ตอนที่ 145

เสน่ห์คมดาบ

แคลร์เข้าใจสิ่งที่เอเรคทำในวันนี้แล้ว เอเรคคิดว่านางอยู่ข้างองค์ชายสองใช่หรือไม่? 

 

 

“ดังนั้นผู้คนจึงกำลังเฝ้าดูว่าตระกูลฮิลล์จะสนับสนุนองค์ชายองค์ใด?” เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดอย่างเคร่งขรึม 

 

 

แคลร์ถอนหายใจเล็กน้อย “ไม่สำคัญหรอกว่าพวกเขาจะต่อสู้กันอย่างไร แค่พวกเขาไม่ทำร้ายท่านแม่ของข้าก็พอ ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่ปล่อยพวกเขาไปแน่” 

 

 

“ท่านแม่ของเจ้าเป็นหัวหน้าผู้ดูแลองค์หญิงแมริส คงต้องระวังมากหน่อย” เหลิ่งหลิงยวิ๋นเตือนอย่างเคร่งขรึม 

 

 

“อืม ข้าจะระวัง ขอบคุณ ข้าก็ควรจะกลับไปได้แล้ว” แคลร์ลุกขึ้น 

 

 

“อืม” เหลิ่งหลิงยวิ๋นพยักหน้าเบาๆ และมองแคลร์จากไป เมื่อมองแผ่นหลังของแคลร์จนค่อยๆ เลือนหายไปในยามค่ำคืนแล้ว เหลิ่งหลิงยวิ๋นก็ถอนสายตาและมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ไม่มีที่สิ้นสุด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พูดหลายๆ เรื่องงกับคนอื่น และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกผ่อนคลาย เขาก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าเขาจะเสียใจมากถ้าไม่อธิบายให้นางฟังกันนะ 

 

 

แคลร์กลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลฮิลล์ จินเหยียนยังคงยืนรออยู่ 

 

 

ทันทีที่ไป๋ตี้และเฮยหยู่เห็นแคลร์กลับมา พวกเขาก็กระโดดไปบนไหล่ของนางและเอาตัวถูอย่างรักใคร่ 

 

 

“จินเหยียน ทำไมเจ้ายังไม่ไปพักผ่อนล่ะ?” แคลร์ถามด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นจินเหยียนยังยืนอยู่ตรงทางเดิน 

 

 

“คุณหนูยังไม่กลับมา ข้าไปพักผ่อนไม่ได้หรอกครับ” จินเหยียนตอบเสียงเข้ม 

 

 

“ตอนนี้ข้ากลับมาแล้ว ข้าจะไปหาราเซียก่อนแล้วจะไปพักผ่อน เจ้าก็ไปพักผ่อนได้แล้วล่ะ” แคลร์พูดเบาๆ แล้วมองใบหน้าของจินเหยียน 

 

 

“ครับ คุณหนู” จินเหยียนหันและเดินไปเงียบๆ 

 

 

หลังจากแคลร์มอบแหวนมิติให้กับราเซียแล้ว ราเซียก็ดีใจจนแทบจะจูบแคลร์เลย 

 

 

เช้าวันรุ่งขึ้นที่คฤหาสน์ตระกูลฮิลล์ สีหน้าของดยุกกอร์ตั้นดูไม่ดีเลย 

 

 

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะแขกสองคนในห้องโถง 

 

 

แคลร์เพิ่งกลับมาถึงบ้าน แต่ก่อนที่ดยุกกอร์ตั้นยังไม่มีโอกาสได้แนะนำนางให้กับจักรพรรดิเหลิ่งหลิงยวิ๋นและหลิวเฉว่ฉิงจากวิหารแห่งแสงก็มาที่บ้านและบอกตรงๆ ว่าพวกเขาจะมารับแคลร์ผู้อยู่ในฐานะนักบวชไปทำงานด้วยกัน 

 

 

