ตอนที่ 144

เสน่ห์คมดาบ

ขณะที่แคลร์กำลังคิดอยู่นั้น เสียงเย็นๆ ก็ดังมาจากด้านหลัง “แคลร์” 

 

 

           แคลร์ไม่หันกลับไป แค่ได้ยินเสียงนางก็รู้แล้วว่าใคร เอเรคพี่ชายคนรองที่ไม่เคยแสดงสีหน้าดีๆ กับแคลร์เลยนั่นเอง!    

 

 

           “หืม? มีอะไรหรือ?” แคลร์ถามโดยไม่หันกลับไปมอง 

 

 

           “ท่าทีของเจ้านี่คืออะไร? ท่าทีของเจ้าที่มีต่อท่านพ่ออีก มันคืออะไร!” มีความโกรธจางๆ ในน้ำเสียงเย็นชานั้น 

 

 

           “ขอโทษนะ เจ้ากำลังสอนข้าในฐานะอะไร?” แคลร์หาวอย่างเกียจคร้านและถาม แคลร์เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพี่ชายคนรองที่หยิ่งผยองผู้นี้ดูเหมือนจะมีข้อดีก็คือมีความกตัญญูกตเวทีมาก พี่ชายคนรองผู้นี้มาสอนนางเพราะนางมีท่าทีหยาบคายต่อท่านพ่องั้นหรือ? 

 

 

           “ข้าเป็นพี่ชายของเจ้า!” เสียงนั้นเข้มขึ้นเล็กน้อย 

 

 

           “ตลกนะ ตอนนี้มาอ้างความเป็นพี่ชาย เจ้าได้เคยทำหน้าที่ของการเป็นพี่ชายแล้วหรือยัง?” แคลร์ยิ้มอย่างเหยียดหยามและค่อยๆ หันกลับมามองคนตรงหน้าอย่างเย้ยหยัน 

 

 

           ใบหน้าที่โกรธของเอเรคเริ่มเปลี่ยนเป็นตกใจ 

 

 

           “พี่ชายที่เคารพของข้า ข้าขอแนะนำให้เจ้าอย่าเลียนแบบพ่อของเจ้าที่ไม่เคยทำหน้าที่ของพ่อเลยจนกระทั่งลูกสาวอย่างข้าประสบความสำเร็จจึงได้ออกมาแสดงความคิดเห็น เจ้าไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องไร้สาระและไร้ยางอายหรอกหรือ?”แคลร์เอนตัวพิงเสาอย่างเกียจคร้านและหัวเราะเยาะ “ข้าไม่กลัวที่จะสู้กับเจ้าตอนนี้หรอกนะ” 

 

 

           ใบหน้าของเอเรคนิ่งไปทันที หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ใช่คนขี้ขลาดที่เขาสามารถทำให้กลัวด้วยคำพูดที่รุนแรงได้อีกต่อไปแล้ว 

 

 

           “แต่เจ้าต้องคิดให้ดีถึงความเสียหายก่อนที่จะมีเรื่องกับข้านะ ข้าอาจฆ่าเจ้าโดยไม่กะพริบตาเลยก็ได้ ตอนนี้เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นคู่ต่อสู้ของข้าหรือไม่?” ใบหน้าของแคลร์เปลี่ยนเป็นเย็นชาและไม่มีความอบอุ่นในดวงตาของนางเลย เสียงนั้นเยือกเย็นมากและพูดออกมาอย่างน่ากลัว พลังที่ยิ่งใหญ่และน่ากลัวระเบิดออกมาเช่นนี้แล้วก็หายวับไป 

 

 

           จู่ๆ เอเรคก็รู้สึกหนาวสั่น หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าทำให้เขารู้สึกหนาวสะท้านจนน่ากลัว 

 

 

