ตอนที่ 309 ร้องเรียน / ตอนที่ 310 ร้องเรียน

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

ตอนที่ 309 ร้องเรียน

หรือไม่เขาก็จำเรื่องในอดีตได้แล้ว แต่หลอกว่าจะไม่ได้ คิดอยากให้นางทำคำสัญญาที่เมื่อวานเขาหลอกนางให้เป็นจริง

นางสะบัดศีรษะ ไม่มีทาง นางเป็นเพียงเด็กสาวยากจนในหมู่บ้านบนภูเขาคนหนึ่ง ส่วนเขาเป็นคนที่มีฐานะสูงศักดิ์อย่างแน่นอนคนหนึ่ง เมื่อเขาฟื้นความทรงจำได้แล้ว เขาย่อมไปจากที่นี่ ส่วนนางกลับต้องการเพียงอยู่ที่นี่ ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขต่อไป

ดังนั้น พวกเขาถูกลิขิตไว้ว่าต้องแยกทางกัน

ครั้นคิดถึงคำว่าแยกทาง นางพลันรู้สึกทุกข์ใจจนยากจะรับไหว

หูเฟิงถาม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่จู่โจมพวกเราในวันนั้นเป็นใคร”

ไป๋จื่อตื่นจากภวังค์ มองหูเฟิงที่มีสีหน้าสงบนิ่งเช่นเคย “หากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ น่าจะเป็นเถ้าแก่เฉียน วันนั้นพวกเราผิดใจกับเขาตอนช่วยอาอู่ เขาย่อมรู้สึกเกลียดแค้นอยู่ในใจ แต่เพราะเป็นกังวลเรื่องเมิ่งหนาน จึงไม่กล้าลงมือ วันก่อนเมิ่งหนานเพิ่งย่างเท้าออกจากเมืองชิงหยวน เขาก็ซุ่มโจมตีพวกเราระหว่างทางอย่างอดไม่อยู่”

ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าคนพวกนั้นเป็นคนที่เถ้าแก่เฉียนส่งมา”

“ข้าเห็นใบหน้าของคนหนึ่งในนั้น เป็นลูกน้องที่ยืนอยู่ข้างกายของเถ้าแก่เฉียนไม่ผิดแน่ ข้าไม่มีทางจำพลาด” ไป๋จื่อกล่าว

อาอู่ที่ยกถ้วยยาเข้ามา ได้ยินบทสนทนาของคนทั้งสองพอดี จึงรีบเดินเข้ามาถึงข้างๆ พวกเขา ครั้นวางถ้วยยาในมือลงแล้ว เขาก็ถามพร้อมสีหน้าซีดเผือด “วันนั้น…คนที่ต้องการฆ่าพวกเจ้าวันนั้น เป็นคนของเถ้าแก่เฉียนหรือ”

ไป๋จื่อคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะได้ยินบทสนทนานี้ เดิมทีนางไม่อยากบอกให้เขารู้ ด้วยกลัวว่าเขาจะรู้สึกผิด

“พี่อู่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับท่าน ท่านไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง”

อาอู่นึกถึงความยากลำบากที่ทั้งสองคนได้รับในสองวันนี้ ขอบตาพลันแดงก่ำขึ้นมา “จะไม่เกี่ยวกับข้าได้อย่างไร หากไม่ใช่เพราะข้า พวกเจ้าจะ…จะถูกพวกเขาทำร้ายจนมีสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร”

หูเฟิงเพิ่งกลับมาจากประตูแห่งความตาย ไป๋จื่อเกือบสังเวยชีวิตให้เสือเพื่อจะช่วยหูเฟิง และต้นตอของทุกอย่างนี้ กลับเป็นเพราะวันนั้นทั้งสองคนช่วยออกหน้าแทนเขา

เขากำสองหมัดจนแน่นเสียจนข้อนิ้วส่งเสียงดังลั่น “ข้าจะไปหาเขา!” เขาผุดลุกขึ้นกลับหลังกัน หมายจะออกจากประตูไป

ไป๋จื่อรีบขวางเข้าไว้ “พี่อู่ ท่านไปไม่ได้”

อาอู่จะยอมได้อย่างไร “ข้าไม่อาจให้พวกเจ้ารับความทุกข์ยากเช่นนี้ไปเปล่าๆ ปลี้ๆ ข้าต้องไปคิดบัญชีกับเขา กรรมเกิดจากเหตุ มีเหตุจึงมีผลตามมา พวกเขาต้องชดใช้กรรม ข้าจะไปหาพวกเขาโดยเร็วที่สุด ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่กลัวพวกเขา”

“พี่อู่ หากท่านไปเช่นนี้ก็เท่ากับว่าไปตาย วางใจเถอะ ข้าไม่มีทางให้พวกเขาทำตัวเหนือกฎหมาย พรุ่งนี้ข้าจะไปร้องเรียนเขาที่ที่ว่าการอำเภอ ให้ใต้เท้ากู้ดูแลพี่เขยของเขาให้ดีเสียหน่อย” ไป๋จื่อกล่าว