“พี่สาว พี่เป็นที่นิยมมาก ฮ่าๆ วิหารตามตัวพี่ตลอดเลย เดิมทีท่านปู่จะพาพี่ไปที่วังนะเนี่ย” ราเซียแสยะยิ้ม 

 

 

แคลร์เงียบและไปที่ห้องโถงพร้อมจินเหยียน 

 

 

“แคลร์ เจ้ามาแล้ว” หลิวเฉว่ฉิงยิ้มอย่างอ่อนโยนและยืนขึ้นทักทาย รูปลักษณ์ที่สง่างามของนางยังคงเป็นที่ชื่นชอบ ท่าทีของนางที่ดีต่อแคลร์ทำให้ผู้คนไม่สามารถจับผิดอะไรนางได้เลย 

 

 

“บุตรและเทพธิดาแห่งแสง” แคลร์ทักทายเบาๆ 

 

 

“เรามาที่นี่เพื่อมารับเจ้าไปวิหาร เนื่องจากเจ้าเป็นนักบวชของวิหารเราแล้ว เจ้าจึงควรอยู่ในวิหารของเราจะดีกว่า วันนี้เราจะไปเมืองหิมะตกกัน ที่นั่นกำลังประสบภัยพิบัติจากหิมะรุนแรงมาก พระสันตปาปาจึงขอให้พวกเราไปช่วยดูแลน่ะ” เสียงของเทพธิดาอ่อนโยนมาก นางพูดกับแคลร์ราวกับเป็นพี่สาวคนโต 

 

 

แคลร์หันมองดยุกกอร์ตั้น เขาทำอะไรไม่ถูกและพูด “ข้าจะให้คนส่งของไปให้แคลร์ทีหลัง” 

 

 

“ท่านดยุก ไม่มีปัญหาเลย ข้าได้เตรียมทุกอย่างไว้ให้แคลร์ที่วิหารแล้ว” แม้ว่าเทพธิดาจะสุภาพแต่ก็มีความหนักแน่นที่ไม่อาจปฏิเสธได้ 

 

 

“ท่านปู่ ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ” แคลร์พูดเบาๆ “ในเมื่อภัยพิบัติจากหิมะร้ายแรง งั้นเราก็รีบไปกันเถอะ” 

 

 

เหลิ่งหลิงยวิ๋นไม่ได้พูดเลยตั้งแต่ต้นจนจบ อีกทั้งไม่มีใครเห็นความกังวลในสายตาของเขาเลยด้วย 

 

 

“แคลร์ อัศวินของเจ้า…” เทพธิดามองจินเหยียนที่กำลังตามแคลร์แล้วขมวดคิ้วจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เหลิ่งหลิงยวิ๋นชิงพูดขึ้นมาก่อนอย่างเย็นชา 

 

 

“จินเหยียนเป็นอัศวินประจำตัวของแคลร์ตั้งแต่เด็กและไม่เคยแยกจากกัน” ประโยคนี้ได้ปิดกั้นคำพูดต่อไปของเทพธิดาไปแล้ว 

 

 

“อ๋อ งั้นหรือ? เช่นนั้นก็ไปด้วยกัน มีคนช่วยอีกคนก็ดี” เทพธิดายิ้ม แต่รอยยิ้มของนางไม่เป็นมิตรเหมือนแต่ก่อน     

 

 

พวกเขาออกจากคฤหาสน์ตระกูลฮิลล์ จากนั้นสีหน้าของดยุกกอร์ตั้นก็นิ่งลงเรื่อยๆ 

 

 

หลังจากขึ้นรถม้าแล้ว หลิวเฉว่ฉิงก็ยิ้ม “แคลร์ เจ้ากลับไปเตรียมตัวที่วิหารก่อนนะ” 

 

 

“ไม่ต้องหรอก เราออกเดินทางไปเมืองหิมะตกได้เลย ข้าเอาของมาทั้งหมดแล้ว” แคลร์หลับตา นางเอนตัวในรถม้าแล้วพูดเบาๆ 

 

 

เอามาหมดแล้ว? หลิวเฉว่ฉิงมองแคลร์ด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็มองไปที่จินเหยียน นางไม่เห็น    สัมภาระใดๆ ที่ทั้งสองคนถือมาเลยไม่ใช่หรือ?! ความประหลาดใจฉายผ่านดวงตาของหลิวเฉว่ฉิง หรือว่าแคลร์จะมีของล้ำค่าอย่างแหวนมิติ?! 