           “อีกอย่าง ข้าขอแนะนำเจ้าอีกครั้ง ไม่ว่าเจ้าจะสนับสนุนองค์ชายใหญ่หรือเป็นสายลับที่องค์ชายสองส่งไปหาองค์ชายใหญ่ ไม่ว่าพวกเจ้าจะทะเลาะกันอย่างไร  อย่าดึงท่านแม่ไปยุ่งด้วยเด็ดขาด หากเจ้าทำร้ายนาง ไม่ว่าจะเป็นใคร ข้าก็จะฆ่าพวกเจ้าอย่างไร้ความปราณีเลยล่ะ” จู่ๆ แคลร์ก็ยิ้มและพูดเบาๆ ด้วยท่าทางเกียจคร้าน ความเยือกเย็นนั้นบอกกับเอเรคว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ได้ล้อเล่นแน่นอน! 

 

 

           “จำสิ่งที่ข้าพูดไว้ให้ดี” แคลร์หัวเราะเบาๆ แล้วเดินผ่านเอเรคไป 

 

 

           “องค์ชายใหญ่สิที่จะได้เป็นรัชทายาทอันดับแรกของประเทศ!” เสียงของเอเรคดังขึ้นข้างหลังแคลร์อย่างมั่นใจ 

 

 

           แคลร์ชำเลืองมองจากหางตาของนาง แต่นางเห็นว่ามีความเดือดดาลในแววตาของเอเรค 

 

 

           “ก็แล้วแต่ ถึงอย่างไรก็จำสิ่งที่ข้าพูดไว้แล้วกัน” แคลร์โบกมืออย่างไม่สบอารมณ์และทิ้งคำพูดไว้เท่านั้น 

 

 

           เอเรคยืนอยู่ตรงนั้นแล้วมองแผ่นหลังของแคลร์ ดวงตาของเขาซับซ้อน เมื่อหันไปมองที่เรือนดอกไม้ เขาเห็นองค์ชายใหญ่ผู้อ่อนโยนและยิ้มแย้ม ดวงตาของเอเรคก็ดูอ่อนโยนลง จากนั้นเขาก็กำหมัดแน่น องค์ชายใหญ่คือความศรัทธาของเขา องค์ชายใหญ่สิคือรัชทายาทอันดับหนึ่ง! องค์ชายใหญ่จะต้องได้ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดและได้ทำตามความปรารถนาอย่างแน่นอน! 

 

 

           เมืองหลวงเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างช้าๆ 

 

 

           ลมหนาวพัดมาเบาๆ ทำให้รู้สึกหนาวขึ้นเล็กน้อย 

 

 

           ในตอนกลางคืน แคลร์เดินไปตามทางเดิน นางไปหาราเซียและมอบแหวนมิติขนาดเล็กที่นางเคยใช้มาก่อนให้ พื้นที่แค่    นั้นเพียงพอสำหรับราเซียแล้ว 

 

 

           เมื่อเดินไปตามทางเดิน สายลมก็พัด แคลร์ขมวดคิ้วและมองออกไปนอกลานบ้าน แต่ทันใดนั้นคิ้วของนางก็คลายออกนางเข้าไปในลานบ้าน จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปบนหลังคา 

 

 

           จินเหยียนเดินออกมาจากที่มุมเสาเงียบๆ เขามองร่างของแคลร์ที่หายไปในยามค่ำคืน แต่ไม่ได้ตามไป 

 

 

           “จิ๊บๆ?” 

 

 

           “ฮู่ๆ!” 

 

 

           ไป๋ตี้และเฮยหยู่นั่งบนไหล่ซ้ายและขวาของจินเหยียน ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพูดถึงอะไรกัน 

 

 

           จินเหยียนมองค่ำคืนที่เงียบเหงาโดยไม่ขยับไปไหน 

 

 

           นั่นคือเหลิ่งหลิงยวิ๋น คนที่อยู่ในสนามคือเหลิ่งหลิงยวิ๋น จินเหยียนจึงไม่ตามไป 

 

 

           คนผู้นั้นมีเหตุผลอะไรที่มาหาคุณหนูนะ? 

