ตอนที่ 144 ซือคงอวี้สั่งการล่าระดับที่หนึ่ง

เดิมพันเสน่หา

เหลิ่งรั่วปิงไม่ลังเลอีกต่อไป เธอฉีกชายเสื้อของตนเอง กัดนิ้วมือจนเลือดออก เขียนเป็นตัวอักษรขนาดใหญ่ “คิดถึง” จากนั้นหยิบมีดบินออกมา ตัดผมของตนเองหนึ่งช่อ ห่อเอาไว้ในเศษผ้า ยื่นให้กับอาเธอร์ “อาเธอร์ เอาสิ่งนี้ให้เจ้าวิหารแทนฉันที บอกกับเจ้าวิหาร ฉันจะคิดถึงเขาไปตลอดชีวิต”

เส้นผม แสดงถึงความรักความผูกพัน ตัดผมทิ้ง สื่อความหมายถึงการจากลา

ตอนที่เหลิ่งรั่วปิงนั่งเรือออกไปจากเกาะ หนานกงเยี่ยฟื้นขึ้นมาแล้ว

เขานอนอยู่ในห้องวีไอพีในโรงพยาบาลเอกชนเครือหนานกง หนานกงเยี่ยค่อยๆ ลืมตาขึ้น แสงแดดดยามเช้าส่องเข้ามาในห้อง กระทบลงบนพื้น เขารู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปนานมาก เหมือนว่าตนเองหลับฝันอยู่นานแสนนาน ในฝันเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เขาพยายามดิ้นรนเพื่อให้ตื่นจากฝัน แต่ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้

หนานกงเยี่ยในตอนนี้ สวมชุดผู้ป่วย ใบหน้าของเขาซีดขาว ผมยุ่งเหยิง ร่างกายอ่อนแรง

หลังจากปรับตัวกับสิ่งในห้องอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ เขาก็นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน หนานกงเยี่ยรีบดีดตัวเด้งขึ้นมา “ก่วนอวี้ ก่วนอวี้!”

“คุณชายเยี่ยครับ” ก่วนอวี้ยืนอยู่ข้างเตียง ร่างกายของเขาอ่อนเพลีย สีหน้าอิดโรย

“เหลิ่งรั่วปิงละ นายพาเธอกลับมาหรือยัง” หนานกงเยี่ยมองไปที่ก่วนอวี้ด้วยแววตากังวล

“…” ก่วนอวี้ก้มหน้าลงด้วยความลำบากใจ เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไง เขาส่งคนจำนวนมากไปตามหาเหลิ่งรั่วปิงในน้ำ แต่สุดท้ายกลับเจอแค่รถยนต์ของเหลิ่งรั่วปิง ไม่เห็นเจ้าตัว

คนเรามักจะคิดในด้านที่แย่ที่สุด หนานกงเยี่ยเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง เขาเองก็ไม่แตกต่างจากทุกคน ดังนั้นตอนที่เขาเห็นก่วนอวี้ทำหน้าเศร้า สิ่งแรกที่เขาคิดก็คือเกิดเรื่องขึ้นกับเหลิ่งรั่วปิง “เธอตายแล้วใช่ไหม ใช่ไหม”

เหลิ่งรั่วปิงตายแล้ว เขาเป็นคนบีบให้เธอต้องตาย!

หนานกงเยี่ยรู้สึกว่ามีของเหลวไหลย้อนขึ้นมาจากหน้าอก เขาพยายามข่มมันลงไปแต่กลับไร้ประโยชน์ พอเขาอ้าปาก เลือดสีแดงก็กระอักออกมา

“คุณชายเยี่ย!” ก่วนอวี้ตกใจมาก เขารีบพยุงตัวหนานกงเยี่ยเอาไว้ “คุณชายเยี่ยอย่าเพิ่งคิดมากนะครับ พวกเราหาตัวคุณเหลิ่งไม่เจอเท่านั้นครับ ผลสุดท้ายเป็นอย่างไร ยังไม่สามารถมั่นใจได้ ส่วนรถที่คุณเหลิ่งขับพวกเราหาเจอแล้วครับ”

