บทที่ 247 เกี่ยวพันทางสายเลือด + บทที่ 248 รู้กันเป็นอย่างดี

ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน

บทที่ 247 เกี่ยวพันทางสายเลือด

เซียวฉีเทียนตัวแข็งทื่อ เขากะพริบตามองหนิงเมิ่งเหยาแล้วถามขึ้น “เมิ่งเหยา เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะ”

เซียวฉีเทียนจะตกใจขนาดนี้ก็ไม่แปลก เขาแทบจะไม่เชื่อหูตัวเองตอนที่ได้ยินคำถามเมื่อครู่

สิ่งที่นางเอ่ยถามออกมานั้นเป็นความลับของตระกูลเซียว ทว่าความลับนี้กลับถูกถามจากปากของคนอื่น

ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไร เรื่องนี้ก็ดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย

“ปานรูปพระจันทร์เสี้ยวหมายถึงสิ่งใดหรือ” เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเซียวฉีเทียน หนิงเมิ่งเหยายิ่งรู้สึกสงสัยในสาเหตุที่ทำให้เขาตอบสนองเช่นนี้

เซียวฉีเทียข่มความตกใจของตนแล้วมองหนิงเมิ่งเหยาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เมิ่งเหยา ข้าขอถามเหตุผลได้หรือไม่ว่าเหตุใดเจ้าจึงอยากรู้เรื่องนี้”

หนิงเมิ่งเหยาก้มหน้าลงก่อนหันไปด้านข้างเล็กน้อยเพื่อให้เซียวฉีเทียนเห็นด้านหลังใบหูของตน

เมื่อเซียวฉีเทียนเห็นปานที่อยู่หลังใบหูของหนิงเมิ่งเหยา หัวสมองของเขาพลันว่างเปล่าขณะจ้องมองนาง

ปฏิกิริยาของเซียวฉีเทียนในครั้งนี้รุนแรงยิ่งกว่าครั้งก่อนนัก เขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนเห็นเลยแม้แต่น้อย

“ทำไมเจ้าต้องทำท่าแปลกๆ หลังจากเห็นปานของข้าด้วย” เซียวฉีเทียนยังคงจ้องมองปานหลังใบหูของนางด้วยสายตาเหม่อลอย หนิงเมิ่งเหยาขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ น้ำเสียงบ่งบอกถึงความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด

นางยกมือขึ้นสัมผัสหูของตนโดยไม่ตั้งใจ ปานอันนี้มีความหมายอะไรซ่อนอยู่กันแน่ ทำไมถึงได้ทำให้คนทั้งสองมีปฏิกิริยาตอบสนองรุนแรงถึงเพียงนี้ได้

เซียวฉีเทียนที่เพิ่งได้สติก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “มีใครเคยเห็นอีกบ้าง”

“เซียวอ๋อง เซียวอี้หลินน่ะ” เฉียวเทียนช่างมองหนิงเมิ่งเหยาที่ไม่พูดไม่จา แล้วตอบคำถามแทน

“อืม ข้าไม่แปลกใจแล้ว”

เขาไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดหนิงเมิ่งเหยาจึงเอ่ยถามเรื่องความหมายของปานอันนี้ขึ้นมา มันคงเป็นเพราะเซียวอี้หลิน

“เจ้าอย่าเปลี่ยนเรื่อง ตกลงมันหมายความว่ายังไงกันแน่” หนิงเมิ่งเหยาขมวดคิ้วใส่เซียวฉีเทียน

นางไม่ชอบความรู้สึกไม่รู้อะไรเลยสักอย่างเช่นนี้เป็นที่สุด

เซียวฉีเทียนมองหนิงเมิ่งเหยาแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “มีความเป็นไปได้สูงว่าพวกเราอาจจะมีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด ไม่ใช่พี่น้อง แต่เป็นญาติ” หนิงเมิ่งเหยาน่าจะอายุมากกว่าเขาหนึ่งถึงสองเดือน

หนิงเมิ่งเหยามองเซียวฉีเทียนด้วยความตกใจ ก่อนนางจะเอ่ยถามขึ้นอย่างยากลำบากว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่ได้เข้าใจผิด”