 

 

           จินเหยียนมองความมืดมิดยามค่ำคืนและนิ่งเงียบเป็นเวลานาน 

 

 

           เหลิ่งหลิงยวิ๋นบินนำหน้าแคลร์ นางไล่ตามเขาไปตลอดทาง และออกจากเมืองไปยังที่เงียบสงบช้าๆ แคลร์ค้นพบว่าสถานที่ที่เหลิ่งหลิงยวิ๋นพามานั้นคือที่ที่นางถูกอลิซและลูกพี่ลูกน้องซุ่มโจมตีหลังจากการบรรลุครั้งที่แล้ว ในที่สุดเหลิ่งหลิงยวิ๋นก็หยุดและยืนอยู่ตรงนั้น    เงียบๆ ลมพัดผมสีเงินยาวของเขาราวกับเป็นภาพที่สมบูรณ์แบบ 

 

 

           “เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ?” แคลร์ถามอย่างแผ่วเบา ทัศนคติของแคลร์ที่มีต่อเหลิ่งหลิงยวิ๋นนั้นไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว 

 

 

           “แคลร์…” เหลิ่งหลิงยวิ๋นหันไปมองแคลร์ ดวงตาของเขาดูเศร้าเล็กน้อย 

 

 

“ข้ารู้สึกขอบคุณมากที่วันนี้เจ้าปลุกข้าเสียงดังจนทำให้ข้าสามารถควบคุมอารมณ์ของข้าได้ ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพระสันตปาปาเลย ขอบคุณอีกครั้งที่ช่วยข้า” น้ำเสียงของแคลร์เย็นชามาก 

 

 

           เหลิ่งหลิงยวิ๋นฟังคำพูดของแคลร์ แต่รู้สึกราวกับว่าโดนต่อยจนทำให้รู้สึกตื่นตระหนก 

 

 

           “เจ้าอย่าคิดว่าข้าเยาะเย้ยเจ้านะ ข้ากำลังพูดความจริงอยู่” แคลร์พูดเบาๆ และมองการแสดงออกของเหลิ่งหลิงยวิ๋น 

 

 

           “เชคกับหญิงสาวผู้นั้น ข้าปล่อยพวกเขาไปแล้ว ข้าบอกพวกเขาให้หนีไปยิ่งไปไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งดี อย่าให้โดนจับได้อีก ถ้าจับได้อีกครั้งอาจจะไม่ใช่ตอนที่ข้าอยู่คนเดียว แล้วข้าจะไม่สามารถปล่อยพวกเขาไปได้อีก” เหลิ่งหลิงยวิ๋นกัดริมฝีปากของเขาจนแทบหายใจไม่ออก 

 

 

           แคลร์ตกตะลึงแล้วมองไปที่ดวงตาสีม่วงของเหลิ่งหลิงยวิ๋น นางเห็นความขัดแย้งและความเจ็บปวดในตัวเขา 

 

 

           “ทุกคนมีคนที่พวกเขารักและห่วงใยมากที่สุด คนที่ข้าห่วงใยที่สุดคือซวนซวน ข้าสามารถทำให้มือของข้าเต็มไปด้วยเลือดและปล่อยให้จิตวิญญาณของข้าตกลงไปในเหว    เพื่อซวนซวนได้ แต่ข้าหวังว่าซวนซวนจะรักษาความไร้เดียงสาของนางไว้ได้เสมอ” น้ำเสียงของเหลิ่งหลิงยวิ๋นสั่นเล็กน้อยและความเจ็บปวดก็ฉายผ่านดวงตาของเขา 

 

 

           “เมื่อเจ้าพบอัศวินและเด็กสาวผมดำ เจ้าไม่ได้ลงมือทำ แต่เทพธิดาเป็นคนที่ลงมือทำ    ใช่หรือไม่?” สิ่ง    หนึ่งแวบเข้ามาในความคิดของแคลร์และนางก็เข้าใจทันที 

 

 

