บนแผ่นดินลอยฟ้าดำทมิฬแห่งหนึ่ง ที่นี่มีเผ่าพันธุ์ลึกลับดำรงชีวิตอยู่ที่นี่
พวกเขามีพลังเหนือมนุษย์แต่กำเนิด แม้จะเป็นประชากรธรรมดาสามัญที่บำเพ็ญเพียรไม่เป็น ก็มีพลังกายแห่งมรรคที่เลิศล้ำ เมื่อเจริญวัย ต่อให้เป็นคนธรรมดา ก็สามารถอาศัยปีกสีนิลเหาะเหินกลางอากาศได้
เผ่าพันธุ์นี้มักจะปรากฏตัวยามรัตติกาล จะนำการฆ่าล้างบางมาให้แผ่นดินบรรพกาลทุกครั้งที่เคลื่อนไหว
สิ่งมีชีวิตในแผ่นดินบรรพกาล ล้วนมองเผ่าพันธุ์นี้เป็นปีศาจร้ายแห่งรัตติกาล
เพราะพวกเขาต่างก็มีปีกสีดำ จึงถูกเรียกว่าเผ่าพันธุ์ปีกทมิฬ
ทว่า เผ่าพันธุ์นี้กลับโอ้อวดตนว่าเป็นทูตแห่งสวรรค์ ทุกสิ่งที่กระทำล้วนทำเพื่อสวรรค์
เผ่าพันธุ์ปีกทมิฬตั้งรกรากอยู่บนแผ่นดินบรรพกาล มีปราสาทหลังใหญ่มโหฬารตั้งอยู่ใจกลาง
ตราประทับสิบเอ็ดชิ้นลอยอยู่รอบๆ ปราสาท แผ่กระจายรัศมีออกอย่างกว้างขวาง เป็นสัญลักษณ์สื่อถึงราชันสูงส่งเหนืออื่นใดทั้งสิบเอ็ดแห่งเผ่าพันธุ์ปีกทมิฬ
เดิมทีมีตราประทับสิบสองชิ้น เพราะเหตุการณ์บางอย่าง ราชินีอ้านเย่สิ้นชีพกะทันหัน เป็นเหตุให้ตราประทับชิ้นหนึ่งแตกสลาย เหลือเพียงตราประทับสิบเอ็ดชิ้นเช่นวันนี้
เรื่องนี้เป็นที่ฮือฮาไปทั่วเผ่าพันธุ์ปีกทมิฬ จักรพรรดิปีกทมิฬสั่งให้ไว้อาลัยเป็นเวลาสามเดือน
ตอนนี้ การไว้อาลัยยังไม่เสร็จสิ้น เผ่าพันธุ์ปีกทมิฬยังคงจมดิ่งอยู่ในบรรยากาศโศกเศร้า
ภายในปราสาท จักรพรรดิปีกทมิฬยืนมือไพล่หลัง ทอดมองราชาทั้งสิบเอ็ดที่อยู่เบื้องล่าง
เสียงกึกก้องดังออกจากปากของจักรพรรดิ “ราชาซิงเย่ เจ้าถอดใจกับการสืบเรื่องของราชินีอ้านเย่ ขอลงโทษให้เจ้าไปให้พลังงานแก่ใจแห่งอนธการหนึ่งร้อยปี”
ชายรูปโฉมพิลึกคนหนึ่งก้มหัวคำนับ “ซิงเย่น้อมรับคำสั่ง!”
ทนทุกข์ร้อยปี แลกกับชีวิต ครานี้มันคุ้มค่าเสียเหลือเกิน!
“การตายของอ้านเย่จะจบเช่นนี้ไม่ได้ กระบี่พิชิตมารก็ต้องนำกลับมาให้จงได้ เรื่องนี้ใครจะรับต่อ”
สุระเสียงของจักรพรรดิปีกทมิฬดังขึ้นอีกครั้ง มันห่างไกล แต่กลับแทรกซึมเข้าไปในใจของทุกคน
เหล่าราชันต่างก็เงียบลงชั่วขณะ เห็นได้ชัดว่ากำลังพิจารณาส่วนได้ส่วนเสีย
เพราศัตรูทำให้ราชินีอ้านเย่ไม่สามารถใช้ได้แม้กระทั่งถาดเจ็ดดาว ก็กลายเป็นผู้ดำรงอยู่ที่สิ้นชีพวายชนม์อย่างสิ้นเชิง จะรอบคอบอย่างไรก็ไม่เกินเหตุเลย
ผ่านไปครู่หนึ่ง
สตรีผู้มีผมดำขลับดุจน้ำหมึกยาวจรดหัวเข่า งดงามจนจับต้องไม่ได้คนหนึ่งก้าวออกมา
นัยน์ตาของนางอบอุ่นสุกใสปานดวงจันทร์นวลกระจ่าง แต่สีหน้ากลับเรียบนิ่งดุจสายน้ำ ค้อมตัวเล็กน้อยแล้วพูดว่า “เยว่เย่ยินดีรับภารกิจนี้”
จักรพรรดิปีกทมิฬพยักหน้าเล็กน้อยอย่างชื่นชม “ดีมาก หากเรื่องนี้สำเร็จ เจ้าจะไม่ได้แค่ผลวิเศษลูกเดียวเท่านั้น แต่ยังมีสิทธิ์เข้าหุบเหวสวรรค์ สัมผัสแสงแห่งมรรควิถีหนึ่งพันปีหนึ่งหน”
เมื่อราชาทั้งหลายได้ฟัง ต่างก็ตกตะลึง อดมองราชินีเยว่เย่ด้วยสายตาอิจฉาไม่ได้
ผลวิเศษหายาก แสงแห่งมรรควิถีนั้นยากยิ่งกว่า
สัมผัสแสงแห่งมรรควิถี จะมีโอกาสได้สัมผัสธรณีประตูของระดับรวมมรรคา พวกเขาจะไม่หวั่นไหวได้อย่างไร
แต่ทว่าโอกาสเช่นนี้ ทุกๆ พันปีจะมีเพียงหนเดียว
หุบเหวสวรรค์จะเปิด ไม่คิดว่าโอกาสนี้จะถูกราชินีเยว่เย่ชิงไป!
