แม้ร่างกายจะยังรู้สึกอ่อนเพลีย ทว่าสายตาว่างเปล่าของนางยังคงจับจ้องมองทางมุ้งสีแดง
ภาพความทรงจำก่อนหน้าหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุด
ใช้ผ้าห่มคลุมศีรษะ หลินเมิ้งหยาในเวลานี้รู้สึกเสียใจจนอยากจะกัดลิ้นตาย
ทำไมนางโง่เช่นนี้! ทั้งที่อยากโน้มน้าวหลงเทียนอวี้มิให้รับองค์หญิงหมิงเยว่เข้ามาเป็นภรรยาแท้ๆ
แต่เพราะเหตุใดเหตุการณ์จึงเปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้?
หลินเมิ้งหยาซ่อนตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่ม นางรู้สึกทุกข์ในเหลือเกิน
นิ้วมือสอดประสานกัน จริงซิ ถ้าไปหาหลงเทียนอวี้ตอนนี้แล้วสารภาพผิดจะยังทันใช่หรือไม่
“นายหญิงฟื้นแล้ว นายหญิงไม่เป็นไรใช่มั้ยเจ้าคะ ท่านทำให้ข้าตกใจแทบแย่”
ป๋ายจีแหวกม่านออก ทว่านางกลับได้เห็นหลินเมิ้งหยาซ่อนตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่มไม่ยอมออกมา
“ข้าไม่เป็นไร ข้าทำให้พวกเจ้าต้องเป็นกังวลแล้ว”
หลินเมิ้งหยาฝืนยิ้ม ปกปิดความเศร้าในดวงตา จ้องมองสาวใช้ทั้งสี่ก่อนจะรู้สึกเจ็บปวดใจ
ความสัมพันธ์ระหว่างท่านอ๋องและพระชายาแปลกประหลาดเหลือเกิน
ทั้งที่ตอนอยู่ในค่ายทั้งสองรักกันปานจะกลืนกิน แต่เพราะเหตุใดหลังจากที่กลับมาแล้วจึงทะเลาะเบาะแว้งกันเช่นนี้
สาวใช้ทั้งสี่ที่ไม่เคยมีความรักมาก่อนจะรู้จักความหึงหวงของผู้หญิงได้อย่างไร
หลินเมิ้งหยาขังตัวเองอยู่ในห้องราวสามวัน อาการของนางมิต่างอะไรกับคนป่วย
“เฮ้อ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่ ถ้าหากชิงหูอยู่ที่นี่ก็ดี อย่างน้อยเขาก็มีวิธีทำให้นายหญิงอารมณ์ดี”
ยืนอยู่ที่ระเบียง แววตาของสาวใช้ทั้งสี่เป็นกังวล
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา หลินเมิ้งหยาเอาแต่นอน ทั้งอาหารและยากินเข้าไปเพียงน้อยนิด
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ร่างกายของนางคงทนไม่ไหว
“พี่สาว…พี่สาว…”
หลินจงอวี้ที่ออกจากจวนไปตั้งแต่เช้ารีบวิ่งกลับเข้ามา
“ชู่ นายน้อยอวี้เบาๆ หน่อยเจ้าค่ะ นายหญิงเพิ่งหลับไป”
ป๋ายซ่าวจับตัวหลินจงอวี้เอาไว้ นิ้วมือยกขึ้นแนบริมฝีปาก ก่อนจะเบิกตาโต
“ข้าไม่รู้นี่นา พี่ป๋ายซ่าวปล่อยให้ข้าเข้าไปหน่อยเถิด พี่สาวนอนหลับมาสามวันแล้ว หากนางยังนอนอยู่แบบนี้ ข้ากลัวว่านางจะกลายเป็นหมู!”
หลินจงอวี้แลบลิ้น ส่งเสียงทะเล้น
“เฮ้อ ก็ได้ แต่ท่านเคลื่อนไหวเบาๆ หน่อยแล้วกัน อย่ารบกวนนายหญิงล่ะ”
ป๋ายซ่าวไม่มีทางเลือก แง้มประตูเปิดออกเพื่อปล่อยให้หลินจงอวี้เข้าไป
ตอนแรกคิดว่าหลินเมิ้งหยากำลังนอนหลับอยู่บนเตียง แต่เมื่อหลินจงอวี้เข้ามาแล้ว เขากลับได้เห็นนางนั่งขีดเขียนอยู่ที่โต๊ะทำงาน
“พี่สาว? ทำอะไรอย่างนั้นหรือ?”
