เพียงพริบตาเดียวทหารมอร์ฟีสรวมไปถึงชาวเบสซ่าบริเวณนั้นก็ล้มตายกันเป็นจำนวนมาก

ทว่านี่มันก็เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะหลังจากนี้การจู่โจมหลัก และเสริมกำลังจะมีเข้ามาอีกมาก ลูกธนูมากมายทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เปลี่ยนพวกต่างแดนให้กลายเป็นซากศพไร้ชีวิตในพริบตา

เมื่อเห็นว่าถังหยินกำลังพุ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว หัวหน้าทหารยามก็สั่งฆ่าประชาชนทั้งหมดบนสะพานเพื่อให้ประตูปิดขึ้นมาได้ …ทว่ามันก็สายเกินไปเสียแล้ว

เพราะทันทีที่ชายหนุ่มเห็นแบบนี้ เขาก็พลันควบม้าให้เร็วกว่าเดิม และอาศัยจังหวะที่กำลังข้ามคูเมือง ทำการกระตุกให้ม้าของตัวเองกระโดดข้ามมันไป พร้อมทั้งชักดาบออกมาเตรียมพร้อมไว้

ฟุ่บ !

ลู่อิงใช้ขาทั้ง 4 กระแทกพื้นและเหินฟ้าขึ้นไปด้วยความบ้าบิ่น ทำให้ไม่เพียงแค่จะข้ามคูน้ำได้ แต่ทั้งมันและผู้เป็นนายที่ขี่อยู่ก็ข้ามไปยังสะพานเมืองได้สำเร็จ

เมื่อได้โอกาศ ถังหยินก็พลันเหวี่ยงเคียวสะบัดตัดโซ่ตรึงสะพานอย่างฉับไว เพื่อบังคับให้มันเปิดลงมาเป็นการถาวร

ทันทีที่ชายหนุ่มทำการเปิดทางให้เรียบร้อยแล้ว เขาก็ยังไม่หยุดแค่นี้ ทำการพุ่งทะยานกวาดเคียวไล่ล้างพวกมอร์ฟีสไม่เลือกหน้าต่อในทันที !

ผู้คนมากมายพากันหนีตาย หากแต่ก็ไม่อาจหนีรอดได้สักคน เพราะจำนวนคนที่หนาแน่นเกินไป

ถังหยินไม่คิดอยากเสียเวลามากนัก เขาจึงยกมือข้างที่ไม่ถือเคียวขึ้นมา ทำการเรียกหมอกสีดำแล้วควบรวมให้มันกลายเป็นก้อนพลังสีเดียวกัน ก่อนจะสะบัดมือปลดปล่อยลูกบอลนี้เข้าใส่พวกมอร์ฟีส

ทันทีที่ลูกบอลสีดำสัมผัสเข้ากับชาวเมือง ร่างของคนผู้นั้นก็พลันถูกเคลือบด้วยพลังงานประหลาด ก่อนที่จะบวมขึ้นและระเบิดออกเป็นเศษเนื้อ

เลือดและชิ้นส่วนลอยละล่องไปทั่วทุกทิศ ก่อนที่คนอื่น ๆ ที่อยู่รอบนั่นจะเริ่มระเบิดติดต่อกันเป็นทอด ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้การควบคุมฝูงชนเป็นไปได้ยากนัก

ที่เขาใช้ไปเมื่อครู่นี้ แท้ที่จริงแล้วมันก็คือวิชาที่ถังหยินได้มาจากการเรียนรู้ศาสตร์มืดระดับสูงสุด มนตร์ดำทำลายล้าง

วิชาสับเปลี่ยนเงา วิชาแยกเงา และมนตร์ดำทำลายล้างคือ 3 วิชาหลักที่พวกศาสตร์มืดสามารถใช้ได้ สำหรับ 2 วิชาแรกนั้นคือสิ่งที่จะพบเห็นได้บ่อยครั้งจากผู้คนกลุ่มนี้ แต่กับมนตร์ดำทำลายล้างมันต่างออกไป การจะหาตัวผู้ใช้นั้นยากยิ่ง เพราะเมื่อมันถูกร่ายออกไปแล้วจะไม่สามารถควบคุมได้จนกว่าจะไม่มีร่างมนุษย์ให้ระเบิดอีก