หนานกงเยี่ยมีสติขึ้นมาเล็กน้อย “นายบอกว่าเจอรถของเธอ แต่ไม่เจอตัวเธอ?” หนึ่งวันหนึ่งคืน ต่อให้หาเธอไม่เจอแล้วมันจะมีโอกาสรอดเท่าไหร่ หนานกงเยี่ยสิ้นหวังอีกครั้ง

มู่เฉิงซีและถังเฮ่าเปิดประตูเข้ามา เมื่อเห็นสภาพของหนานกงเยี่ย อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจ

มู่เฉิงซี “หนานกง ฉันตรวจสอบดูรถของเหลิ่งรั่วปิงแล้ว ประตูรถไม่ได้ถูกเปิดออกจากทางด้านนอก ก่อนที่รถจะจมลงไปในน้ำ เธอน่าจะเป็นคนเปิดเอง ดังนั้น เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้ประสบอุบัติเหตุ แต่เธอแค่หนีไปเท่านั้น”

ฟังสิ่งที่มู่เฉิงซีวิเคราะห์ออกมา ทำให้หนานกงเยี่ยสบายใจขึ้น ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการที่สุดไม่ใช่ตามเธอกลับมา แต่เขาต้องการให้เธอปลอดภัย

มู่เฉิงซีพูดต่อ “แกเองก็รู้ดี เหลิ่งรั่วปิงว่ายน้ำเก่งมา ฉันเดาว่าเธอสามารถกลั้นหายใจในน้ำได้เป็นเวลานานโดยไม่มีปัญหาอะไร อีกอย่าง เมื่อวานมีคนเช่าเรือดำน้ำขนาดเล็กจากท่าเรือซีไห่ จนกระทั่งวันนี้ก็ยังไม่มีคนเอามาคืน จากสัญญาณตรวจจับพบว่าเรือเดือน้ำขับมายังทะเลจุดที่เหลิ่งรั่วปิงตกลงไป จากนั้นก็ขับไปยังเกาะขนาดเล็กแห่งหนึ่งในทะเลกงไห่ ดังนั้น เหลิ่งรั่วปิงน่าจะขึ้นเรือดำน้ำลำนั้นแล้วขับไปยังเกาะนั่น จากนั้นเปลี่ยนเป็นเรือลำอื่นแล้วขับออกไป”

หนานกงเยี่ยโล่งอก เธอไม่เป็นอะไรก็พอแล้ว

“ก่วนอวี้ ไปเตรียมเรือ ฉันจะไปที่เกาะนั้น” หนานกงเยี่ยลงจากเตียง แล้วเริ่มถอดเสื้อ

“คุณชายเยี่ยครับ คุณพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเถอะครับ เดี๋ยวผมไปดูด้วยตนเองเองครับ” ก่วนอวี้ห้ามปรามด้วยความปวดใจ

หนานกงเยี่ยไม่สนใจ เขาถอดเสื้อผู้ป่วยออกอย่างรวดเร็ว แล้วสวมเสื้อผ้าของตนเอง น้ำเสียงของเขาจริงจังจนไม่สามารถขัดคำสั่งได้ “ไปเตรียมให้พร้อม” เขาจะไปดูด้วยตนเองว่าเธอปลอดภัยไหม

ก่วนอวี้ไม่กล้าขัดคำสั่งของหนานกงเยี่ย เขาพยักหน้า “ครับ”

หนานกงเยี่ยเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย เดินออกไปจากห้องพักผู้ป่วย เขาเห็นอวี้ไป่หันยืนอยู่ที่ประตูด้วยท่าทางเป็นกังวล

“หนานกง” เวลานี้อวี้ไป่หันรู้สึกผิดมาก เขาคิดไม่ถึงว่าหนานกงเยี่ยจะรักเหลิ่งรั่วปิงมากขนาดนี้

หนานกงเยี่ยปรายตามองอวี้ไป่หันด้วยสายตาเย็นชา “ฉันบอกแล้วว่าพวกเราไม่ใช่เพื่อนกัน หลังจากนี้อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก ไม่อย่างนั้นฉันไม่รับรองว่าถ้าวันไหนอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา ฉันอาจจะเทคโอเวอร์ธุรกิจทั้งหมดของตระกูลอวี้ภายในคืนเดียวก็ได้”