เดินเข้าไปด้วยความประหลาดใจ แต่กลับได้เห็นหลินเมิ้งหยากำลังพยายามเขียนบางอย่างลงในกระดาษซวนจื่อ
“เจ้ามานี่ซิ รีบช่วยพี่สาวดูหน่อยว่าเขียนออกมาเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลินเมิ้งหยาไร้ซึ่งท่าทางของคนอกหักจนไม่เป็นอันกินอันนอน
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา นางทำงานอดิเรกสมัยมหาวิทยาลัย โดยการเขียนเรื่องราวของไท่จื่อที่เกิดขึ้นในเขาหลิงจูทั้งหมดออกมา แต่กลับเปลี่ยนชื่อตัวละครเท่านั้น
แม้จะปราศจากความรัก แต่อย่างน้อยก็ยังมีเรื่องให้ต้องจัดการ
ดังนั้น ตลอดสามวันที่ผ่านมา นางรับบทเป็นคนไร้ชีวิตจิตใจ แล้วใช้โอกาสนี้ในการเขียนเรื่องราวอันยอดเยี่ยมออกมา
“นี่มัน…ยอดเยี่ยมไปเลย เรื่องพวกนี้สามารถดึงเอาความชั่วที่ไท่จื่อต้องการจะปกปิดออกมา พี่สาวรีบเขียนให้เสร็จเถิด ข้าจะได้สั่งคนเอาไปแพร่กระจาย”
มองหลินจงอวี้ด้วยท่าทางสงสัย หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าคนที่อยู่เบื้องหลังหลินจงอวี้มิใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
“แค่ทำเป็นหนังสือยังไม่พอ เจ้าจงส่งคนไปยังโรงน้ำชาทุกหนแห่งของเมืองหลวง แล้วให้ใครสักคนเล่าเรื่องพวกนี้ออกมาให้ทุกคนได้ฟัง”
หลินเมิ้งหยาลองศึกษาการแพร่กระจายข่าวที่ดีที่สุดในสมัยโบราณ ในสมัยนี้การเขียนเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น
หนังสือมีข้อจำกัด คนที่อ่านหนังสือออกมีไม่มาก
ฉะนั้น นักเล่าเรื่องจึงมีอิทธิพลอะไรไม่ต่างกับเวยป๋อในปัจจุบัน
หากนักเล่าเรื่องหลายคนช่วยกันแพร่กระจายเรื่องนี้ ไม่นาน วีรกรรมของไท่จื่อจะต้องเป็นที่โจษจัน
“ก็จริงขอรับ ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง”
นำต้นฉบับที่หลินเมิ้งหยาเขียนขึ้นมาใส่ไว้ในอ้อมกอด หลินจงอวี้หัวเราะคิกคักเสมือนจิ้งจอกเจ้าเล่ห์
“เสี่ยวอวี้ เจ้าไม่คิดจะไปกับพวกเขาจริงหรือ?”
เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่เดือน เด็กหนุ่มที่นางได้พบเจอบนถนนเติบโตขึ้นจนกลายเป็นคนที่นางแทบจะไม่รู้จัก
ตกลงเสี่ยวอวี้มีความลับอะไรอยู่กันแน่?
“ข้าอยากอยู่กับพี่สาว ข้าไม่สนใจคนพวกนั้นหรอก”
เสี่ยวอวี้ตอบคำถามอย่างเด็ดเดี่ยว ในสายตาของเขา ไม่ว่าจะเรื่องอะไรหรือใครคนไหนก็มิอาจเทียบได้กับพี่สาวของตนเอง
“อืม ข้าเคารพในการตัดสินใจของเจ้า เอาล่ะ ข้าอยู่แต่ในห้องมาสามวันแล้ว ควรจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย”
ปรับสภาพอารมณ์ของตนเอง แม้จะรู้สึกว่านางกับหลงเทียนอวี้จบกันแล้ว
แต่ก็ยังคงฝืนยิ้ม ไม่ยอมให้ใครเห็นความโศกเศร้าของตนเอง
“นายหญิงไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”
สาวใช้ทั้งสี่ที่รวมตัวอยู่ทางด้านนอกได้เห็นหลินเมิ้งหยาออกจากห้องเสียที
รีบวิ่งเข้ามารวมตัวกัน มองนางด้วยสายตาเป็นกังวล
ส่ายหน้า หลินเมิ้งหยายิ้ม นางเพียงแค่หลบหน้าเพื่อเขียนนิยายเท่านั้น คิดไม่ถึงเลยว่าจะทำให้ทุกคนเป็นห่วงเช่นนี้
ความรู้สึกที่ได้รับความเอาใจใส่จากคนอื่น…ไม่เลวเลยจริงๆ
“นายหญิงเจ้าคะ นี่คือของที่ท่านอ๋องส่งมาให้เมื่อสองวันก่อน ท่านลองดูเถิดว่าควรจัดการเช่นไร”
ป๋ายจีนำกล่องที่สวยงามกล่องหนึ่งมามอบให้ หลินเมิ้งหยารู้สึกคุ้นตากับมันเหลือเกิน
รับมาเปิดออกดู แต่กลับได้เห็นดอกไม้สีชมพูตากแห้ง
นี่มัน…
คือยาสมุนไพรที่องค์หญิงหมิงเยว่นำมามอบให้วันนั้นนี่นา
อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในยาสมุนไพรที่หลินเมิ้งหยากำลังตามหา ดังนั้นวันนั้นนางจึงมองด้วยความสนใจ
แม้แต่สิ่งนี้เขาเองก็รู้อย่างนั้นหรือ?