“ข้ามั่นใจ ข้ากับพี่ชายก็มีปานรูปจันทร์เสี้ยวแบบนั้นเช่นกัน ของท่านพี่อยู่ที่แผ่นหลัง ส่วนของข้าอยู่ตรงนี้” เซียวฉีเทียนถกแขนเสื้อขึ้นเพื่อแสดงปานรูปพระจันทร์เสี้ยวตรงแขนซ้ายของตนให้พวกเขาดู มันมีลักษณะเป็นรูปแบบเดียวกับที่หนิงเมิ่งเหยามี

หนิงเมิ่งเหยาจ้องมองปานบนแขนของเซียวฉีเทียนแล้วรู้สึกขนลุกขึ้นมา เรื่องนี้จะเป็นไปได้อย่างไรกัน

นางเป็นเด็กกำพร้าธรรมดาๆ ที่ถูกเลี้ยงดูโดยหญิงเย็บผ้า ทว่าจู่ๆ กลับมีคนมาบอกกับนางเช่นนี้ นี่มันมากเกินกว่าที่นางจะรับไหว

ไม่ใช่แค่หนิงเมิ่งเหยา แต่เฉียวเทียนช่างเองก็ยังสับสนงุนงงไปด้วย

“พวกเราไปพบพี่ข้าที่วังหลวงดีกว่า” เขาไม่รู้ว่าจะอธิบายกับนางเช่นไร เรื่องคงกระจ่างขึ้นกว่านี้หากพวกเขาไปสอบถามกับฮ่องเต้แทน

อันที่จริงเขาเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับตระกูลเซียวเท่าใดนัก โดยเฉพาะเรื่องปานด้วยแล้ว สิ่งที่เขานึกออกมีเพียงแค่เรื่องที่ตระกูลเซียวมักจะส่งคนมาตรวจสอบปานเมื่อมีเด็กเกิดใหม่ในตระกูล และจะตรวจสอบเป็นพิเศษหากเด็กคนนั้นเป็นเพศหญิง

ทว่าความหมายของปานนี้คืออะไร เรื่องนี้เขาเองก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ แต่เขาเชื่อว่าฮ่องเต้จะต้องรู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงเสนอให้พาหนิงเมิ่งเหยาไปที่วังหลวงเพื่อหาความจริงเกี่ยวกับมันในทันที

แต่หนิงเมิ่งเหยากลับนิ่วหน้าเมื่อได้ยินคำพูดของเขา นางไม่อยากไปที่นั่น ที่แห่งนั้นเป็นสถานที่อันน่าสะพรึงกลัว และนางก็รู้สึกว่าหากนางย่างเท้าเข้าไป ชีวิตของนางคงจะยุ่งยากขึ้นอีกโข

ลางสังหรณ์ถึงอันตรายทำให้นางไม่อยากไปกับเซียวฉีเทียน

“เหยาเหยา เป็นอะไรหรือ” เฉียวเทียนช่างรู้สึกเป็นห่วงเมื่อเห็นหนิงเมิ่งเหยาคิ้วขมวด แค่มองก็รู้ว่านางกำลังกังวลเรื่องอะไรบางอย่างอยู่

“เทียนช่าง ข้าไม่อยากไป” หนิงเมิ่งเหยาจับแขนของเฉียวเทียนช่าง เสียงของนางสั่นเล็กๆ

เฉียวเทียนช่างไม่เคยเห็นหนิงเมิ่งเหยามีท่าทีสับสนเช่นนี้มาก่อน

เฉียวเทียนไม่สนใจว่าเซียวฉีเทียนจะอยู่ตรงนี้ด้วย เขากอดนางไว้แน่น และลูบหลังนางเป็นการปลอบประโลมโดยสัญชาติญาณ “อย่ากังวลไปเลย ถ้าเจ้าไม่อยากไปที่นั่น เช่นนั้นเราก็ไม่ต้องไป เราจะไปก็ต่อเมื่อเจ้าอยากไปเท่านั้น” ในเวลานี้เฉียวเทียนช่างสนใจแค่หนิงเมิ่งเหยาเพียงผู้เดียว น่าสงสารก็แต่เซียวฉีเทียนที่มีท่าทางกระอักกระอ่วนขึ้นเรื่อยๆ ขณะมองทั้งสองอยู่ด้านข้าง

บทที่ 248 รู้กันเป็นอย่างดี

ความหวาดกลัวต่อวังหลวงของหนิงเมิ่งเหยานั้นทำเอาเซียวฉีเทียนถึงกับงง “เมิ่งเหยา วังของพี่ชายข้าไม่ได้จับคนที่เข้าไปกินเสียหน่อย พวกเจ้าไม่อยากรู้หรือว่าปานนั้นมันหมายความว่าอย่างไร ถ้าไปที่วังก็จะได้รู้ความจริงไง” เขาไม่สามารถปล่อยเรื่องนี้ไปได้ง่ายๆ