พูดจบ หนานกงเยี่ยเดินเข้าไปในลิฟต์

อวี้ไป่หันก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกผิด เขานิ่งเงียบ ถังเฮ่าตบบ่าเขาเบาๆ “หนานกงกำลังเสียใจ มันก็เลยไม่ยอมยกโทษให้แก รอให้มันอารมณ์ดีขึ้นหน่อย ฉันจะช่วยพูดให้เอง”

อวี้ไป่หันพยักหน้า เขาไม่ได้พูดอะไรอีก เขากับหนานกงเยี่ยเป็นเพื่อนกันมากว่ายี่สิบปี มิตรภาพนี้ล้ำค่ามาก การที่หนานกงเยี่ยตัดเพื่อนกับตน ทำให้เขารู้สึกเศร้ามาก มองดูสภาพอิดโรยของหนานกงเยี่ย เขายิ่งอยากเอาชีวิตของตนเองไปแลกให้เหลิ่งรั่วปิงกลับมา

มู่เฉิงซีและหนานกงเยี่ยขึ้นไปบนเกาะด้วยกัน อาศัยความสามารถในการตรวจสอบของเขา ผลสรุปที่ได้ก็คือ “เหลิ่งรั่วปิงปลอดภัย อีกทั้งที่เธอหนีรอดไปได้ไม่ใช่แค่ฝีมือของเธอคนเดียว แต่มีคนคอยช่วยเหลือเธอ”

“หนานกง เหลิ่งรั่วปิงไม่ธรรมดา” มู่เฉิงซีพูด

หนานกงเยี่ยมองดูทะเลสีครามอันกว้างใหญ่ เขานิ่งเงียบอยู่นาน เธอจะเป็นใครมันไม่สำคัญเลยสักนิด ขอแค่เธอกลับมาอยู่ข้างเขา ไม่ว่าเธอจะเป็นใครเขาก็ยอมรับได้ทั้งนั้น

รู้ว่าเธอปลอดภัย หนานกงเยี่ยก็สบายใจแล้ว เขาตัดสินที่จะหยุดตามหาเธอชั่วคราว เธอยอมตายแต่ไม่ยอมอยู่กับเขา การที่เขาตามหาเธอไม่หยุดแบบนี้ รังแต่จะเป็นการบีบบังคับและทำให้เธอโต้ตอบเขาด้วยวิธีรุนแรง เหลิ่งรั่วปิงต้องการเวลาในการทำใจให้เย็นลง เขาเองก็ต้องการเวลา การปล่อยเธอไปชั่วคราวแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ตามหาเธออีก เขาไม่มีวันยอมแพ้ รอให้เธออารมณ์เย็นลงก่อน ไม่ว่าจะไกลสุดขอบฟ้า เขาก็จะพาเธอกลับมา

*****

ชายฝั่งประเทศซีหลิง ชายหาดส่วนตัวแห่งหนึ่ง ซือคงอวี้ยืนอยู่บนสะพานไม้ มือจับบนราว ดวงตาคู่สวยจ้องมองไปยังทะเลทางทิศตะวันออก หวังว่าเครื่องบินที่เขาส่งไปจะปรากฎให้เห็นบนท้องฟ้าเหนือทะเล ซือคงอวี้ในวันนี้สวมชุดเครื่องแบบเจ้าวิหาร ผมสีดำหยักศกเล็กน้อยถูกลมทะเลพัดปลิวจนยุ่งหน่อยๆ ร่างสูงใหญ่ ยืนอยู่ตรงนั้น ราวกับเป็นรูปปั้น

ถึงแม้สีหน้าของเขาจะนิ่งเฉย แต่ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความกังวล เขารออยู่ที่นี่มานานสองวันสองคืนแล้ว

ในดวงตาที่เต็มไปด้วยกังวล มีเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งบินเหนือน่านน้ำ บินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มุ่งหน้ามายังชายหาด

ซือคงอวี้ดีใจจนยืดตัวตรง มือทั้งสองข้างอดไม่ได้ที่จะประสานกัน ประสานกันแล้วปล่อย ปล่อยแล้วประสานกันอีกครั้ง

เหลิ่งรั่งปิง ยินดีต้อนรับกลับมา!

