“ประเภทสุดท้ายตัดทิ้งได้ มีสาเหตุมาจากผู้ใหญ่ที่มีจิตใจเด็ก ซึ่งก็คือเด็กที่อยู่ในใจยังไม่โต คนแบบนี้ก็เป็นโรคหวาดกลัวการแต่งงานเหมือนกัน”
“ไม่มีทางเด็ดขาด เขาเข้มแข็งมีความเป็นผู้ใหญ่มาก เป็นเหมือนร่มกันภัยให้กับครอบครัว”
จิตสำนึกในความรับผิดชอบของเสี่ยวเชี่ยนถ้าจะบอกว่าเป็นที่สองคงไม่มีใครกล้าเป็นที่หนึ่ง อวี๋หมิงหลางไม่คิดว่าเธอเป็นประเภทสุดท้าย
“เขา?” หึหึ เผลอหลุดปากสินะ
“ผม ผมบอกว่าตัวผมเข้มแข็ง น้าหลิวดูสิครับหน้าผมดูเป็นผู้ใหญ่จะตาย”
อวี๋หมิงหลางทำหน้าเข้ม ศาสตราจารย์หลิวมองเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกสองวินาที จากนั้นก็ลุกขึ้นเงียบๆ เดินไปยังห้องข้างๆแล้วปิดประตู ไม่กี่วินาทีถัดมาก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่น
นี่คงเป็นเรื่องตลกที่สุดในช่วงนี้ ศาสตราจารย์หลิวเกือบคิดว่าอวี๋หมิงหลางมาเล่นเดี่ยวไมโครโฟนให้ดู ตลกชะมัด
อวี๋หมิงหลางมุมปากกระตุก นี่เขาทำอะไรไปน้าหลิวถึงกับต้องทำแบบนี้?
ในที่สุดศาสตราจารย์หลิวก็หัวเราะจนพอใจแล้วเดินออกมาพูดกับอวี๋หมิงหลางด้วยสีหน้าจริงจัง
“การรักษาโรคหวาดกลัวการแต่งงานจะว่าง่ายก็ง่าย พวกเราจะให้ผู้เข้ารับคำปรึกษาทำแบบทดสอบว่าเป็นโรคหวาดกลัวการแต่งงานระดับไหน แต่ฉันว่าคำถามพวกนั้นเขาน่าจะจำได้หมดแล้วนะ ทดสอบเขาไม่ได้หรอก—”
“ผมต่างหาก” อวี๋หมิงหลางแก้คำพูดอย่างจริงจัง
ศาสตราจารย์หลิวรู้สึกตอนนี้เหมือนตัวเองมีปฏิกิริยาโดยอัตโนมัติไปแล้ว พอเห็นอวี๋หมิงหลางทำหน้าเข้มเธอก็อยากจะหัวเราะ
“โอเค ฉันรู้ว่าคำถามพวกนี้ทดสอบ ‘เธอ’ ไม่ได้ ดังนั้นเธอช่วยเล่าเหตุการณ์ในช่วงนี้ให้ฟังได้ไหม?”
“ช่วงนี้ฝันร้ายบ่อย ปกติไม่มีอะไรที่ผิดปกติ ไม่ส่งผลต่อการทำงานกับการเรียน แต่ไม่ชอบคุยเรื่องแต่งงาน ผมคิดว่าน้าหลิวควรจะเปลี่ยนงานให้เสียวเหม่ยของผมได้แล้วครับ”
“ไหนว่าเป็น ‘เธอ’ ที่ป่วยไง? ทำไมต้องพักงานนักเรียนของฉันด้วย?” ศาสตราจารย์หลิวพอได้ยินว่าฝันร้ายก็หน้านิ่วพลางครุ่นคิด
อาการของเสี่ยวเชี่ยนร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ? ดูจากท่าทางตอนปกติก็ไม่เห็นเป็นอะไร วิทยานิพนธ์กับรายงานที่ส่งมาก็ไม่มีปัญหาเลยสักนิด อีกทั้งศาสตราจารย์หลิวยังฟังเธอจัดรายการทุกครั้ง ซึ่งทำได้ดีมากๆ
“ก็เพราะช่วงนี้อาการของผมไม่ค่อยดีเลยอยากให้เขามาดูแล น้าหลิวหางานขยะแบบนั้นให้เขา วันๆต้องมานั่งฟังคนอื่นระบายอารมณ์ เขาอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้นจะดีเหรอครับ?”