 

 

แคลร์หลับตาพัก จินเหยียนก็หลับตา เหลิ่งหลิงยวิ๋นก็หลับตาพักเช่นกัน แต่สีหน้าของหลิวเฉว่ฉิงดูแปลกๆ ไป… 

 

 

ในรถม้าเงียบสนิท เวลานี้รถม้าค่อยๆ เคลื่อนออกจากประตูเมืองหลวงไป 

 

 

เมืองหิมะตกนั้นมีหิมะตกมากมายสมชื่อ เมืองแห่งนี้มีอากาศหนาวจัดและหิมะตกในเดือนตุลาคมถึงกุมภาพันธ์ อีกสามฤดูกาลจะสั้นกว่ารวมกันแล้วมีเพียง    เจ็ดเดือนเท่านั้น ภัยพิบัติจากหิมะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ แต่ไม่ร้ายแรงมากนัก เมื่อเกิดภัยพิบัติจากหิมะ จักรพรรดิจะแจกจ่ายสิ่งของบรรเทาทุกข์และส่งคนไปช่วยเหลือ ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ครั้งนี้ดูเหมือนภัยพิบัติจากหิมะจะรุนแรงมากขึ้นทำให้ทางวิหารต้องเข้าไปช่วยเหลือ 

 

 

“ผู้คนจำนวนมากติดอยู่ในหมู่บ้านและไม่สามารถออกไปไหนได้ อีกทั้งยังไม่สามารถส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์เข้าไป    ได้เลยเนื่องจากภัยพิบัติ” รถม้าหยุดอยู่ที่ชายขอบของเมืองเล็กๆ ที่ใกล้ที่สุด เหลิ่งหลิงยวิ๋นลงจากรถม้าและมองพื้นดินสีขาวที่ไม่มีที่สิ้นสุดตรงหน้า    และพูดเบาๆ 

 

 

ทุกคนกำลังจะเข้าสู่เขตแดนของเมืองหิมะตกแล้ว แต่ถนนถูกปกคลุมไปด้วยหิมะหนาจนรถม้าไม่สามารถเคลื่อนไปข้างหน้าได้อีกต่อไป ดังนั้นจึงต้องเปลี่ยนมาใช้เลื่อนก่อนจึงจะเดินทางต่อไปได้ การลากเลื่อนใช้สัตว์เวทย์ที่แข็งแรงและเตี้ยชื่อว่าเฉว่โช่ แขนขาของเฉว่โช่ทรงพลังมาก ลำตัวของมันปกคลุมไปด้วยขนยาวที่หนาแน่น ตอนนี้ทุกคนสวมเสื้อผ้าฤดูหนาวหนาๆ กันหมดแล้ว หลิวเฉว่ฉิงมั่นใจแล้วว่าแคลร์มีของล้ำค่าอย่างแหวนมิติจริงๆ เวลานี้นอกจากความอิจฉาแล้ว นางยังสงสัยด้วยว่าแคลร์มีของล้ำค่าขนาดนั้นได้อย่างไร? แคลร์ได้มาจากคลิฟหรือ? เป็นไปไม่ได้หรอก คลิฟมีแหวนมิติเพียงวงเดียวและกล่าวกันว่ายากมากที่จะได้มันมา เช่นนั้นแล้วแหวนมิติของแคลร์มาจากไหนล่ะ?  