เช่นนั้นนางจะยังทำตัวน่าเกลียดได้อย่างไร?
กอดกล่องนั้นแน่น หลินเมิ้งหยาวิ่งออกจากตำหนักหลิวซิน
นางจะต้องไปหาหลงเทียนอวี้ ความหึงหวงและหวานซึ้งปะปนกันอยู่ภายใน ถ้าหากสายตาของเขาไม่เคยเลื่อนออกจากตนเอง เช่นนั้นนาง…ก็ยังมีความหวังใช่หรือไม่?
“ท่านอ๋องเล่า? ท่านอ๋องหายไปไหน?”
วิ่งมาถึงห้องอ่านหนังสือของหลงเทียนอวี้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้พบเจอกับความว่างเปล่า
หลินขุ๋ยไม่อยู่ในจวน ดังนั้นหลินเมิ้งหยาจึงไปหาพ่อบ้านเติ้ง
“พระชายา ท่านอ๋อง…”
“ท่านอ๋องไปรับองค์หญิงหมิงเยว่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงสง่างามโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ดังขึ้น หลินเมิ้งหยาหันหน้าไป ก่อนจะพบกับป๋ายหลี่อู๋เฉินที่กำลังโบกสะบัดพัดในมือ
“ไปรับองค์หญิงหมิงเยว่? หมายความว่าอย่างไร?”
เป็นไปไม่ได้ หลงเทียนอวี้มิได้รู้สึกอะไรกับหมิงเยว่เลยแม้แต่น้อย
“พระชายา ข้าน้อยคิดว่าความรู้ของคนที่เป็นพระชายาได้ น่าจะเข้าใจว่าการสนับสนุนของฮ่องเต้หมิงสำคัญมากขนาดไหนกับท่านอ๋อง”
นานมากแล้วที่ไม่ได้เจอกัน ป๋ายหลี่อู๋เฉินเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย
ความเย่อหยิ่งในเสียงพูดของเขาหายไป
ใบหน้าหล่อเหลามีเสน่ห์ แต่กลับมีดวงตาเย็นชา สงบนิ่งมิอาจคาดเดา
คนผู้นี้น่ากลัวขึ้นเล็กน้อย
แต่ถึงกระนั้นเขายังแสดงท่าทีเสมือนคุณชายไร้พิษภัย
มือจับกล่องแน่น ก่อนจะปล่อยให้อยู่ที่ข้างลำตัว
“ข้าเข้าใจ ข้าเป็นคนเสนอเรื่องนี้เอง แน่นอนว่าข้ามองเรื่องนี้เป็นส่วนสำคัญ”
หลินเมิ้งหยายิ้ม ใบหน้าใสซื่อ
ทว่าหัวใจกลับเสมือนถูกบีบรัด
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด อาจเพราะยาพิษที่ยังหลงเหลืออยู่ในร่างกาย ทุกครั้งที่อารมณ์ของนางเปลี่ยนแปลง นางมักจะรู้สึกเจ็บปวดที่หน้าอกเสมอ
นี่…ไม่ใช่เรื่องดีเลย
“พระชายาเป็นคนมีความรู้ความสามารถ หากเข้าใจเรื่องนี้ได้ย่อมเป็นการดี แต่ข้ารู้สึกว่าสีหน้าของพระองค์ไม่ดีเท่าไร เช่นนั้นกลับไปพักผ่อนก่อนจะดีกว่าหรือไม่”
ป๋ายหลี่อู๋เฉินเอื้อนเอ่ยอย่างเป็นกังวล หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง หมุนตัวและกลับออกจากตำหนักฉินหวู่ของหลงเทียนอวี้
“เจ้าทำแบบนี้ ไม่กลัวว่าหากท่านอ๋องรู้เข้าแล้วจะลงโทษอย่างนั้นหรือ?”