หากแต่มันก็ถูกหยุดได้อย่างง่ายดายเมื่อทุกคนเริ่มรู้ทางและถอยหนีออกมา…

ในเวลานี้ พวกเบสซ่าที่อยู่หน้าประตูเมืองไม่เหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว เพราะถังหยินได้ใช้มนตร์ดำระเบิดพวกเขาไปจนหมดสิ้น

และไม่ใช่แค่พวกศัตรู เพราะแม้แต่พวกเฟิงเองก็ยังไม่กล้าจะเข้าไปช่วยแม่ทัพของเขาเช่นกัน ด้วยเกรงกลัวพลังอำนาจของบอลสีดำนั่น ที่เพียงชั่วพริบตาก็แทบไม่มีใครเหลืออยู่แล้วจากการระเบิดสุดบ้าบอนี้

ชายหนุ่มหันกลับไปมองพวกตัวเองด้วยความหงุดหงิดที่เห็นพวกเขานิ่งเฉย ก่อนจะร้องตะโกนลั่นออกมาว่า “พวกเจ้าจะรออะไรกัน ? เข้ามาเซ่ !”

เมื่อได้ยินเสียงนั้น พวกทหารเฟิงก็พากันหลุดจากอาการตกตะลึง ก่อนจะพุ่งเข้ามาไปในเมืองพร้อมร้องตะโกนปลุกใจในทันที !

ทหารม้า 4 พันนาย ถ้าเทียบกับเมืองเบสซ่าที่มีจำนวนประชากรหลายล้านคนแล้ว ย่อมเห็นได้อย่างชัดเจนว่าฝั่งไหนเสียเปรียบ แต่ทว่าการโจมตีของพวกเฟิงก็มาแบบสายฟ้าแลบจนเกินไป ทำให้พวกเบสซ่าไม่ทันตั้งตัว พวกเขาจึงถูกฆ่าราวกับผักปลา ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้หญิง หรือคนแก่ พวกทหารเฟิงที่บุกเข้าไปก็ฆ่าไม่เลือกหน้าทั้งนั้น ทิ้งไว้เพียงเลือดที่ไหลนองท่วมเมืองไว้เบื้องหลัง

ถังหยินหันไปบอกกับแม่ทัพข้างกาย “หยวนอู่ เจ้าพาทหารไปด้วย 1,500 นาย เข้าไปสังหารคนทางซ้ายของเมือง หยวนเปียว เจ้าพาอีก 1,500 ไปฆ่าทางขวาของเมือง !”

ส่วนเขาจะพาทหารอีก 1 พันพุ่งตรงไปยังถนนสายหลักของเมืองเพื่อโจมตีวังของพวกมัน !

ชายหนุ่มคาดเดาไว้ไม่ผิดเลย ว่าพวกทหาร 2 แสนนายที่มุ่งหน้าไปยังเมืองของเขานั้นได้นับรวมไปถึงทหารทั้งหมดในเมืองเบสซ่านี่ด้วยเช่นกัน ทำให้ที่นี่ไม่มีใครต่อต้านพวกเขาได้อีกต่อไป

ถนนสายหลักไม่มีผู้ใดกล้าออกมาขวางม้าของพวกถังหยินเลย และเบื้องหน้าของพวกเขาในตอนนี้มันก็คือวังหลวงของพวกเบสซ่า !

สถานที่แห่งนี้ถือได้ว่าเป็นจุดศูนย์รวมแห่งความร่ำรวยและมั่งคั่งที่พวกมันได้ปล้นจากดินแดนเพื่อนบ้าน โดยมีกำแพงสูงที่คอยปกป้องมันเอาไว้

นี่คือวังของพวกเบสซ่า สถานที่ซึ่งเป็นเหมือนดั่งหอบัญชาการรบในการรุกรานแคว้นเฟิง

ถังหยินมองมันด้วยความโกรธแค้นจนทำให้เกราะปราณของเขากลายเป็นสีแดงดำทะมึน

ในเวลานี้ ทางวังหลวงของพวกเบสซ่าเองก็ได้รับการแจ้งเตือนเรื่องผู้บุกรุกมาแล้ว จึงทำให้ประตูวังปิดแน่น และด้านบนก็มีองครักษ์ประจำอยู่มากมาย

ดังนั้นเมื่อชายหนุ่มมาถึงหน้าประตู เขาก็ถูกต้อนรับด้วยฝนธนูที่ยิงลงมาอย่างต่อเนื่องจนสังหารทหารเฟิงไปจำนวนไม่น้อย