           เหลิ่งหลิงยวิ๋นนิ่งเงียบ เขาขมวดคิ้วและค่อยๆ พูด “ข้าช่วยพวกเขาไม่ได้ ข้าไม่สามารถทิ้งซวนซวนเพื่อพวกเขาได้…” 

 

 

           แคลร์เงียบและเข้าใจทันที เหลิ่งซวนซวนจำเป็นต้องพึ่งพายาที่ทางวิหารจัดเตรียมไว้เพื่อประทังชีวิตของนางและทุกสิ่งที่เหลิ่งหลิงยวิ๋นทำก็เพื่อให้ซวนซวนมีชีวิตที่ดีขึ้น เหลิ่งหลิงยวิ๋นเข้าใจความเจ้าเล่ห์ของวิหาร แต่เขาก็อดทนเพื่อซวนซวนและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะชดเชยมัน 

 

 

           “เจ้าใช้ชีวิตอย่างเหนื่อยยากจริงๆ” แคลร์ถอนหายใจเบาๆ ความเศร้าจางๆ เข้ามาในใจนาง 

 

 

           ทุกคนมีคนหรือสิ่งที่มีคุณค่าสำหรับพวกเขามากที่สุดและเพื่อคนหรือสิ่งที่มีคุณค่าเหล่านั้น ผู้คนก็สามารถทำเรื่องที่ยากเกินกว่าโลกหรือผู้อื่นใดจะเข้าใจได้ 

 

 

           “แคลร์ อันที่จริงเจ้าน่าจะเข้าใจถึงความเจ้าเล่ห์ของวิหาร ข้าไม่อยากให้เจ้าเกิดเรื่องและข้าไม่ต้องการให้เจ้าเผชิญหน้ากับวิหารตรงๆ เลย” เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดจุดประสงค์ที่เรียกให้แคลร์ออกมาวันนี้ 

 

 

           “ข้ารู้ว่าข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพระสันตปาปา คนอย่างพระสันตปาปานั้นไม่อาจหยั่งรู้ได้เลยจริงๆ” แคลร์ขมวดคิ้วและพึมพำ “บางทีความแข็งแกร่งของเขาอาจจะเหนือกว่าอาจารย์ไปมาก แม้ว่าตอนนี้อาจารย์จะบรรลุไปแล้ว แต่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอยู่ดี…” 

 

 

           “ความแข็งแกร่งของพระสันตปาปาไม่ใช่สิ่งที่จะหยั่งรู้ได้เลย” เหลิ่งหลิงยวิ๋นถอนหายใจเบาๆ “มีบิชอปและคาร์ดินัลมากมายอยู่ด้วย ข้าไม่อยากให้เจ้าเผชิญหน้ากับพวกเขาโดยตรง” ความหมายของเขาคือไม่ต้องการให้มีเรื่องเกิดขึ้นกับนาง     

 

 

           “ขอบคุณนะ ข้าจะไม่หุนหันพลันแล่นเหมือนวันนี้อีก” น้ำเสียงของแคลร์ในตอนนี้ไม่เย็นชาเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว แต่นางขอบคุณเขาอย่างจริงใจ 

 

 

           เหลิ่งหลิงยวิ๋นเข้าใจความหมายของคำพูดแคลร์ นางจะไม่หุนหันพลันแล่นเหมือนวันนี้ซึ่งหมายความว่านางจะมีมาตรการอื่นๆ มาแทน 

 

 

           “แคลร์ เจ้าต้องจำไว้ว่าความแข็งแกร่งของพระสันตปาปาไม่อาจหยั่งรู้ได้” เหลิ่งหลิงยวิ๋นเตือนอีกครั้งอย่างไม่สบายใจ 

 

 

           “เข้าใจแล้ว ขอบคุณมาก” แคลร์พยักหน้า 

 

 