“อ่อ ฉันเข้าใจแล้ว เธอนี่นะ นักจิตวิทยามีมากมายไม่ไปถาม จะต้องมาหาฉันให้ได้ จุดประสงค์ที่แท้จริงคือเรื่องนี้ใช่ไหมล่ะ?”
ในที่สุดศาสตราจารย์หลิวก็เข้าใจแล้ว เด็กคนนี้นี่จริงๆเลย พูดจาอ้อมโลก เขาใช้วิธีนี้เพราะมีสองจุดประสงค์ สื่อตรงๆอีกทั้งยังได้ผลเสียด้วย
อวี๋หมิงหลางต้องไม่เชื่อใจในฝีมือของคนอื่นอย่างแน่นอน ไม่วางใจที่จะเอาปัญหาของแก้วตาดวงใจไปบอกคนอื่น ถึงได้เสี่ยงมาถามศาสตราจารย์หลิว ไม่เพียงแต่จะได้วิธีแก้ปัญหาที่เฉียบขาด อีกทั้งยังได้ลองเสนอเรื่องเปลี่ยนงานให้เสี่ยวเชี่ยนอีกด้วย
“ผมไม่ค่อยอยากให้เขาทำงานแบบนี้ครับ”
อวี๋หมิงหลางคิดว่าสภาพอารมณ์ของเสี่ยวเชี่ยนในตอนนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับงานที่ต้องช่วยแก้ปัญหาให้คนอื่นทุกวันอย่างแน่นอน
“ผมไม่เข้าใจ คนที่โทรเข้าไปพวกนั้นไม่ถือว่าเป็นโรคจิตเวชด้วยซ้ำ ก็แค่คนที่คิดไม่ตก ถ้าน้าหลิวอยากฝึกเขาทำไมไม่ให้เขาไปอยู่ที่ๆเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียนมาล่ะครับ”
อวี๋หมิงหลางพอคิดว่าเบบี๋สุดที่รักของเขาต้องไปเป็นเหมือนกระโถนให้คนมาระบาย วันๆต้องมาฟังปัญหาคนอื่น ในใจเขาก็อึดอัด
“สถานที่ที่ตรงกับสิ่งที่เรียนเขาต้องเจอปัญหาหนักกว่านี้เยอะ นายเล็กเธอรู้ไหม ตั้งแต่ฉันทำงานมาไม่เคยเจอเด็กคนไหนที่พรสวรรค์แบบนี้มาก่อนเลยนะ เด็กแบบนี้มาอยู่กับฉัน—”
“น้าชอบทรมานคนเรื่องนี้ผมรู้ดี น้าชอบใครก็จะใช้งานคนนั้นให้หนัก ดูอย่างหัวหน้าใหญ่สิน้าเล่นเขาซะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก”
ศาสตราจารย์หลิวเลือดขึ้นหน้าทันที “ให้มันน้อยๆหน่อยนะ ตาแก่นั่นผอมเป็นเพราะฉันงั้นเหรอ? ฉันบอกแล้วว่าอย่าไปทำอวดเก่งต่อหน้าเด็กๆเขาก็ไม่ฟัง เป็นไงล่ะทำตัวเองจนเคล็ดขัดยอกไปทั้งตัว กินอะไรก็ไม่ลง แล้วจะโทษฉันได้ไง?”
“เอ๋? เคล็ดขัดยอกเหรอ? ทำไมไม่เห็นเขาพูดเลย?”
