เล่มที่ 5 บทที่ 137 ความสามารถของคนดำในสมัยโบราณ

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

แม้ร่างกายจะยังรู้สึกอ่อนเพลีย ทว่าสายตาว่างเปล่าของนางยังคงจับจ้องมองทางมุ้งสีแดง

    ภาพความทรงจำก่อนหน้าหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุด

    ใช้ผ้าห่มคลุมศีรษะ หลินเมิ้งหยาในเวลานี้รู้สึกเสียใจจนอยากจะกัดลิ้นตาย

    ทำไมนางโง่เช่นนี้! ทั้งที่อยากโน้มน้าวหลงเทียนอวี้มิให้รับองค์หญิงหมิงเยว่เข้ามาเป็นภรรยาแท้ๆ

    แต่เพราะเหตุใดเหตุการณ์จึงเปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้?

    หลินเมิ้งหยาซ่อนตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่ม นางรู้สึกทุกข์ในเหลือเกิน

    นิ้วมือสอดประสานกัน จริงซิ ถ้าไปหาหลงเทียนอวี้ตอนนี้แล้วสารภาพผิดจะยังทันใช่หรือไม่

    “นายหญิงฟื้นแล้ว นายหญิงไม่เป็นไรใช่มั้ยเจ้าคะ ท่านทำให้ข้าตกใจแทบแย่”

    ป๋ายจีแหวกม่านออก ทว่านางกลับได้เห็นหลินเมิ้งหยาซ่อนตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่มไม่ยอมออกมา

    “ข้าไม่เป็นไร ข้าทำให้พวกเจ้าต้องเป็นกังวลแล้ว”

    หลินเมิ้งหยาฝืนยิ้ม ปกปิดความเศร้าในดวงตา จ้องมองสาวใช้ทั้งสี่ก่อนจะรู้สึกเจ็บปวดใจ

    ความสัมพันธ์ระหว่างท่านอ๋องและพระชายาแปลกประหลาดเหลือเกิน

    ทั้งที่ตอนอยู่ในค่ายทั้งสองรักกันปานจะกลืนกิน แต่เพราะเหตุใดหลังจากที่กลับมาแล้วจึงทะเลาะเบาะแว้งกันเช่นนี้

    สาวใช้ทั้งสี่ที่ไม่เคยมีความรักมาก่อนจะรู้จักความหึงหวงของผู้หญิงได้อย่างไร

    หลินเมิ้งหยาขังตัวเองอยู่ในห้องราวสามวัน อาการของนางมิต่างอะไรกับคนป่วย

    “เฮ้อ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่ ถ้าหากชิงหูอยู่ที่นี่ก็ดี อย่างน้อยเขาก็มีวิธีทำให้นายหญิงอารมณ์ดี”

    ยืนอยู่ที่ระเบียง แววตาของสาวใช้ทั้งสี่เป็นกังวล

    ตลอดหลายวันที่ผ่านมา หลินเมิ้งหยาเอาแต่นอน ทั้งอาหารและยากินเข้าไปเพียงน้อยนิด

    หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ร่างกายของนางคงทนไม่ไหว

    “พี่สาว…พี่สาว…”

    หลินจงอวี้ที่ออกจากจวนไปตั้งแต่เช้ารีบวิ่งกลับเข้ามา

    “ชู่ นายน้อยอวี้เบาๆ หน่อยเจ้าค่ะ นายหญิงเพิ่งหลับไป”

    ป๋ายซ่าวจับตัวหลินจงอวี้เอาไว้ นิ้วมือยกขึ้นแนบริมฝีปาก ก่อนจะเบิกตาโต

    “ข้าไม่รู้นี่นา พี่ป๋ายซ่าวปล่อยให้ข้าเข้าไปหน่อยเถิด พี่สาวนอนหลับมาสามวันแล้ว หากนางยังนอนอยู่แบบนี้ ข้ากลัวว่านางจะกลายเป็นหมู!”

    หลินจงอวี้แลบลิ้น ส่งเสียงทะเล้น

    “เฮ้อ ก็ได้ แต่ท่านเคลื่อนไหวเบาๆ หน่อยแล้วกัน อย่ารบกวนนายหญิงล่ะ”

    ป๋ายซ่าวไม่มีทางเลือก แง้มประตูเปิดออกเพื่อปล่อยให้หลินจงอวี้เข้าไป

    ตอนแรกคิดว่าหลินเมิ้งหยากำลังนอนหลับอยู่บนเตียง แต่เมื่อหลินจงอวี้เข้ามาแล้ว เขากลับได้เห็นนางนั่งขีดเขียนอยู่ที่โต๊ะทำงาน

    “พี่สาว? ทำอะไรอย่างนั้นหรือ?”