อีกฝ่ายรีบพูด “นั่นคงจะไม่ได้ ใต้เท้ากู้ผู้นั้นไม่ใช่คนดีอะไร หากไม่ใช่เพราะเขาจงใจปล่อยให้กระทำความผิดโดยไม่ห้ามปราม เถ้าแก่เฉียนก็คงไม่กล้ากระทำตามอำเภอใจเช่นนี้ เจ้าไปร้องเรียนกับใต้เท้ากู้ ย่อมไม่มีทางสำเร็จ”

ไป๋จื่อกลับไม่ตกหลุมพราง “ข้ามีหลักฐาน พยานบุคคลและพยานวัตถุล้วนครบครัน เขามีสิทธิ์ไม่ตัดสินโทษเถ้าแก่เฉียนหรือ แค่เพราะคนแซ่เฉียนนั่นสนิทสนมกับเขาหรือ เขาเห็นว่าเมืองชิงหยวนแห่งนี้ เป็นดั่งลานบ้านดังหลังของพวกเขาสกุลกู้และเฉียนกระมัง”

ไม่นานก่อนหน้านี้ ใต้เท้ากู้เพิ่งได้รับคำชมจากฝ่าบาทเพราะสงเคราะห์ผู้ประสบภัยได้สำเร็จ เขาไม่น่าจะหลงระเริงได้รวดเร็วปานนั้นกระมัง

หูเฟิงไม่พูดจา เพียงยกถ้วยยาบนโต๊ะขึ้นดื่มอย่างเงียบๆ เขากระดกถ้วยดื่มยาจนหมดเกลี้ยง รสชาติชวนอาเจียนทำให้น้ำย่อยของเขาปั่นป่วน ต้องใช้ความพยายามทั้งหมด เมื่อครู่ถึงจะกลั้นความต้องการสำรอกออกมาได้

หลังจากดื่มน้ำชาลงไปอีกสามถ้วย เขาก็เงยหน้าขึ้นมาไป๋จื่อที่อยู่ข้างๆ “พรุ่งนี้ข้าจะไปกับเจ้า”

ไป๋จื่อขมวดคิ้ว อาการบาดเจ็บของเขายังไม่หาย หัวสมองน่าจะยังโคลงเคลงอยู่ ให้เขาไปด้วยไม่ได้เป็นอันขาด

นางยิ้มกล่าว “ได้ เช่นนั้นก็ไปด้วยกัน”

ตอบตกลงรวดเร็วปานนี้? หูเฟิงเลิกคิ้ว นี่ไม่เหมือนนิสัยของนางเอาเสียเลย

……….

ตอนที่ 310 ร้องเรียน

“เอาล่ะ เจ้าพักผ่อนเถอะ!” นางหันไปกล่าวกับอาอู่ว่า “พี่อู่ พวกเราไปดูเสือกับหมาป่าที่เมื่อวานพวกเรานำกลับมาด้วยดีกว่า ต้องถลกหนังพวกมันออกมาโดยเร็ว”

อาอู่พยักหน้า “ข้ากับท่านลุงหูต่างก็เจรจากันเรียบร้อยแล้ว ว่าวันนี้จะถลกหนังเจ้าพวกนั้นออกมา”

ทั้งสองคนเดินสนทนากันออกจากห้องไปพร้อมเสียงหัวเราะ หูเฟิงมองพวกเขาจนกระทั่งเงาหลังหายวับไป คราวนี้เขาถึงจะถอนสายตากลับมา บนใบหน้าเรียบเฉยไร้คลื่นลมดังเก่า ทว่าลึกลงไปในดวงตากลับมากระแสน้ำดำทมิฬคลุ้มคลั่ง

เขาจำเรื่องบางเรื่องได้แล้ว แม้จะไม่นับว่าความทรงจำฟื้นกลับมาทั้งหมด แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ฐานะของตนเองแล้ว

สามปี สามปีมาแล้ว ในที่สุดเขาก็ค้นพบตัวเอง ทว่าเวลานี้ วินาทีนี้ เขายอมไม่พบตนเองเช่นนี้เสียดีกว่า เขายอมไม่ค้นพบความทรงจำเหล่านี้ไปตลอดทั้งชีวิตเสียดีกว่า

ที่แท้สามปีนี้เป็นเพราะสวรรค์เมตตา ถึงใดประทานช่วงเวลาที่งดงามมาให้เขา

วินาทีที่ความทรงจำของเขากลับคืนมา ความงดงามทั้งหมดล้วนสลายไปราวกับฝุ่นควัน

เขาไม่ใช่หูเฟิง ทว่าเวลานี้เขายอมให้ตนเองเป็นหูเฟิง เป็นหูเฟิงไปตลอดกาล

ท่านลุงหูและอาอู่กำลังง่วนอยู่กับการถลกหนังเสือและหนังหมาป่า ส่วนไป๋จื่อหั่นเนื้อเม่นและเนื้อลิ่นที่ก่อนหน้านี้จัดการเรียบร้อยแล้วให้พวกเขา นางแบ่งเนื้อพวกนั้นเป็นสี่ส่วนใหญ่ๆ ใช้เชือกพันไว้ ก่อนจะส่งไปให้บ้านของหลี่เฉิงและอู๋เจียงสองส่วน จากนั้นก็นำหนึ่งส่วนที่ใหญ่ที่สุดไปให้ภรรยาของอู่และหัวหน้าหมู่บ้าน