ถังหยินนั้นไม่กลัวธนูเหล่านี้แม้แต่น้อย เพราะเขามีเกราะปราณอยู่แต่ไม่ใช่กับม้าที่เขาขี่อยู่ ดังนั้นชายหนุ่มจึงรีบลงจากม้าแล้วพุ่งทะยานออกไปด้านหน้า

ถังหยินจัดแจงโบกเคียวกวัดแกว่ง เข้าป้องกันลูกธนูทั้งหมดที่พุ่งลงมา หากแต่มันก็ยังมีบางดอกที่ทะลุเข้ามาโดนเกราะของเขาแล้วกระเด็นออกไป

พลังของถังหยินในตอนนี้ถือว่าสูงมาก และเกราะของเขาเองก็หนาเกินกว่าที่ลูกธนูจะเจาะทะลวงเข้ามาได้ ดังนั้นเมื่อเห็นว่าได้ระยะแล้ว ชายหนุ่มก็พลันใช้วิชาสับเปลี่ยนเงาขึ้นไปอยู่บนกำแพงวังในทันที

ถ้าเป็นการต่อสู้ระยะประชิด ถังหยินนับได้ว่าไร้เทียมทาน ด้วยเกราะของเขาที่เต็มไปด้วยไฟสีดำ และเคียวอันทรงพลังที่สามารถตัดศัตรูเป็นสองส่วนได้อย่างง่ายดาย !

แม้ว่าพวกทหารวังจะเก่งกาจอยู่พอตัว แต่พวกเขาก็ถูกเคียวของชายหนุ่มฟัดจนขาดครึ่งอย่างง่ายดาย

การต่อสู้เริ่มขึ้นไม่นานเท่าไหร่นัก หากแต่พวกทหารวังก็ได้ตายไปมากกว่า 100 ศพแล้ว

สำหรับศพที่กองอยู่เต็มพื้นนั้น ขณะนี้พวกมันก็ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟ ก่อนที่จะกลายเป็นควันและถูกดูดกลืนกลับมาเป็นพลังปราณให้กับชายหนุ่มอีกทอดหนึ่ง !

ในขณะที่ทหารวังถูกดึงความสนใจเอาไว้ได้โดยถังหยิน พวกทหารเฟิงก็ได้ลงจากม้าและมาช่วยกันพังประตูปราสาท

หลังจากที่โยกขยับมันอยู่ไม่นานนัก ประตูเมืองก็เปิดออกและพวกเฟิงก็ขึ้นไปสู้กับทหารมอร์ฟีสบนกำแพง

เมื่อเห็นว่าพวกพ้องของเขาเข้ามาช่วยต่อสู้บนนี้แล้ว ถังหยินก็รีบพุ่งเข้าไปในตัววังทันที

แต่ก่อนที่จะได้เข้าไป ชายหนุ่มก็พลันถูกขัดไว้ด้วยสองร่าง

ดังนั้นถังหยินจึงใช้ความว่องไวและปราดเปรียวตวัดเคียวเป็นแนวนอนเพื่อตัดร่างทั้งสองนั้นให้ขาดสะบั้นจนเลือดพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าโดยที่พวกเขาไม่ทันรู้ตัว

ก่อนที่ชายหนุ่มจะเงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นดวงตาของเขาที่เต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและมุ่งหน้าเข้าไปในวังต่อ !

เมื่อเข้าไปภายใน เขาก็พบเข้ากับดาบ 2 เล่มที่กำลังพุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว หากแต่ถังหยินก็ใช้เคียวป้องกันมันเอาไว้ได้ ทั้งยังบีบให้ศัตรูทั้งสองต้องถอยร่นกลับไปได้อย่างง่ายดาย

สองคนนี้คือผู้ฝึกยุทธ์ของที่นี่ พวกเขาใส่เกราะปราณและมีดาบปราณอยู่ในมือด้วย ส่วนด้านหลังของพวกเขาก็มีพวกขุนนางแก่ ๆ ของเบสซ่าอยู่เต็มไปหมด โดยที่ตรงกลางบริเวณสุดทางของวังแห่งนี้ก็คือชายแก่ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ทองคำ !

ด้วยร่างกายอันดุดันใหญ่โต และรัศมีแห่งความเป็นผู้นำ ถังหยินก็รู้ได้ในทันทีว่าเขาก็คือราชาผู้ปกครองรัฐเบสซ่า !

ถังหยินไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว เขามองข้ามพวกที่เข้ามาขัดขวางและชี้ดาบออกไปยังคนบนบัลลังก์ “ข้าต้องการหัวของเจ้า”