ซือคงอวี้มองดูเครื่องบินที่บินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เขาเดินไปยังสะพานที่ทอดยาวลงทะเล เดินขึ้นไปยังลานจอดเฮลิคอปเตอร์ มือทั้งสองข้างแนบลำตัว คลายยิ้มแล้วมองขึ้นไปบนท้องฟ้า รอให้เฮลิคอปเตอร์ลงจอด

อาเธอร์เป็นคนขับเฮลิคอปเตอร์ นำเครื่องลงจอดบนลานด้วยความราบรื่น

ซือคงอวี้เดินไปด้านหน้า เขามองหาคนที่ตนคิดถึงทุกคืนวันผ่านหน้าต่างเฮลิคอปเตอร์ แต่ว่า เขากลับไม่เห็นเธอ คิ้วหนาขมวดเล็กน้อย ความรู้สึกไม่สบายใจแผ่ซ่านขึ้นมา รอยยิ้มบนใบหน้าแห้งเหือด

อาเธอร์และหมาป่าสีเทามองหน้ากัน พวกเขากระโดดลงจากเฮลิคอปเตอร์ คุกเข่าลงบนพื้น

ซือคงอวี้มองดูเฮลิคอปเตอร์ที่ว่างเปล่า แล้วมองดูคนที่สองที่คุกเข่าอยู่บนพื้น สีหน้าของเขาค่อยๆ เศร้าหมอง หัวใจเต้นแรงเพราะความรู้สึกไม่สบายใจ “คนที่ฉันให้พวกนายสองคนไปรับกลับมาละ”

“เจ้าวิหารครับ นางฟ้ารัตติกาลไม่ยอมกลับวิหาร ตอนอยู่บนเกาะ เธอฉวยโอกาสตอนที่ผมไม่ทันได้ระวังตัว ยิงผมจนได้รับบาดเจ็บ ทั้งยังชกอาเธอร์จนสลบ นางฟ้ารัตติกาลมัดพวกเราเอาไว้ แล้วขับเรือหนีไป พวกผมไม่รู้ว่าเธอหนีไปไหนครับ” หมาป่าสีเทาก้มหน้าแล้วพูดร่ายยาว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโกหกซือคงอวี้ เขารู้สึกว่าตนเองมีความผิด

สีหน้าของซือคงอวี้เริ่มโมโห มือทั้งสองข้างที่แนบลำตัวมีเสียงหักข้อมือดังขึ้น ซือคงอวี้เงียบ ความเงียบนี้เหมือนความเงียบสงบก่อนที่จะเกิดพายุลูกใหญ่ ความโมโหกระจายไปทั่วทั้งร่ายกาย คล้ายกับว่าอีกไม่นานก็จะปะทุออกมา ทำลายโลกทั้งใบ

ผ่านไปนานครู่หนึ่ง ซือคงอวี้กระโดดเตะหมาป่าสีเทาและอาเธอร์จนล้มลงกับพื้น “ไอ้พวกไร้ประโยชน์ เป็นถึงยอดฝีมือของวิหาร แต่กลับปล่อยให้ผู้หญิงแค่คนเดียวหนีไปได้ ฉันจะเก็บพวกแกไว้ทำไม!”

หมาป่าสีเทาและอาเธอร์ไม่กล้าแก้ตัว ไม่กล้าต่อต้าน พวกเขาลุกขึ้นมาแล้วคุกเข่าลงกับพื้น “เจ้าวิหารได้โปรดลงโทษด้วยครับ”

ซือคงอวี้กัดฟันแน่น ดวงตาคู่สวยแทบจะถลนออกมาเพราะความโมโห เส้นเลือดบนหน้าผากปูดขึ้นมา ราวกับเป็นราชาปีศาจที่เหี้ยมโหด

เหลิ่งรั่วปิง คุณกล้าหักหลังผมเป็นครั้งที่สอง! ผมจริงใจกับคุณ แต่คุณก็ยังหนีผมไป!