    เดินเข้าไปด้วยความประหลาดใจ แต่กลับได้เห็นหลินเมิ้งหยากำลังพยายามเขียนบางอย่างลงในกระดาษซวนจื่อ

    “เจ้ามานี่ซิ รีบช่วยพี่สาวดูหน่อยว่าเขียนออกมาเป็นอย่างไรบ้าง?”

    หลินเมิ้งหยาไร้ซึ่งท่าทางของคนอกหักจนไม่เป็นอันกินอันนอน

    ตลอดหลายวันที่ผ่านมา นางทำงานอดิเรกสมัยมหาวิทยาลัย โดยการเขียนเรื่องราวของไท่จื่อที่เกิดขึ้นในเขาหลิงจูทั้งหมดออกมา แต่กลับเปลี่ยนชื่อตัวละครเท่านั้น

    แม้จะปราศจากความรัก แต่อย่างน้อยก็ยังมีเรื่องให้ต้องจัดการ

    ดังนั้น ตลอดสามวันที่ผ่านมา นางรับบทเป็นคนไร้ชีวิตจิตใจ แล้วใช้โอกาสนี้ในการเขียนเรื่องราวอันยอดเยี่ยมออกมา

    “นี่มัน…ยอดเยี่ยมไปเลย เรื่องพวกนี้สามารถดึงเอาความชั่วที่ไท่จื่อต้องการจะปกปิดออกมา พี่สาวรีบเขียนให้เสร็จเถิด ข้าจะได้สั่งคนเอาไปแพร่กระจาย”

    มองหลินจงอวี้ด้วยท่าทางสงสัย หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าคนที่อยู่เบื้องหลังหลินจงอวี้มิใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน

    “แค่ทำเป็นหนังสือยังไม่พอ เจ้าจงส่งคนไปยังโรงน้ำชาทุกหนแห่งของเมืองหลวง แล้วให้ใครสักคนเล่าเรื่องพวกนี้ออกมาให้ทุกคนได้ฟัง”

    หลินเมิ้งหยาลองศึกษาการแพร่กระจายข่าวที่ดีที่สุดในสมัยโบราณ ในสมัยนี้การเขียนเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น

    หนังสือมีข้อจำกัด คนที่อ่านหนังสือออกมีไม่มาก

     ฉะนั้น นักเล่าเรื่องจึงมีอิทธิพลอะไรไม่ต่างกับเวยป๋อในปัจจุบัน

    หากนักเล่าเรื่องหลายคนช่วยกันแพร่กระจายเรื่องนี้ ไม่นาน วีรกรรมของไท่จื่อจะต้องเป็นที่โจษจัน

    “ก็จริงขอรับ ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง”

    นำต้นฉบับที่หลินเมิ้งหยาเขียนขึ้นมาใส่ไว้ในอ้อมกอด หลินจงอวี้หัวเราะคิกคักเสมือนจิ้งจอกเจ้าเล่ห์

    “เสี่ยวอวี้ เจ้าไม่คิดจะไปกับพวกเขาจริงหรือ?”

    เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่เดือน เด็กหนุ่มที่นางได้พบเจอบนถนนเติบโตขึ้นจนกลายเป็นคนที่นางแทบจะไม่รู้จัก

    ตกลงเสี่ยวอวี้มีความลับอะไรอยู่กันแน่?

    “ข้าอยากอยู่กับพี่สาว ข้าไม่สนใจคนพวกนั้นหรอก”

    เสี่ยวอวี้ตอบคำถามอย่างเด็ดเดี่ยว ในสายตาของเขา ไม่ว่าจะเรื่องอะไรหรือใครคนไหนก็มิอาจเทียบได้กับพี่สาวของตนเอง

    “อืม ข้าเคารพในการตัดสินใจของเจ้า เอาล่ะ ข้าอยู่แต่ในห้องมาสามวันแล้ว ควรจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย”

    ปรับสภาพอารมณ์ของตนเอง แม้จะรู้สึกว่านางกับหลงเทียนอวี้จบกันแล้ว

    แต่ก็ยังคงฝืนยิ้ม ไม่ยอมให้ใครเห็นความโศกเศร้าของตนเอง

    “นายหญิงไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”

    สาวใช้ทั้งสี่ที่รวมตัวอยู่ทางด้านนอกได้เห็นหลินเมิ้งหยาออกจากห้องเสียที

    รีบวิ่งเข้ามารวมตัวกัน มองนางด้วยสายตาเป็นกังวล

    ส่ายหน้า หลินเมิ้งหยายิ้ม นางเพียงแค่หลบหน้าเพื่อเขียนนิยายเท่านั้น คิดไม่ถึงเลยว่าจะทำให้ทุกคนเป็นห่วงเช่นนี้