และถือโอกาสมอบให้หลี่ซานทงด้วยหนึ่งส่วน

คนในหมู่บ้านเห็นนางส่งเนื้อชิ้นแล้วชิ้นเล่าไปทางนั้นที ทางนี้ที ในใจรู้สึกอิจฉาแทบตาย ย่อมต้องเกิดความโลภเป็นธรรมดา คืนนั้นมีบุรุษในหมู่บ้านออกไปตามหาพวกเขาไม่น้อย วุ่นวายกันอยู่ค่อนคืน แล้วเหตุใดถึงไม่ได้รับผลโยชน์ใดเลยแม้แต่ครึ่ง

ทุกคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์ ขณะที่แต่ละคนล้วนมีความไม่พอใจ หูจ่างหลินและอาอู่ก็นำเนื้อออกมา เนื้อหมาป่า เนื้อเสือล้วนมีพร้อม อร่อยหรือไม่ไม่รู้ ถึงอย่างไรก็เป็นน้ำใจ พวกเขานำเนื้อไปมอบให้ครอบครัวที่ร่วมตามหาไป๋จื่อและหูเฟิงในคืนก่อน คราวนี้ถึงจะนับว่าปิดปากพวกเขาได้

พืชไร่ในที่ดินยังไม่ได้เก็บเกี่ยว เสบียงอาหารของแต่ละครอบครัวต่างตึงมือ มีข้าวกินถึงแม้จะไม่เลว ทว่าการกินเนื้อถือเป็นความคิดที่ฟุ่มเฟือย วันนี้กลับได้ส่วนแบ่งเนื้อเช่นนี้ พวกเขายังจะสนอีกหรือว่าเป็นเนื้ออะไร แค่เป็นเนื้อก็เพียงพอแล้ว

ในวันนี้ ทั่วทั้งหมู่บ้านมีแต่กลิ่นหอมอบอวล เหล่าคนที่ไม่ได้ส่วนแบ่งเนื้อย่อมไม่พูดมาก ทำได้เพียงอิจฉาริษยาและกลืนน้ำลายลงท้อง ใครใช้ให้พวกเขาไม่ไปช่วยตัวหาคนในวันนั้นกันเล่า?

บรรยากาศในสกุลไป๋ขณะนี้อึมครึมจนยากจะบรรยาย ไม่มีความผ่อนคลายใดสักกระผีก

หญิงชรายืนอยู่ที่หน้าประตู มองควันสีขาวพวยพุ่งออกจากปล่องไฟของแต่ละบ้าน ควันแต่ละสายเต็มไปด้วยกลิ่นเนื้อที่ลอยมากระทบ ทำเอานางโมโหจนกัดฟันกรอด

“นางเด็กชั่ว นางเด็กน่าตาย นางหมาป่าตาขาวไร้น้ำใจ สกุลไป๋นับว่าเลี้ยงเจ้าเสียข้าวสุกแล้ว ทั้งหมู่บ้านล้วนได้แบ่งเนื้อ แต่กลับไม่มีส่วนของพวกข้าสกุลไป๋รึ นี่เป็นการไม่เห็นหัวพวกข้าชัดๆ”

หลิวซื่อกล่าวต่อ “ใช่เจ้าค่ะ ข้าว่านางต้องจงใจแน่ๆ”

เจ้ารองที่นั่งอยู่ในลานบ้านกล่าวบ้าง “คืนนั้นหัวหน้าหมู่บ้านมาหาพวกเรา บอกว่าจื่อยาโถวกับหูเฟิงหายตัวไป ให้ข้าตามพวกเขาไปตามหาด้วยกัน เดิมทีข้าจะไปอยู่แล้ว แต่พวกท่านสองคนไม่ยอมให้ข้าไป การแบ่งเนื้อครั้งนี้ ย่อมไม่มีส่วนของพวกเราอย่างแน่นอน ยังจะพูดอะไรได้อีก”

ตอนนี้เจ้ารองนับว่าหูตาสว่างแล้ว หากใช้ชีวิตอยู่กับสองแม่สามีและลูกสะใภ้นี้ต่อไป เขาไม่มีทางได้มีความสุขไปตลอดชีวิต

ที่น่าโมโหก็คือ เงินในบ้านเหลืออยู่ไม่เท่าไรเพราะรักษาขาให้เจ้าใหญ่ หากแยกบ้านไปจริงๆ ด้วยนิสัยของหญิงชราแล้ว น่ากลัวว่าจะไม่แบ่งให้เขาแม้สักทองแดงเดียว

อย่าว่าแต่แบ่งเงินเลย แม้จะแบ่งที่ก็ไม่มีทางแบ่งอย่างยุติธรรม