“อ๊ากกก” ซืองคงอวี้ร้องตะโกนด้วยความโมโห เขาชักปืนออกมาแล้วยิงไปที่หน้าต่างเฮลิคอปเตอร์ติดต่อกันสิบกว่านัด จนหน้าต่างเป็นรูพรุน ความโมโหยังไม่ลดลง เขาจึงยิงกระถางดอกไม้ที่อยู่ข้างๆ อีกสิบกว่ากระถาง แล้วหันหน้ามาตะคอกหมาป่าสีเทา “สั่งการออกไป ทำการล่าระดับที่หนึ่ง ค้นหาเหลิ่งรั่วปิงทั่วทั้งโลก”

แม้หมาป่าสีเทาจะคาดเดาเอาไว้แต่แรกแล้วว่าซือคงอวี้จะทำแบบนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะปราม “เจ้าวิหารครับ แค่ผู้หญิงคนเดียวเท่านั้น ไม่คุ้มที่จะทำถึงขนาดนี้ ถ้าหากเจ้าแห่งผู้สอนหลักความเชื่อรู้เรื่องนี้เข้า เกรงว่า…”

ปั้ง!

เสียงปืนดังขึ้น กระสุนของซือคงอวี้ยิงมาที่พื้นด้านหน้าหมาป่าสีเทา หมาป่าสีเทาตกใจรีบหยุดพูดทันที “ครับ เจ้าวิหาร ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”

“เจ้าวิหารครับ นางฟ้ารัตติกาลขอให้ผมเอาสิ่งนี้มาให้เจ้าวิหารครับ” อาเธอร์เผชิญหน้ากับความเกรี้ยวกราดของซือคงอวี้ เขาก้มหน้าลงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

ซือคงอวี้หันกลับมา มองไปที่อาเธอร์ แววตาของเขามีประกายเล็กน้อย “อะไร”

อาเธอร์หยิบของที่เหลิ่งรั่วปิงฝากเอาไว้ออกมา จากนั้นยื่นให้ซือคงอวี้

ซือคงอวี้รับเอาไว้แล้วกวาดตามองอย่างรวดเร็ว คิ้วหนาสั่นเทาเล็กน้อย แววตาฉายความเจ็บปวด “เธอได้พูดอะไรไหม”

“เธอบอกว่า เธอจะคิดถึงเจ้าวิหารตลอดไปครับ”

ซือคงอวี้หันหลังอย่างรวดเร็ว เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ไม่ให้น้ำที่คลออยู่ในตาไหลลงมา เหลิ่งรั่วปิง ผมไม่ต้องให้คุณคิดถึงผม!

“ไสหัวไปให้พ้น!” ผ่านไปนานครู่หนึ่ง ซือคงอวี้ตะโกนออกมา ร่างกายของเขาเย็นยะเยือกเหมือนลมทะเลในฤดูใบไม้ร่วง

“ครับ” อาเธอร์ไม่กล้าอยู่ต่อ เขารีบลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากชายหาด

ซือคงอวี้ยืนอยู่ลำพัง บนชายหาดที่กว้างใหญ่ กำของที่เหลิ่งรั่วปิงทิ้งให้ไว้แน่น มองดูทะเลที่กว้างใหญ่ เม้มกัดฟัน “เหลิ่งรั่วปิง ไม่ว่าจะสวรรค์หรือนรก ผมก็จะลากตัวคุณกลับมา!”

เศษผ้าเปื้อนเลือดหนึ่งผืน ช่อผมแห่งการอำลาหนึ่งช่อ คำพูดว่าคิดถึงเพียงหนึ่งคำ ก็อยากจะตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างเรา เป็นไปไม่ได้!

*****

เหลิ่งรั่วปิงเตรียมเอกสารที่อาเธอร์จัดเตรียมเอาไว้ให้กับเธอ ขึ้นเครื่องบินไปยังประเทศเอ้าตู เธอเข้าไปพักในโรงแรมทั่วไป ทำทุกอย่างด้วยความเงียบที่สุด ก่อนที่เธอจะให้ฉู่เทียนรุ่ยทำหน้ากากเปลี่ยนหน้าให้เธอ เธอต้องคอยระมัดระวังตัวทำทุกอย่างให้เงียบที่สุด หนานกงเยี่ยไม่มีวันปล่อยเธอไปง่ายๆ ซือคงอวี้ยิ่งไม่มีวันปล่อยเธอไปง่ายๆ เช่นกัน