“พวกข้าไม่อยากรู้อีกแล้ว” เรื่องตัวตนที่แท้จริงนี้ดูน่าจะเป็นปัญหาแน่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงปฏิกิริยาอันรุนแรงของเซียวอี้หลินและเซียวฉีเทียน เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้นางรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย ดังนั้นนางจึงไม่อยากสงสัยอะไรไปมากกว่านี้

หากนางรู้ว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้  นางก็คงจะไม่ปริปากถามเรื่องปานออกไปแน่ คำกล่าวที่ว่าความอยากรู้อยากเห็นฆ่าแมวตายได้ล้วนเป็นความจริง

เซียวฉีเทียนยังคงนิ่งเงียบระหว่างมองหนิงเมิ่งเหยา ในตอนแรกทั้งสองคนมีท่าทีสงสัยใคร่รู้ยิ่งนัก แต่ตอนนี้พวกเขากลับไม่อยากรู้อะไรเกี่ยวกับมันอีก

“เมิ่งเหยา เจ้ากำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่กันแน่”

“ไม่มีอะไร ข้าจะพูดสั้นๆ ก็แล้วกัน ข้าไม่อยากรู้อีกแล้ว” หนิงเมิ่งเหยาส่ายศีรษะไปมา ความรู้สึกเช่นนี้ แน่นอนว่านางคงไม่สามารถบอกคนอื่นได้

เซียวฉีเทียนไม่ใช่คนประเภทที่ไม่รู้จักกาลเทศะ หลังจากทานอาหารร่วมกับทั้งสองแล้ว เซียวฉีเทียนก็กล่าวลาและขอตัวกลับไป

ตอนแรกเขาคิดจะกลับไปยังวังหลวงเพื่อบอกเซียวชวี่เฟิงเรื่องปาน แต่พอเขาก้าวออกจากห้อง ก็โดนผู้ดูแลร้านรั้งตัวเอาไว้ด้วยเรื่องบางอย่างเสียก่อน

เรื่องที่เกิดขึ้นดึงเอาความสนใจของเขาไปจนหมด เซียวฉีเทียนลืมเรื่องปานไปเสียสนิท พอเขานึกออก สถานการณ์ก็ไม่อาจควบคุมได้อีกแล้ว

หลังจากเซียวฉีเทียนกลับไป หนิงเมิ่งเหยาก็ไม่มีอารมณ์จะกินอะไรอีก นางเอนกายเข้าหาแขนทั้งสองข้างของเฉียวเทียนช่าง สีหน้าของนางเผยความอ่อนแอในจิตใจออกมาอย่างชัดเจน

ท่าทางของหนิงเมิ่งเหยาเช่นนี้ทำให้เฉียวเทียนช่างรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก “เจ้าสบายดีหรือเปล่า”

“ข้าไม่เป็นไร ข้าเพียงแค่ไม่คิดว่าตัวข้าที่เป็นเด็กกำพร้า จะมีตัวตนที่แท้จริงเช่นนั้นได้” หนิงเมิ่งเหยากล่าวอย่างเย้ยหยัน

เฉียวเทียนช่างกระชับนางเข้ามาในอ้อมแขน เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ “ปล่อยมันไปเถิด อย่าคิดมากเลย”

“ข้ารู้ แต่ก็อดรู้สึกไม่สบายใจไม่ได้” นางไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน มันทำให้นางอึดอัดเหลือเกิน

“เมื่อเวลานั้นมาถึง เราค่อยคุยเรื่องนี้กันอีกที” เขาไม่อยากให้หนิงเมิ่งเหยาคิดถึงเรื่องคนอื่นจนเกินไป นางแค่คิดถึงเขาเพียงคนเดียวก็พอแล้ว

ณ จวนตระกูลเซียว เซียวอี้หลินกำลังรอผลการสืบอยู่อย่างใจจดใจจ่อ เขากลัวว่าตนจะพลาดโอกาสรับรู้เรื่องนี้เป็นคนแรกไป