“ขอบพระทัยองค์จักรพรรดิที่ทรงเมตตา”
แม้จะได้รับรางวัลที่เย้ายวนใจเช่นนี้ ราชินีเยว่เย่ก็ทำได้เพียงโค้งคำนับขอบคุณอย่างสงบ ไม่มีปฏิกิริยาอะไรมากนัก
จักรพรรดิปีกทมิฬเห็นฉากนี้ก็ลอบพยักหน้า ในบรรดาราชาทั้งสิบสองคน ความสามารถของราชินีเยว่เย่อยู่ในสามอันดับแรก แข็งแกร่งกว่าราชินีอ้านเย่มาก มิหนำซ้ำนางยังใจเย็น วางแผนแล้วค่อยลงมือ ภารกิจที่ทำไม่เคยล้มเหลวเลยสักครั้ง
อีกนัยหนึ่งก็คือ อันที่จริงในสายตาจักรพรรดิปีกทมิฬ ราชินีเยว่เย่ก็คือตัวเลือกที่ดีที่สุดในการจัดการเรื่องนี้
เป็นดังที่คาดไว้ นางก้าวออกมาแล้ว
แววตาของจักรพรรดิปีกทมิฬลุ่มลึก ประหนึ่งมองทะลุมิติไปยังทิศทางหนึ่ง พึมพำว่า “กระบี่พิชิตมาร…”
ณ แคว้นไป๋หัว
ภายในภัตตาคารแห่งหนึ่ง จู่ๆ อันหลินที่กำลังสวาปามกับพวกต้าไป๋และเจ้าอัปลักษณ์ก็จามขึ้นมา
“กำลังกินข้าวอยู่จามอะไร ทำลายความอยากอาหารนะ โฮ่ง!” ต้าไป๋ยกอุ้งมือขึ้นโต้แย้ง
อันหลินยิ้มอย่างรู้สึกผิด “อาจจะมีหญิงงามบางคนคิดถึงข้าก็ได้ แข็งแกร่งและหล่อเหลาเกินไป ข้าก็ช่วยไม่ได้”
ต้าไป๋กลอกตาเล็กน้อย ไม่สนใจเขาอีก ก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ
พวกเขากำลังอยู่ระหว่างเดินทางสู่สำนักวิหคชาด
เพราะว่าปิดเทอม อันหลินจึงตั้งใจว่าจะแวะเที่ยวไปตลอดทาง จะได้สัมผัสขนบธรรมเนียมของแคว้นจิ่วโจวด้วย
อาจเป็นเพราะพบเห็นเซียนหญิงรูปโฉมงดงามเป็นปกติแล้ว ตลอดทางนี้เขาเห็นหญิงงามแค่ไม่กี่คน
แต่ทางด้านอาหารการกิน มันถูกปากอันหลินเป็นอย่างมาก
พวกเขาไปยังร้านอาหารแต่ละแห่ง สั่งอาหารที่ไม่เคยพบไม่เคยเห็น ตลอดทางนี้ก็พออกพอใจมากเช่นกัน
หลังกินจนอิ่มหนำแล้ว อันหลินก็ไปดูหญิงงามที่หอวายุบุปผา
หอวายุบุปผาที่ว่านี้ไม่ใช่สถานที่อโคจรอย่างที่ทุกคนคิด ที่นั่นเป็นสถานที่บรรเลงขับขานบทเพลง ร่ายรำเริงระบำ นอกเหนือจากนี้ ไม่มีการค้าอย่างอื่น
ไม่แตกต่างจากการชมการแสดงทางศิลปะในแดนมนุษย์
พวกเริงระบำอะไรนั่น ที่จริงอันหลินไม่ได้สนใจมากนัก
แต่การขับขานบรรเลงเพลง ดึงดูดความสนใจเขาเป็นอย่างมาก
ท่วงทำนองของบทเพลงที่เป็นที่นิยมในแคว้นจิ่วโจวนั้นไพเราะอย่างยิ่ง แถมยังมีความสุนทรียภาพบางอย่าง
นักร้องร้องเพลงได้จับใจอย่างมาก ยืนอยู่ท่ามกลางบุปผาและดอกไม้ เสียงขับร้องกังวานดังไปรอบๆ ประหนึ่งม้วนภาพที่มีทั้งรูปและเสียง ทำให้อันหลินเพลิดเพลินใจเป็นล้นพ้น