    ความรู้สึกที่ได้รับความเอาใจใส่จากคนอื่น…ไม่เลวเลยจริงๆ

    “นายหญิงเจ้าคะ นี่คือของที่ท่านอ๋องส่งมาให้เมื่อสองวันก่อน ท่านลองดูเถิดว่าควรจัดการเช่นไร”

    ป๋ายจีนำกล่องที่สวยงามกล่องหนึ่งมามอบให้ หลินเมิ้งหยารู้สึกคุ้นตากับมันเหลือเกิน

    รับมาเปิดออกดู แต่กลับได้เห็นดอกไม้สีชมพูตากแห้ง

    นี่มัน…

    คือยาสมุนไพรที่องค์หญิงหมิงเยว่นำมามอบให้วันนั้นนี่นา

    อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในยาสมุนไพรที่หลินเมิ้งหยากำลังตามหา ดังนั้นวันนั้นนางจึงมองด้วยความสนใจ

    แม้แต่สิ่งนี้เขาเองก็รู้อย่างนั้นหรือ?

    เช่นนั้นนางจะยังทำตัวน่าเกลียดได้อย่างไร?

    กอดกล่องนั้นแน่น หลินเมิ้งหยาวิ่งออกจากตำหนักหลิวซิน

    นางจะต้องไปหาหลงเทียนอวี้ ความหึงหวงและหวานซึ้งปะปนกันอยู่ภายใน ถ้าหากสายตาของเขาไม่เคยเลื่อนออกจากตนเอง เช่นนั้นนาง…ก็ยังมีความหวังใช่หรือไม่?

    “ท่านอ๋องเล่า? ท่านอ๋องหายไปไหน?”

    วิ่งมาถึงห้องอ่านหนังสือของหลงเทียนอวี้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้พบเจอกับความว่างเปล่า

    หลินขุ๋ยไม่อยู่ในจวน ดังนั้นหลินเมิ้งหยาจึงไปหาพ่อบ้านเติ้ง

    “พระชายา ท่านอ๋อง…”

    “ท่านอ๋องไปรับองค์หญิงหมิงเยว่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

    เสียงสง่างามโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ดังขึ้น หลินเมิ้งหยาหันหน้าไป ก่อนจะพบกับป๋ายหลี่อู๋เฉินที่กำลังโบกสะบัดพัดในมือ

    “ไปรับองค์หญิงหมิงเยว่? หมายความว่าอย่างไร?”

    เป็นไปไม่ได้ หลงเทียนอวี้มิได้รู้สึกอะไรกับหมิงเยว่เลยแม้แต่น้อย

    “พระชายา ข้าน้อยคิดว่าความรู้ของคนที่เป็นพระชายาได้ น่าจะเข้าใจว่าการสนับสนุนของฮ่องเต้หมิงสำคัญมากขนาดไหนกับท่านอ๋อง”

    นานมากแล้วที่ไม่ได้เจอกัน ป๋ายหลี่อู๋เฉินเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย

    ความเย่อหยิ่งในเสียงพูดของเขาหายไป

    ใบหน้าหล่อเหลามีเสน่ห์ แต่กลับมีดวงตาเย็นชา สงบนิ่งมิอาจคาดเดา

    คนผู้นี้น่ากลัวขึ้นเล็กน้อย

    แต่ถึงกระนั้นเขายังแสดงท่าทีเสมือนคุณชายไร้พิษภัย

    มือจับกล่องแน่น ก่อนจะปล่อยให้อยู่ที่ข้างลำตัว

    “ข้าเข้าใจ ข้าเป็นคนเสนอเรื่องนี้เอง แน่นอนว่าข้ามองเรื่องนี้เป็นส่วนสำคัญ”

    หลินเมิ้งหยายิ้ม ใบหน้าใสซื่อ

    ทว่าหัวใจกลับเสมือนถูกบีบรัด

    ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด อาจเพราะยาพิษที่ยังหลงเหลืออยู่ในร่างกาย ทุกครั้งที่อารมณ์ของนางเปลี่ยนแปลง นางมักจะรู้สึกเจ็บปวดที่หน้าอกเสมอ

    นี่…ไม่ใช่เรื่องดีเลย

    “พระชายาเป็นคนมีความรู้ความสามารถ หากเข้าใจเรื่องนี้ได้ย่อมเป็นการดี แต่ข้ารู้สึกว่าสีหน้าของพระองค์ไม่ดีเท่าไร เช่นนั้นกลับไปพักผ่อนก่อนจะดีกว่าหรือไม่”

    ป๋ายหลี่อู๋เฉินเอื้อนเอ่ยอย่างเป็นกังวล หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง หมุนตัวและกลับออกจากตำหนักฉินหวู่ของหลงเทียนอวี้

    “เจ้าทำแบบนี้ ไม่กลัวว่าหากท่านอ๋องรู้เข้าแล้วจะลงโทษอย่างนั้นหรือ?”

