ตอนที่ 311 เปลี่ยนนิสัยแล้ว / ตอนที่ 312 คำแนะนำของเสี่ยวติง

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

ตอนที่ 311 เปลี่ยนนิสัยแล้ว

อยากรอดผ่านสองสามวันนี้ได้ต้องเริ่มเก็บเกี่ยวข้าวสาลี ตอนนี้เขาเริ่มปวดหัว ขาของเจ้าใหญ่ยังคงเจ็บอยู่ แม่สามีและสะใภ้ใหญ่ในบ้านก็พึ่งพาไม่ได้ อย่างไรเขาก็ต้องลงมือทำเอง ทว่าผลประโยชน์ในท้ายที่สุดกลับต้องตกไปอยู่ในมือของเจ้าใหญ่ แล้วเขาจะชอบใจได้อย่างไร

หญิงชรากำลังโมโห ไม่อาจขจัดไฟโทสะที่สุมอยู่ในอกได้ เวลานี้เจ้ารองก็ยังขัดใจนางอีก นางเร่งฝีเท้าเดินออกมา มือข้างหนึ่งเท้าเอว มืออีกข้างชี้หน้าต่อว่าบุตรชายคนรอง “แท้จริงแล้วเจ้าอยู่ฝ่ายไหนกันแน่ เจ้ายังเป็นลูกของข้าอยู่หรือไม่ เหตุใดยังช่วยคนนอกพูดอยู่อีก ในหัวสมองหมูของเจ้ามีอะไรอยู่ข้างในกัน ขี้เลื่อยรึ”

เจ้ารองก็โมโหขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกัน เขาผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ไผ่ กล่าวด้วยความโกรธว่า “ที่อยู่ในสมองของข้าคือขี้เลื่อย? เช่นนั้นในหัวสมองของพวกท่านมีอะไรอยู่บ้าง เดิมทีพวกเราสกุลไป๋ก็มีชีวิตที่ดีอยู่แล้ว ทว่าตอนนี้มีสภาพเป็นอย่างไรบ้างแล้ว นี่ล้วนเป็นเรื่องดีที่ใครก่อขึ้นกัน”

ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เจ้ารองก็จะมีไฟกองหนึ่งลุกโหมขึ้นในใจด้วย เมื่อก่อนมีจ้าวหลานและไป๋จื่ออยู่ ทั้งในและนอกบ้านล้วนไม่ต้องเป็นกังวล ถึงเวลากินข้าวก็มีข้าวกิน มีคนคอยทำงานให้ เขาแค่ทำงานเล็กน้อยง่ายๆ พวกนั้นก็พอแล้ว ทำดีก็ถือว่าเสร็จสิ้น หากทำไม่ดีจ้าวหลานก็จะทำให้ใหม่ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยบ่น

แล้วตอนนี้เล่า? ที่นาและที่ดินมีแต่หวังพึ่งเขาคนเดียว ส่วนสตรีในบ้านมีตั้งมากมาย เขาไม่เข้าใจครอบครัวนี้เลย และไม่รู้เลยจริงๆ ว่าต้องใช้ชีวิตโดยที่ไม่ได้กินข้าวครบสามมื้อเช่นนี้อีกนานเท่าไร

เขาถีบเก้าอี้อย่างแรงครั้งหนึ่ง แล้วหมุนกายเดินไป

ครั้นเห็นหญิงชรายังคิดจะตามไป หลิวซื่อก็รีบรั้งนางเอาไว้ “ท่านแม่ พอเถอะเจ้าค่ะ”

หญิงชราเองก็แปลกใจเช่นกัน “ปกติแล้วเจ้าอยากให้ข้าจัดการบ้านรองไม่ใช่หรือ วันนี้เป็นอะไรไป เปลี่ยนนิสัยแล้วรึ”

หลิวซื่อหัวเราะแห้งๆ “ท่านแม่ ท่านพูดอะไรเจ้าคะ ข้าอยากให้ท่านจัดการบ้านรองตั้งแต่เมื่อใดกัน พวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน ทุกคนปรองดองกันถึงจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ทะเลาะเบาะแว้งกันเช่นนี้จะมีความสุขได้อย่างไรเจ้าคะ”

แม่สามีเองก็ไม่ใช่คนโง่ หลิวซื่อเป็นคนอย่างไร ไม่มีใครรู้ชัดเจนไปมากกว่านาง ไม่มีทางตื่นเช้าหากไม่มีผลประโยชน์ส่วนตัว แต่ไหนแต่ไรไม่เคยเห็นบ้านรองและบ้านสามเป็นครอบครัวเดียวกัน บัดนี้พูดว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ย่อมต้องมีเป้าหมายอื่นแน่นอน