 

 

“เราต้องไปฝั่งนี้ก่อน ผู้คนจากสามหมู่บ้านในบริเวณนั้นถูกขังอยู่และไม่สามารถออกไปไหนได้ อาหารใกล้จะหมดแล้ว” เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดเบาๆ พลางมองแผนที่ในมือ “ทางอื่นๆ มีคนจากวิหารไปแล้ว เรามีหน้าที่ช่วยเหลือผู้คนในหมู่บ้านฝั่งนี้โดยเร็วที่สุด” 

 

 

“ภัยพิบัติจากหิมะในปีนี้ดูเหมือนจะผิดปกติเล็กน้อยนะ” จินเหยียนขมวดคิ้วขณะที่มองไปที่ผืนดินสีขาว 

 

 

“ใช่ ดังนั้นทางวิหารจึงส่งเรามาและให้ค้นหาด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น” เหลิ่งหลิงยวิ๋นขึ้นรถเลื่อนและพูดกับทุกคน “เราไปกันเถอะ” ความจริงแล้วบุตรและเทพธิดาแห่งแสงสามารถแก้ไขภัยพิบัตินี้กันเองได้ แต่พระสันตปาปาก็ยืนกรานจะให้พาแคลร์มาด้วย 

 

 

ทุกคนขึ้นเลื่อน เหลิ่งหลิงยวิ๋นก็โบกแส้และตีให้เฉว่โช่ไปข้างหน้า 

 

 

หิมะและสายลมเย็นยะเยือกพัดกระทบผิวราวกับมีดแหลมคม 

 

 

ไป๋ตี้และเฮยหยู่ซ่อนตัวอยู่ในเสื้อคลุมและหมวกของแคลร์ แล้วพวกมันก็มองออกไปข้างนอก 

 

 

เลื่อนทำให้เกิดรอยยาวบนหิมะเป็นเส้นมุ่งหน้าไปยังหุบเขา 

 

 

บรรยากาศระหว่างทางค่อนข้างแปลก มีแต่ความเงียบความเงียบที่นิ่งสงบเท่านั้น          

 

 

“จิ๊บๆ!” ไป๋ตี้คลานเข้าไปในแขนของแคลร์และข่วนแคลร์ด้วยอุ้งเท้าของมัน     

 

 

แคลร์ก้มหัวลงและยิ้มเบาๆ นางหยิบเค้กช็อคโกแลตชิ้นเล็กๆ ออกมาจากแหวนมิติแล้วส่งให้อุ้งเท้าของไป๋ตี้ เมื่อเห็นเช่นนี้ เฮยหยู่ก็กระโดดลงไปและเอื้อมมือไปหยิบเค้กในมือของไป๋ตี้มา เจ้าตัวเล็กทั้งสองเริ่มแย่งของกันในอ้อมแขนของแคลร์ นาง    เอียงหัวดูการต่อสู้ระหว่างทั้งสองด้วยความสนใจ จินเหยียนมองแคลร์แต่ไม่ได้พูดอะไร นางสามารถนำเค้กชิ้นอื่นออกมาอีกก็ได้ แต่นางไม่ทำ เพราะนางชอบดูเจ้าสองตัวทะเลาะกัน 

 

 

“แคลร์ สองตัวนี้เป็นสัตว์เลี้ยงของเจ้าสองตัวเลยหรือ? พวกมันน่ารักมากเลย” หลิวเฉว่ฉิงพูด 

 

 

“อืม” แคลร์ตอบแผ่วเบา 

 

 

“แต่สัตว์ทั้งสองชนิดนี้คืออะไรกัน? ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย” หลิวเฉว่ฉิงยื่นมือออกมา นางยิ้มอย่างนุ่มนวลและเอื้อมไปสัมผัสเฮยหยู่ 

 

 

จินเหยียนหันหน้าหนีและกระตุกมุมปากเล็กน้อย 

 

 

จากนั้นสิ่งที่ทุกคนคาดเดาได้ก็เกิดขึ้น  

 

 