    เพิ่งจะหมุนตัวกลับ จูเฉียงก็เดินเข้ามาที่ด้านหลังของป๋ายหลี่อู๋เฉิน

    ใบหน้าเคร่งขรึมเผยให้เห็นความไม่เข้าใจ

    ทั้งที่ท่านอ๋องไปหาฮ่องเต้หมิงเพื่อยกเลิกการรับตัวองค์หญิงหมิงเยว่แท้ๆ

    แต่ป๋ายหลี่อู๋เฉินกลับตั้งใจทำให้พระชายาเข้าใจผิด

    “เจ้าไม่รู้สึกว่านับตั้งแต่ที่พระชายาแต่งงานเข้ามา ท่านอ๋องใจอ่อนมากขึ้นอย่างนั้นหรือ?”

    นัยน์ตาหรี่เล็กลง ร่องรอยบางอย่างเผยอยู่ในแววตาของเขา ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว ทว่าสายตายังคงจับจ้องไปทางทิศทางที่หลินเมิ้งหยาเดินลับหายไป

    “ข้าเป็นคนหยาบกร้าน ไม่เข้าใจวาจาของนักปราชญ์เช่นเจ้าหรอก ทว่า นับตั้งแต่วันที่พระชายาก้าวเข้ามาอยู่ในจวน ท่านอ๋องเริ่มไม่เย็นชาดุจน้ำแข็งเหมือนแต่ก่อน”

    จูเฉียงชื่นชมหลินเมิ้งหยามาก ทั้งที่นางมีสถานะสูงส่ง แต่กลับอ่อนน้อมถ่อมตน แม้แต่เขาที่เป็นคนหยาบกระด้างยังรู้สึกเลื่อมใส

    พระชายาเป็นคนแปลก ภายนอกงดงามถึงขนาดได้รับฉายาว่าเป็นสาวงามที่สุดแห่งต้าจิ้น

    ทว่าหัวใจของนางกลับมิต่างอะไรจากบุรุษผู้กล้าหาญ เฉกเช่นเดียวกับพ่อและพี่ชายของนาง

    “คนที่คิดจะทำการใหญ่จะต้องตัดความปรารถนาที่ปุถุชนทั่วไปต้องการให้ได้ หากท่านอ๋องคิดอยากประสบผลสำเร็จ เขาจะต้องเป็นคนเด็ดขาด มิเช่นนั้น ทุกอย่างคงล้มเหลว”

    ป๋ายหลี่อู๋เฉินเอ่ยเสียงแข็ง เพื่อท่านอ๋องแล้ว เขายอมเป็นคนไร้คุณธรรมหรือจรรยาบรรณ แม้แต่ทำร้ายลุงของตนเองก็ทำมาแล้ว

    ทุกอย่างก็เพื่อเตรียมการทำการใหญ่

    เมื่อก่อนสายตาของท่านอ๋องมิเคยเหลียวแลผู้หญิงคนไหน ทว่าเพื่อผู้หญิงคนนี้ เขากลับเปลี่ยนไป

    ดังนั้น เขาควรรับองค์หญิงหมิงเยว่เข้ามาเพื่อแบ่งความรักและเอ็นดูจากพระชายาออกไป

    “เจ้า…! เจ้ายังคิดเช่นนั้นอยู่หรือ! ข้าจะเหยียบเรื่องนี้เอาไว้ที่นี่ ถ้าหากท่านอ๋องรู้เข้า พระองค์จะต้องกริ้วมากอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น แม้แต่ข้าที่เปรียบเสมือนพี่น้องก็จะไม่ช่วยเจ้า”

    จูเฉียงระบายความโกรธเกรี้ยวแล้วเดินจากไป นับตั้งแต่วันที่พระชายาปรากฏตัว ไม่รู้ว่าป๋ายหลี่อู๋เฉินเป็นอะไร เขามักจะทำตัวเสมือนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับพระชายาเสมอ

    แต่เพราะเขาคือสหายคนหนึ่ง ดังนั้นจูเฉียงจึงเลือกที่จะปิดปากเงียบ

    หวังว่า หากท่านอ๋องรู้เรื่องเข้า เขาจะหวนนึกถึงความลำบากที่เคยพบเจอมาด้วยกัน

    ราวกับสูญเสียจิตวิญญาณ หลินเมิ้งหยากลับไปยังตำหนักของตนเอง

    ไม่รู้ว่ากล่องไม้ที่เคยกำแน่นอยู่ในมือถูกโยนทิ้งไปตั้งแต่ตอนไหน

    ทิ้งไปแล้ว ทิ้งไปก็ดีเหมือนกัน บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่สวรรค์กำลังบอกนางให้ตัดใจให้เร็วที่สุด