เพิ่งจะหมุนตัวกลับ จูเฉียงก็เดินเข้ามาที่ด้านหลังของป๋ายหลี่อู๋เฉิน
ใบหน้าเคร่งขรึมเผยให้เห็นความไม่เข้าใจ
ทั้งที่ท่านอ๋องไปหาฮ่องเต้หมิงเพื่อยกเลิกการรับตัวองค์หญิงหมิงเยว่แท้ๆ
แต่ป๋ายหลี่อู๋เฉินกลับตั้งใจทำให้พระชายาเข้าใจผิด
“เจ้าไม่รู้สึกว่านับตั้งแต่ที่พระชายาแต่งงานเข้ามา ท่านอ๋องใจอ่อนมากขึ้นอย่างนั้นหรือ?”
นัยน์ตาหรี่เล็กลง ร่องรอยบางอย่างเผยอยู่ในแววตาของเขา ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว ทว่าสายตายังคงจับจ้องไปทางทิศทางที่หลินเมิ้งหยาเดินลับหายไป
“ข้าเป็นคนหยาบกร้าน ไม่เข้าใจวาจาของนักปราชญ์เช่นเจ้าหรอก ทว่า นับตั้งแต่วันที่พระชายาก้าวเข้ามาอยู่ในจวน ท่านอ๋องเริ่มไม่เย็นชาดุจน้ำแข็งเหมือนแต่ก่อน”
จูเฉียงชื่นชมหลินเมิ้งหยามาก ทั้งที่นางมีสถานะสูงส่ง แต่กลับอ่อนน้อมถ่อมตน แม้แต่เขาที่เป็นคนหยาบกระด้างยังรู้สึกเลื่อมใส
พระชายาเป็นคนแปลก ภายนอกงดงามถึงขนาดได้รับฉายาว่าเป็นสาวงามที่สุดแห่งต้าจิ้น
ทว่าหัวใจของนางกลับมิต่างอะไรจากบุรุษผู้กล้าหาญ เฉกเช่นเดียวกับพ่อและพี่ชายของนาง
“คนที่คิดจะทำการใหญ่จะต้องตัดความปรารถนาที่ปุถุชนทั่วไปต้องการให้ได้ หากท่านอ๋องคิดอยากประสบผลสำเร็จ เขาจะต้องเป็นคนเด็ดขาด มิเช่นนั้น ทุกอย่างคงล้มเหลว”
ป๋ายหลี่อู๋เฉินเอ่ยเสียงแข็ง เพื่อท่านอ๋องแล้ว เขายอมเป็นคนไร้คุณธรรมหรือจรรยาบรรณ แม้แต่ทำร้ายลุงของตนเองก็ทำมาแล้ว
ทุกอย่างก็เพื่อเตรียมการทำการใหญ่
เมื่อก่อนสายตาของท่านอ๋องมิเคยเหลียวแลผู้หญิงคนไหน ทว่าเพื่อผู้หญิงคนนี้ เขากลับเปลี่ยนไป
ดังนั้น เขาควรรับองค์หญิงหมิงเยว่เข้ามาเพื่อแบ่งความรักและเอ็นดูจากพระชายาออกไป
“เจ้า…! เจ้ายังคิดเช่นนั้นอยู่หรือ! ข้าจะเหยียบเรื่องนี้เอาไว้ที่นี่ ถ้าหากท่านอ๋องรู้เข้า พระองค์จะต้องกริ้วมากอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น แม้แต่ข้าที่เปรียบเสมือนพี่น้องก็จะไม่ช่วยเจ้า”
จูเฉียงระบายความโกรธเกรี้ยวแล้วเดินจากไป นับตั้งแต่วันที่พระชายาปรากฏตัว ไม่รู้ว่าป๋ายหลี่อู๋เฉินเป็นอะไร เขามักจะทำตัวเสมือนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับพระชายาเสมอ
แต่เพราะเขาคือสหายคนหนึ่ง ดังนั้นจูเฉียงจึงเลือกที่จะปิดปากเงียบ
หวังว่า หากท่านอ๋องรู้เรื่องเข้า เขาจะหวนนึกถึงความลำบากที่เคยพบเจอมาด้วยกัน
ราวกับสูญเสียจิตวิญญาณ หลินเมิ้งหยากลับไปยังตำหนักของตนเอง
ไม่รู้ว่ากล่องไม้ที่เคยกำแน่นอยู่ในมือถูกโยนทิ้งไปตั้งแต่ตอนไหน
ทิ้งไปแล้ว ทิ้งไปก็ดีเหมือนกัน บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่สวรรค์กำลังบอกนางให้ตัดใจให้เร็วที่สุด