ภายในห้องหนังสือของตน เซียวอี้หลินเดินวนไปวนมา บางครั้งก็นั่งบนเก้าอี้ แต่นั่งได้ไม่นานเขาก็ลุกขึ้นมาเดินวนอีกครั้ง ท่าทางและการกระทำอันอยู่ไม่สุขของเขาทำให้ข้ารับใช้ที่แอบมองเขาอยู่นั้นล้วนแต่นึกสงสัยขึ้นมาว่า เกิดอะไรขึ้นกับเจ้านายของพวกตนกัน เหตุใดจู่ๆ เขาจึงมีท่าทีเช่นนี้ได้

“นายท่านขอรับ พระชายาอยากพบท่านขอรับ” ขณะที่เซียวอี้หลินกำลังรอคอยอยู่นั้น หัวหน้าข้ารับใช้ก็เข้ามา คิ้วของข้ารับใช้ผู้นั้นขมวดมุ่นขณะเอ่ยกับเซียวอี้หลิน

เซียวอี้หลินขมวดคิ้วแน่น แล้วความไม่พอใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “นางต้องการอะไร”

“ข้าน้อยมิทราบขอรับ พระชายาเพียงบอกว่านางอยากพบท่าน”

“บอกนางว่าตอนนี้ข้าไม่มีเวลาจะเสวนาด้วย” เขามีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ เขาไม่มีเวลามายุ่งกับหลี่หลินเอ๋อร์หรอกนะ

“เรื่องนี้…เห็นทีจะไม่ได้ขอรับ” หัวหน้าข้ารับใช้อยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก หากมีทางเลือกอื่น เขาก็คงไม่มาหาเซียวอี้หลิน

เซียวอี้หลินนิ่วหน้า “เกิดอะไรขึ้น”

“พระชายากล่าวว่า หากนายท่านไม่อยากพบนาง เช่นนั้นนางก็จะ…เปิดเผยเรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลของท่านแม่ทัพให้ทุกคนได้รู้โดยทั่วกันขอรับ” ข้ารับใช้ทุกคนล้วนแต่ทราบสิ่งที่เกิดขึ้นดี

สีหน้าของเซียวอี้หลินบิดเบี้ยวในทันที ใบหน้าของเขาน่าเกลียดน่ากลัวราวกับว่าเวลานี้กำลังมีพายุฝนลูกใหญ่พัดวนอยู่ในร่างของตน

“เช่นนั้นข้าจะไปดูให้รู้ว่านางต้องการอะไรจากข้ากันแน่” เซียวอี้หลินหุนหันเดินออกจากห้อง มุ่งตรงสู่ห้องของหลี่หลินเอ๋อร์ด้วยสีหน้าเย็นชา

เมื่อเซียวอี้หลินมาถึง หลี่หลินเอ๋อร์มองเซียวอี้หลินอย่างประชดประชัน หลี่หลินเอ๋อร์ไม่แปลกใจในการมาถึงของเขาเลยแม้แต่น้อย

“ได้พบท่านเสียที ท่านอ๋อง” หลี่หลินเอ๋อร์กล่าวและเยาะยิ้มใส่เซียวอี้หลิน

เซียวอี้หลินมองหลี่หลินเอ๋อร์อย่างเย็นชา ก่อนพูดขึ้น “ว่ามาสิ เจ้าต้องการอะไร”

“เอาคนพวกนี้ออกไปจากสวนของข้า” หลี่หลินเอ๋อร์ชี้นิ้วไปยังองครักษ์ที่กระจายตัวกันอยู่รอบสวนพลางกล่าวเสียงเย็น

เซียวอี้หลินมองหลี่หลินเอ๋อร์อย่างไม่แยแส “ด้วยเหตุผลอะไร”

“หากท่านไม่กลัวว่าความลับของจวนตระกูลเซียวจะถูกเปิดเผย เช่นนั้นก็ไม่ต้องทำตามที่ข้าบอกก็ได้” หลี่หลินเอ๋อร์เอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจพลางจ้องมองเซียวอี้หลิน นางรู้ว่าสุดท้ายแล้วเซียวอี้หลินจะต้องยอมทำตามที่นางขอแน่

ทว่าเซียวอี้หลินทำเพียงมองนางด้วยแววตาเยาะหยัน ราวกับว่าเขากำลังมองคนโง่เง่าผู้หนึ่งอยู่ เมื่อเห็นเช่นนั้นหลี่หลินเอ๋อร์ก็สังหรณ์ใจไม่ดี “เจ้าเองก็เป็นคนในจวนตระกูลเซียว”