“ตาแก่นั่นกลัวเสียฟอร์มอย่างกับอะไรมีเหรอจะยอมบอกว่าบาดเจ็บจากการแข่งกับคนหนุ่ม เจ็บเสียจนร้องโอดโอยนอนไม่ได้ ข้าวปลาก็กินไม่ลง”
หลังจากที่หัวหน้าใหญ่คืนดีกับศาสตราจารย์หลิวแล้วทั้งสองคนก็รักกันมากกว่าเดิม โทรหากันบ่อย เวลาที่ศาสตราจารย์หลิวไม่มีสอนก็จะไปหาเขา
“แล้วทำไมน้าไม่ไปดูแลเขาล่ะครับ? เขาไม่ได้บอกพวกผมเลย”
“ฉันยุ่ง เขาก็ใกล้กะ—” ศาสตราจารย์หลิวเกือบเผลอพูดออกไป คิดได้พอดีว่าเรื่องนี้เป็นความลับ จึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุย
“เวลาฉันมองเสี่ยวเชี่ยนก็เหมือนกับหัวหน้าใหญ่มองพวกเธอ พรสวรรค์เป็นสิ่งที่มีค่ามาก กลัวว่าถ้าทำพลาดฉันจะทำของดีๆเสียหมด”
“เหอๆ…”ตอนนี้ต่างกันตรงไหน ถึงขนาดไม่กล้าแต่งงานแล้วเนี่ย
“จะเหอๆทำไม จะบอกให้นะ โรคหวาดกลัวการแต่งงานไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ถ้าแก้ไขถูกวิธีไม่นานก็เอาชนะได้ แต่เส้นทางของเขายังอีกยาวไกล ตอนนี้สำหรับเสี่ยวเชี่ยนแล้วอุปสรรคไม่ได้อยู่แค่ในตำรา ที่ฉันให้เขาไปฝึกงานที่นั่นก็เพื่อช่วยกำจัดปีศาจในใจเขา”
“แน่ใจเหรอครับ?” อวี๋หมิงหลางเบ้ปาก เขารู้สึกว่าหญิงสูงวัยคนนี้นี่แหละที่เรียกปีศาจในใจเสี่ยวเชี่ยนออกมา
“ฉันรู้จักเสี่ยวเชี่ยนมานานแล้ว รู้ว่าเขาเคยถูกทำร้ายจิตใจ ถึงเขาจะปกปิดไว้อย่างดี แต่บาดแผลนั้นลึกเกินไป แล้วเขาก็ไม่ยอมให้ใครเห็นได้ง่ายๆ เก็บไว้แบบนี้ต่อไปไม่ดีกับเขา ไม่สู้ใช้วิธีที่นุ่มนวลบีบเลือดตรงบาดแผลออกมาจะยิ่งหายง่ายกว่า ถ้าเธอยังกล้าสงสัยในวิชาของฉันล่ะก็ ฉันจะไม่ให้หัวหน้าใหญ่—”
“ไม่ให้หัวหน้าใหญ่อะไรครับ?” อวี๋หมิงหลางถามด้วยความสงสัย
ศาสตราจารย์หลิวทำสีหน้าไม่บอกหรอก สีหน้าได้ใจใหญ่
ชิ ยัยป้าตัวแสบ อวี๋หมิงหลางไม่กลัวหรอก เขาเป็นลูกน้องที่หัวหน้าใหญ่ภูมิใจที่สุด แล้วหัวหน้าใหญ่จะถูกป้านี่เป่าหูกล่อมทุกคืนสำเร็จงั้นเหรอ?
“ตอนนี้ฉันจะบอกวิธีรักษาให้ อันที่จริงไม่ถึงกับเป็นการรักษาหรอก เพราะจะบอกว่าเป็นโรคจิตเวชก็ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น งั้นพวกเราจะขอเรียกแนวทางต่อไปนี้ว่าการชี้แนะก็แล้วกัน ก่อนอื่นพอกลับไปเธอทำแบบนี้นะ…”
โรคจิตเวชที่แท้จริงรุนแรงกว่าโรคหวาดกลัวการแต่งงานเยอะ อาการที่อวี๋หมิงหลางปวดใจจนแทบทนไม่ไหว ศาสตราจารย์หลิวกลับมองว่ามันเป็นปัญหาขี้ปะติ๋ว
หลังจากฟังศาสตราจารย์หลิวพูดจบอวี๋หมิงหลางก็ถามด้วยความสงสัย “ง่ายๆแค่นี้เองเหรอครับ?”
“ง่ายๆแบบนี้นี่แหละ หนุ่มน้อย พอแต่งงานแล้วชีวิตมีความสุขอย่าลืมมาขอบคุณฉันล่ะ ถ้าไม่ได้ฉันยกเขามาไว้ตำแหน่งนี้ เอาปัญหาในใจเขามาขยายใหญ่ขึ้นแล้วรีบรักษา รอให้พวกเธอแต่งงานไปแล้วเกิดเรื่องขึ้น ปัญหาจะซับซ้อนกว่านี้มาก”
หลักการก็เหมือนกับความแตกต่างระหว่างฉับพลันกับเรื้อรัง ถึงการกำเริบแบบฉับพลันจะหนัก แต่โดยทั่วไปก็ควบคุมได้ง่าย แต่หากเรื้อรังก็ยากที่จะกำจัดได้หมด