กรงเล็บของเฮยหยู่ข่วนเข้าที่มือของหลิวเฉว่ฉิงอย่างแรงและรอยเลือดสามเส้นก็ปรากฏเห็นเด่นชัดบนผิวขาวของหลิวเฉว่ฉิงทันที 

 

 

“อ๊าย!” หลิวเฉว่ฉิงร้องพลางถอนมือออกด้วยความเจ็บปวด 

 

 

“เทพธิดาแห่งแสง ข้าขอโทษจริงๆ” แคลร์คว้าตัวเฮยหยู่และพูดขอโทษ นางสังเกตเห็นความไม่พอใจในดวงตาของหลิวเฉว่ฉิง แม้ว่ามันจะหายวับไปทันที แต่แคลร์ก็ยังมองออก 

 

 

“ไม่เป็นไรหรอก” หลิวเฉว่ฉิงยิ้มเบาๆ แล้วแตะมือที่รู้สึกเจ็บของนาง      จากนั้นหลิวเฉว่ฉิงก็มองเหลิ่งหลิงยวิ๋น เขาได้ยินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่เขาไม่ได้หันมามองเลยสักนิด นับประสาอะไรกับการจะรักษาหลิวเฉว่ฉิงล่ะ  

 

 

สีหน้าของหลิวเฉว่ฉิงเจื่อนลงเล็กน้อย ความไม่พอใจที่มีต่อแคลร์ของนางก็เพิ่มมากขึ้นอีกหนึ่งเรื่อง     

 

 

ขณะนี้รถเลื่อนได้เข้าสู่ช่องเขา ทั้งสองข้างทางมีหน้าผาสูงชันและต้นไม้กระจัดกระจายสัตว์ต่างๆ หายไปหมดแล้ว หากไม่จำศีลก็น่าจะย้ายไปทางทิศใต้กัน 

 

 

“หลิงยวิ๋น! มีลมหายใจแห่งความมืด!” ทันใดนั้นหลิวเฉว่ฉิงก็ขมวดคิ้วและพูดออกมา 

 

 

แคลร์เงยหน้าขึ้นมองสภาพแวดล้อมโดยรอบ นางไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ จินหยียนขมวดคิ้วและวางมือบนด้ามจับดาบ เหลิ่งหลิงยวิ๋นเริ่มตื่นตัวเพราะหลิวเฉว่ฉิงมีความไวต่อความมืดเกินกว่าคนอื่นๆ รวมทั้งเขาด้วย 

 

 

“ตรงไหน?” สีหน้าของเหลิ่งหลิงยวิ๋นเปลี่ยนเป็นจริงจัง ไม่มีความผิดปกติใดๆ ในสภาพแวดล้อมนี้เลย แต่หลิวเฉว่ฉิงส่งเสียงเตือนและฝ่ายตรงข้ามก็ซ่อนตัวอยู่อย่างดีมากด้วย 

 

 

“ใกล้ๆ นี้ ตรงนั้น ไม่ใช่สิ! ตรงนี้ก็มี! รอบๆ นี้มีหมดเลย!” หลิวเฉว่ฉิงตื่นตระหนกลุกขึ้นยืนและมองไปรอบๆ อย่างประหม่า 

 

 

อะไรนะ? 

 

 

“โฮ่ๆ…” ในตอนนี้เฉว่โชก็เริ่มกระสับกระส่าย พวกมันกางแขนขาออกและวิ่งไปอย่างไร้ทิศทาง เลื่อนไปข้างหน้าด้วยความตื่นตระหนก รถเลื่อนกำลังจะชนก้อนหินขนาดใหญ่ ทั้งสี่คนที่อยู่บนเลื่อนจึงต้องกระโดดออกมา จากนั้นเลื่อนก็กระแทกเข้ากับหินจนหักไปส่วนเฉว่โช่ก็วิ่งออกไปอย่างบ้าคลั่งและหายไปในทันที 

 

 

……………………………………………………………………………..