพเฟิงจะไม่กินอาหารพวกต่างแดนเลย เขาจะกินแต่เสบียงที่ตัวเองเอามาเท่านั้น

คืนนั้นกองทัพเฟิงแบ่งห้องนอนกันในบ้านพวกมอร์ฟีส ในขณะที่บางคนก็จับกลุ่มกันนอนตรงลานกว้าง กางค่ายนอนกัน

ถังหยินเดินรอบหมู่บ้านโดยที่มีพี่น้องฉางกวงและหลีเทียนตามมาติด ๆ

“ข้าได้ยินว่าพวกหนิงยึดประตูตงได้แล้วงั้นหรือ ?” หลีเทียนถาม

“ถูกต้อง” ถังหยินปวดหัวทุกครั้งที่คิดถึงเมืองหลวง ถ้าหากเหลียงฉีได้รับหน้าที่ให้ป้องกันที่นั่นมันคงไม่เกิดเรื่องแบบนี้แน่

“ถ้างั้น ท่านจะทำอย่างไรต่อ ?” หลีเทียนถาม

“ข้าทำอะไรได้เล่า ? อยู่ในที่ห่างไกลแบบนี้ พวกเราทำอะไรไม่ได้หรอก อีกอย่างพวกเราเองก็มีภัยอย่างพวกมอร์ฟีสอยู่ด้วย ดังนั้นคงต้องรอดูไปกันก่อนนั่นแหละ” ถังหยินพูดอย่างสิ้นหวัง

หลีเทียนกล่าวต่อ “กองทัพพวกหนิงมีหลายแสนนาย แคว้นเฟิงคงต้านมันได้ยากนัก และไม่มีทางที่พวกเราจะรวบรวมกองทัพมาขับไล่มันได้ทัน หากแต่ถ้าเกิดเมืองหยานถูกยึดละก็ งั้นแล้วพวกหนิงก็คงมุ่งหน้ามาหาเราต่อ และเขตของเราก็คง…”

ถังหยินโบกมือตัดบทด้วยความรำคาญ “ยังไม่ต้องรีบคิดมากหรอก สิ่งสำคัญของตอนนี้คือเราต้องหาทางขับไล่พวกต่างแดนนี้ให้ได้ก่อน”

หลีเทียนไม่คิดเช่นนั้น เพราะถ้าหากแคว้นเฟิงถูกทำลายไปแล้ว การกำจัดพวกเบสซ่าก็คงจะไม่มีความหมาย “ไม่ว่าจะเป็นยังไง นายท่านก็ต้องรีบจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้เขตปิงหยวนต้องระส่ำระสายมากกว่านี้นะขอรับ“

ถังหยินกะพริบตา ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป

วันต่อมา

ระหว่างที่พวกเขากำลังจะออกจากหมู่บ้าน กองทัพเฟิงก็หมายจะเผาที่นี่ทิ้ง หากแต่ถังหยินได้ห้ามเอาไว้ เพราะจากคำบอกเล่าของหลีเทียน เมืองเบสซ่าอยู่ไม่ห่างจากที่นี่มากนัก ถ้าหากเผาแล้วพวกมันอาจจะรู้ตัวได้ และอีกอย่างคือชายหนุ่มนั้นอยากจะใช้ที่นี่ ไว้เป็นจุดพักในขณะที่ยกทัพกลับด้วย

การเดินทางครานี้โหดร้ายนัก แต่ด้วยเสบียงที่มี จึงทำให้พวกเขาไม่ต้องหวั่นเกรงเรื่องปากท้องมากเท่าไหร่ และก็ต้องขอบคุณเสื้อหนังสัตว์ที่ได้มา ที่ช่วยให้พวกเขาอบอุ่นกันมากกว่าเดิม แถมยังทำให้ดูเหมือนพวกมอร์ฟีสเข้าไปทุกที

หมู่บ้านนี้อยู่ไม่ไกลจากเมืองเบสซ่าจริงเสียด้วย เพียงการเดินทางสักเล็กน้อยพวกเขาก็มาถึงเมืองใหญ่ของพวกมันแล้ว

นั่นคือเมืองเบสซ่า

หลังจากใช้เวลาเดินทางเป็นเวลา 6 วันเต็ม ๆ พวกเขาก็เห็นเมืองเบสซ่าประจักษ์อยู่ตรงหน้า ทำให้พวกทหารเฟิงตื่นเต้นขึ้นมา

แต่เพื่อเตรียมความพร้อม ถังหยินจึงได้สั่งให้พวกเขากลับไปพักผ่อนในป่ากันเป็นเวลา 2 ชั่วยาม

ในช่วงเวลานี้ เหล่าทหารเฟิงต่างก็ได้พักผ่อนกันอย่างเต็มที่ พวกเขาพากันลงจากม้ามาเพื่อนอนหลับเอาแรงกัน

ส่วนถังหยินนั้น เขาเดินมาที่ริมป่าก่อนปีนขึ้นไปบนยอดไม้เพื่อมองไปยังเมืองอันเป็นเป้าหมาย

ไม่รู้ว่าเพราะระยะทางมันห่างหรือว่าอะไร ที่ทำให้ถังหยินรู้สึกว่าเมืองเบสซ่านั้นดูใหญ่เทียบเท่าเมืองหยานของแคว้นเฟิงเลยทีเดียว

2 ชั่วยามผ่านไป เป็นเวลาเที่ยงวันพอดี ถังหยินจึงสั่งให้พวกเขากินอาหารให้เต็มที่ก่อนที่จะเตรียมตัวออกรบ

พลทหารเฟิงภายใต้สังกัดของถังหยินในตอนนี้นั้น พวกเขาแทบจะไม่มีความเป็นกองทหารอยู่เลย เห็นได้จากการเคลื่อนทัพที่ไร้รูปแบบต่างคนต่างมุ่งหน้าไปตามใจตัวเอง

และเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว พวกเขาก็พากันสูดลมหายใจเข้าลึก พร้อมกับรอคอยคำสั่งให้ออกรบ

ถังหยินหันหน้าไปตรวจสอบเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อเห็นว่าพวกเขาพร้อมแล้วจึงได้กล่าวออกมา “โจมตีได้ !”

ทหารม้า 4 พันนายพุ่งออกจากป่าราวกับคลื่นซัดที่โถมเข้าใส่เมืองเบสซ่า

เมืองนี้เป็นดั่งเมืองหลวงของพวกเบสซ่าและเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของพวกมันด้วย ดังนั้นถึงจะไม่มีประชากรมากมาย แต่ก็มีชีวิตชีวามาก

ด้วยความที่พวกเบสซ่านั้นไม่เคยคิดไม่เคยฝันมาก่อนว่าจะโดนพวกเฟิงเข้ามาบุกแบบนี้ จึงทำให้พวกเฟิงเข้ามาใกล้ถึง 1 ลี้แล้วก่อนที่พวกต่างแดนจะรู้ตัว

พวกทหารยามพยายามยกสะพานเมืองขึ้นปิด แต่ทว่าบนนั้นกลับเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมากทำให้ไม่อาจดึงมันขึ้นมาปิดได้ทันเวลา

จากระยะนี้ มองเห็นได้เลยว่าที่หน้าประตูเต็มไปด้วยความปั่นป่วนขนาดไหน ดังนั้นชายหนุ่มจึงเร่งกำลังม้าแล้วร้องตะโกนออกไปว่า “เกาทัณฑ์ยิงได้ !”

พวกทหารเฟิงพากันชักธนูออกมา ก่อนจะยิงมันออกไปปลิดชีพทหารบนกำแพงเมืองทีละนาย