เจ้าใหญ่บาดเจ็บที่ขา เสี่ยวเฟิงต้องเรียนหนังสือ ต้าเป่าไม่มีความสามารถ บัดนี้งานในที่นาพึ่งให้เจ้ารองทำ หากยั่วโมโหเจ้ารองแล้ว เขาเรื่องมากไม่ยอมทำงานขึ้นมา เช่นนั้นก็เป็นเรื่องใหญ่แล้ว

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ความโกรธของหญิงชราก็หายไปมากกว่าครึ่ง ขณะนี้เป็นเวลาที่ต้องหวังพึ่งเจ้ารอง ไม่ควรยั่วโมโหเขาจริงๆ ไม่เพียงแต่ยั่วโมโหไม่ได้ ยังต้องง้อเขาอีกต่างหาก

ทันทีที่ได้ดังนั้นแล้ว หญิงชราก็พูดกับหลิวซื่อว่า “กลางวันต้มโจ๊กให้ข้นหน่อย แล้วให้บ้านรองกินก่อน”

เช้าวันต่อมา ไป๋จื่อตื่นนอนตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เพื่อไปพบกับอาอู่ที่หน้าหมู่บ้านตามนัด อาอู่บังคับรถม้ามารอแล้ว เดิมทีม้าไม่ได้บาดเจ็บหนัก หลังจากใส่ยาให้สองวัน วันนี้มันก็ดีขึ้นมากแล้ว

“จะไม่พาหูเฟิงไปด้วยจริงหรือ” อาอู่ถามไป๋จื่อ

ไป๋จื่อส่ายหน้า “พาเขาไปไม่ได้เจ้าค่ะ บาดแผลที่ศีรษะของเขายังไม่หายดี หากระหว่างทางกระแทกอะไรเข้าอีก เช่นนั้นย่อมเป็นเรื่องใหญ่ วันนี้แค่ไปร้องเรียนเท่านั้น ข้ารับมือไหวอยู่แล้ว”

“นำของมาแล้วหรือเจ้าคะ” นางหันไปถามอาอู่

……….

ตอนที่ 312 คำแนะนำของเสี่ยวติง

อาอู่รีบนำของบางสิ่งออกมาจากในอกเสื้อ ห่อผ้าขาดๆ พันลูกธนูสองสามดอกไว้

นี่เป็นลูกธนูเก็บได้บริเวณเนินต้นงิ้ว หนึ่งดอกในนั้นเป็นลูกธนูหักที่ดึงมาจากก้นม้า ทั้งยังจงใจทิ้งคราบเลือดบนหัวลูกธนูเอาไว้ด้วย เพราะอยากให้นายอำเภอเห็นหลักฐานเลือดนี้

รถม้าออกจากหมู่บ้านหวงถัว สุดท้ายนางไปถึงเวลาที่ว่าการอำเภอเปิดประตูพอดี

คนที่รอร้องเรียนอยู่ที่ว่าการอำเภอมีเพียงนาง ไม่มีใครอื่นอีก

เจ้าพนักงานที่อารักขาอยู่ที่หน้าประตูเป็นบุรุษคนที่เคยเจอหน้ากันอยู่หลายครั้ง ก่อนหน้านี้ที่นางมาหาเมิ่งหนาน ล้วนเป็นเขาที่นำทางนางเข้าไป

“แม่นางไป๋? วันนี้เจ้ามาทำอะไรหรือ ใต้เท้าเมิ่งกลับเมืองหลวงไปแล้ว เรื่องนี้เจ้าไม่รู้หรือนี่” เจ้าพนักงานเสี่ยวติงกล่าวกับไป๋จื่อ

ไป๋จื่อยิ้มตอบ “ข้าไม่ได้มาหาใต้เท้าเมิ่งเจ้าค่ะ ข้ามาร้องเรียน”

เสี่ยวติงชะงักค้าง “ร้องเรียน? เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

เด็กสาวถอนใจเสียงหนึ่ง “วันนั้นหลังจากที่ข้าและหูเฟิงส่งใต้เท้าเมิ่งไปเมืองหลวงจากตรงประตูเมือง ระหว่างทางกลับไปพบการซุ่มโจมตี มีคนกลุ่มหนึ่งแสร้งเป็นโจรป่าจู่โจมพวกข้า ข้าเคยเห็นคนหนึ่งในพวกเขา เป็นลูกน้องคนสนิทของเถ้าแก่เฉียนเจ้าค่ะ”

สีหน้าของเสี่ยวติงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะกดเสียงพูดว่า “เถ้าแก่เฉียนที่เจ้าว่า หมายถึงเฉียนจงหยวนหรือ”

ไป๋จื่อพยักหน้า “ใช่เจ้าค่ะ มีวันหนึ่งเขาวางอำนาจรังแกคน ข้าจึงสั่งสอนเขาไปหลายประโยค คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะแค้นฝังใจ และอยากเอาชีวิตของข้ากับหูเฟิงเพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ พวกข้าโชคดี ถึงได้รอดคราวเคราะห์นี้มาได้”