         “นอกจากนี้การต่อสู้ระหว่างองค์ชายใหญ่และองค์ชายสองก็กำลังดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ วิหารแห่งแสงจะสนับสนุนหนึ่งในนั้นอย่างแน่นอนในท้ายที่สุด” เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดด้วยเสียงทุ้ม “ตระกูลฮิลล์ย่อมจะเลือกสนับสนุนข้างใดข้างหนึ่งเช่นกัน ถ้าทั้งสองฝ่ายสนับสนุนคนเดียวกัน    ก็โอเค แต่ถ้าไม่ใช่คนเดียวกัน ตำแหน่งของเจ้าจะบอบบางและน่าอึดอัดมากขึ้นด้วย” 

 

 

           แคลร์เงียบคิด ดยุกกอร์ตั้นส่งจินเหยียนไปช่วยองค์ชายสองอย่างลับๆ แต่เอเรคพี่ชายคนรองสนับสนุนองค์ชายใหญ่อย่างเปิดเผย อีกทั้งดยุกกอร์ตั้นก็ไม่มีท่าทีที่จะต่อต้านเลย มันหมายความว่าอะไรกัน? 

 

 

           “ตระกูลฮิลล์ได้ตัดสินใจแล้วหรือไม่ว่าจะสนับสนุนใคร?” เหลิ่งหลิงยวิ๋นอดไม่ได้ที่จะถามเมื่อเขาเห็นแคลร์ตกอยู่ในความคิด 

 

 

           “ข้าไม่รู้” แคลร์ส่ายหัวเบาๆ แล้วนั่งลงบนหินข้างๆ เขา นางตบที่ข้างๆ แล้วพูด “นั่งลงสิ ข้ามีอะไรจะถามเจ้า” 

 

 

           เหลิ่งหลิงยวิ๋นสะดุ้งเล็กน้อยแต่ยังคงนั่งลงข้างๆ นาง 

 

 

           “เจ้า เจ้าคิดอย่างไรกับท่านปู่ของข้า ดยุกกอร์ตั้น ข้าต้องการฟังความคิดเห็นของเจ้า” แคลร์ถามอย่างจริงจัง 

 

 

           เหลิ่งหลิงยวิ๋นมองการแสดงออกที่จริงจังของแคลร์ เขารู้ว่าแคลร์ไม่ได้ล้อเล่น เขาจึงคิดเรื่องนี้และพูดอย่างจริงจัง “เขาไม่ใช่คนธรรมดา เขาสามารถทำให้ตระกูลฮิลล์ยืนในจุดที่สูงได้ขนาดนี้และทำให้จักรพรรดิเกรงใจได้ เขาเหมือนไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาเลย” เหลิ่งหลิงยวิ๋นหยุดและพูดอย่างลังเล”คนผู้นี้มีแผนการไม่ธรรมดา    “ 

 

 

           “วิหารแห่งแสงยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะสนับสนุนองค์ชายองค์ไหนหรือ?” แคลร์เปลี่ยนหัวข้อออกไป “พูดอีกอย่างคือพระสันตปาปากำลังรออยู่ รอให้องค์ชายเผย    เงื่อนไขแล้วค่อยตัดสินว่าจะสนับสนุนใครใช่หรือไม่?” 

 

 

           “คงจะเป็นเช่นนั้น” เหลิ่งหลิงยวิ๋นพยักหน้า 

 

 

           “ท่านปู่ก็คงจะรอด้วยเช่นกัน” แคลร์ขมวดคิ้ว นางดึงหัวข้อกลับมาแล้วกระซิบ“ ท่านปู่ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดเลย” 

 

 

           “แต่มีการกล่าวกันว่าเอเรค กัปตันทีมกริฟฟอนพี่ชายคนรองของเจ้าดูเหมือนจะใกล้ชิดองค์ชายใหญ่มาก และยังมีข่าวลือว่าเจ้าและองค์ชายสองใกล้ชิดกันมากด้วย” เหลิ่งหลิงยวิ๋นบอกแคลร์ในสิ่งที่เขาได้ยินมาทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่มีใครสามารถระบุได้ว่าตระกูลฮิลล์สนับสนุนองค์ชายใหญ่หรือองค์ชายสองกันแน่ 

 

 

…………………………………………………………………………….