ดวงจันทร์ลอยเด่นกลางนภา
ณ ท้องฟ้าบริเวณหนึ่งของแคว้นไป๋หัว มิติถูกมือเรียวยาวขาวปลอดคู่หนึ่งฉีกออก
หญิงสาวคนหนึ่งก้าวออกมาจากห้วงมิติ แสงจันทร์สาดกระทบตัวนาง แลดูบริสุทธิ์ผุดผ่อง
นางคือราชินีเยว่เย่ที่รีบเดินทางจากปราสาทมาเพื่อทำภารกิจนั่นเอง
“สัมผัสได้ว่า กระบี่พิชิตมารอยู่ละแวกนี้นี่แหละ”
ราชินีเยว่เย่หลับตาลง เชิดใบหน้าหยาดเยิ้มขึ้นเล็กน้อย สูดลมหายใจอย่างเชื่องช้า
“จะส่งคนเข้าไปโดยตรงไม่ได้ เช่นนั้นมันจะชัดเจนเกินไป”
“ต้องทำอย่างไรจึงจะไม่โจ่งแจ้งเกินไป และรู้ความเป็นไปด้วยเล่า”
สายลมโชยอ่อน เรือนร่างของเยว่เย่เคลื่อนไหวตามแรงลม ดุจก้านหลิวลอยล่องกลางอากาศ
“กลืนไปกับธรรมชาติ กลายเป็นผู้เฝ้ามองอย่างสิ้นเชิง”
“เมินเฉยต่อทุกสรรพสิ่ง ไม่ข้องเกี่ยว ไม่แยแส แต่กลับรู้ทุกความเคลื่อนไหว…”
นางยิ้มบางๆ ร่างกายถูกแสงจันทร์ปกคลุม เหาะขึ้นไปยังท้องนภา กลายเป็นดวงดาว
ดาวดวงนี้ไม่พราวระยับ แสงของมันนวลกระจ่างดุจแสงจันทร์
อันที่จริงมันก็คือจันทราดวงเล็ก กลมกลึง เค้าโครงชัดเจน
จันทร์คือดารา ดาราคือจันทร์
แม้จะกลายเป็นธรรมชาติ เมินเฉยต่อสรรพสิ่งแล้ว แต่มันยังคงมองเห็นอันหลิน
พูดให้ถูกก็คือ ไม่ใช่มันเห็นอันหลิน แต่เพราะสายใยบางอย่างระหว่างมันกับกระบี่พิชิตมาร ทำให้อันหลินสะดุดตายิ่งขึ้น
บนหอวายุบุปผา นักร้องร้องเพลงจบ ผู้ชมหน้าเวทีต่างก็ปรบมือกันอย่างคับคั่ง
แม้แต่ต้าไป๋ก็นั่งปรบมืออยู่บนพื้นอย่างตื่นเต้นดีใจเช่นกัน
ปกติมันไม่เคยมาสถานที่แบบนี้ ยามนี้ได้เห็นหญิงงามเริงระบำ ได้ฟังหญิงงามร้องเพลง ถือเป็นความเพลิดเพลินอย่างยิ่งสำหรับมัน
ดูเหมือนว่ากฎเกณฑ์ความแตกต่างทางเผ่าพันธุ์จะใช้ไม่ได้กับต้าไป๋ เมื่อมันเห็นหญิงงาม ตาเยิ้มๆ ของมันจะเบิกกว้าง เหมือนตาแก่ขี้เหงายามเห็นสาวสวย
อันหลินสงสัยมาตลอดว่าต้าไป๋กลายร่างจากผู้ชาย ไม่อย่างนั้นคงไม่ตื่นเต้นกว่าเขาเวลาเห็นผู้หญิงหรอก
“ฮัดชิ้ว!”
ขณะที่อันหลินกำลังปรบมืออยู่นั้น เขาก็จามขึ้นมาอีกครั้ง
ต้าไป๋ยิ้มร่า “พี่อัน คืนนี้เจ้าช่างเนื้อหอมเสียจริง มีหญิงงามขี้เหงาคิดถึงเจ้าอีกแล้ว!”
อันหลินสูดจมูก พูดอย่างหน่ายใจว่า “เฮ้อ ผู้หญิงที่แอบเฝ้ามองข้า แอบคิดถึงข้าเงียบๆ ไม่ยอมสารภาพแบบนี้ ข้าจะว่าอย่างไรดีล่ะ”
……………….