อีกฝ่ายดึงนางไปอีกด้านหนึ่ง “แม่นางไป๋ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเถ้าแก่เฉียนเป็นใคร”

“แน่นอนว่ารู้เจ้าค่ะ เขาเป็นพี่เขยของใต้เท้ากู้ใช่หรือไม่” ไป๋จื่อกล่าว

“รู้แล้วยังจะฟ้องร้องเขาอีกหรือ แต่ไหนแต่ไรใต้เท้ากู้ล้วนปกป้องเขา เจ้ามาร้องเรียนเขาไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรืออย่างไร” เสี่ยวติงร้อนใจอยู่บ้าน ถึงอย่าไรก็มีวาสนาได้พบกันอยู่หลายครั้ง ใต้เท้าเมิ่งยิ่งมีบุญคุณกับเขา สหายของใต้เท้าเมิ่ง ก็ถือเป็นสหายของเขาเสี่ยวติง ย่อมไม่อาจเห็นนางไปทำเรื่องโง่ๆ

ไป๋จื่อขมวดคิ้ว “รนหาที่ตาย? เฉียนจงหยวนต้องการให้ข้าตาย เขาจ้างนักฆ่ามาฆ่าคน เขาต่างหากที่ควรตาย กลายเป็นข้าที่รนหาที่ตายได้อย่างไรกัน ข้ามีหลักฐานด้วย หรือใต้เท้ากู้ผู้เป็นข้าราชการสูงศักดิ์ จะตัดสินโทษให้ผู้รับเคราะห์เช่นข้า”

นางคิดเพียงต้องการทวงคืนความยุติธรรมให้กับหูเฟิงและตนเอง หากครั้งนี้ไม่มาฟ้องร้องคนแซ่เฉียนที่ที่ว่าการอำเภอ ไม่แน่ว่าเมื่อเขารู้แล้วว่านางกับหูเฟิงยังมีชีวิตอยู่ ก็อาจจะยังส่งนักฆ่ามาทำร้ายพวกเขาอีกก็ได้

ถึงแม้ครั้งนี้จะฟ้องร้องเขาไม่สำเร็จ แต่อย่างน้อยก็ให้ใต้เท้ากู้รู้เรื่องนี้ไว้สักหน่อย อย่างไรเขาก็ต้องตักเตือนพี่เขยของตนอย่างลับๆ ว่าหลังจากนี้อย่าได้ไปหาเรื่องนางอีก

ครั้นเห็นไป๋จื่อยืนกรานจะร้องเรียน เสี่ยวติงก็หมดหนทางกับนาง ทำได้เพียงดึงอาอู่ไปอีกด้าน “พี่ชาย หากเจ้าอยากให้นางมีชีวิตรอด ก็รีบไปหากำลังสนับสนุนเถอะ แม่นางไป๋ไม่รู้นิสัยของใต้เท้ากู้ ถึงได้ยืนกรานจะฟ้องร้องเฉียนจงหยวนเช่นนี้ สุดท้ายแล้วต้องจบไม่สวยแน่”

อาอู่ก็เคยได้ยินกิตติศัพท์นิสัยของใต้เท้ากู้ ว่าเขาไม่ได้มีศีลธรรมจรรยาอะไร ตอนนี้แม้แต่เสี่ยวติงก็พูดเช่นนี้ ดูท่าทางเรื่องนี้คงจะไม่เข้าท่าแล้วจริงๆ

“แต่ข้าก็ไม่รู้จักใครเหมือนกัน จะให้ไปหากำลังสนับสนุนจากที่ใด”

เสี่ยวติงครุ่นคิด จู่ๆ ก็นึกถึงใครบางคนขึ้นได้ เขารีบกล่าวว่า “เจ้ารีบไปหาเถ้าแก่เฉินที่ร้านสือเค่อ เถ้าแก่เฉินกับใต้เท้าเมิ่งเป็นสหายสนิท แม้ใต้เท้าเมิ่งจะไม่อยู่ที่นี่ แต่มิตรภาพของเขากับแม่นางไป๋ก็ยังคงอยู่ หากเถ้าแก่เฉินรู้เรื่องนี้เข้า จะต้องยอมออกหน้าช่วยเหลืออย่างแน่นอน”

อาอู่พยักหน้าหงึกหงัก “ได้ ข้าจะไปที่ร้านสือเค่อ น้องเสี่ยวติง ข้าฝากเจ้าดูแม่นางไป๋หน่อย หากใต้เท้ากู้จะลงมือกับนางจริง เจ้าช่วยขอความเมตตาแทนนางด้วย” อาอู่ร้อนใจเหมือนถูกไฟเผา ไหนเลยจะคิดได้ว่าเสี่ยวติงเป็นเพียงเจ้าพนักงานเฝ้าประตู ไม่มีสิทธิ์เข้าไปภายในศาลาว่าการโดยสิ้นเชิง