อวี๋หมิงหลางเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับวิธีที่ศาสตราจารย์หลิวให้มา พอออกจากที่ศาสตราจารย์หลิวแล้วเขาก็ไปรับเสี่ยวเชี่ยนเพื่อไปกินข้าวกลางวัน
มื้อกลางวันพวกเขาฝากท้องกันที่ร้านบุฟเฟ่ต์ชาบูตรงข้ามมหาวิทยาลัย เถ้าแก่ของที่นี่ก็คือไห่เจาเพื่อนสมัยเด็กของอวี๋หมิงหลาง
เดิมไห่เจาทำธุรกิจขายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เมืองQ แต่ช่วงสองปีมานี้กำไรที่ได้น้อยลงเรื่อยๆ อีกทั้งยังต้องลงของเยอะ เขามองว่าไม่น่ารุ่ง อวี๋หมิงหลางจึงเสนอไอเดียให้เปิดร้านอาหารดู
ร้านอาหารไม่ว่าจะตอนไหนขอแค่บริหารให้ดี คุณภาพใช้ได้ ก็ไม่ต้องกลัวจะไม่มีลูกค้า เดิมจะเปิดที่เมืองQ แต่ที่เมืองQมีเถ้าแก่ร้านอาหารที่ทำอยู่ก่อนแล้วกิจการดีมากถึงสองคน เปิดที่นั่นคงเกิดยาก
ดังนั้นอวี๋หมิงหลางจึงเสนอให้ไปเปิดเมืองข้างๆ ไม่เพียงแต่จะได้เลี่ยงเจ้าถิ่นในเมืองQ ยังได้ไปบุกเบิกตลาดอื่น ก็ยังมีข้อดีอยู่
“เพื่อนว่าที่นี่เป็นไงมั่ง?” ไห่เจากอดไหล่อวี๋หมิงหลาง ทั้งสามคนอยู่ในห้องส่วนตัว
อากาศร้อนๆแบบนี้การได้อยู่ในห้องแอร์กินชาบูร้อนๆนับว่าเป็นการฟินอย่างหนึ่ง
“เต็มไปด้วยกลิ่นเก่าๆผุพัง สมกับที่คนรสนิยมเชยๆทำออกมา” อวี๋หมิงหลางคีบลูกชิ้นให้เสี่ยวเชี่ยน ปากก็ยังไม่วายกัดเพื่อน
“พูดเกินไปแล้วนะเว่ย ที่ฉันเชยแบบนี้ไม่ใช่เพื่อนายสองคนหรือไง? เสี่ยวเชี่ยนไม่รู้อะไร ตอนที่เลือกทำเล—”
“กิน” อวี๋หมิงหลางรีบยัดลูกชิ้นเข้าปากไห่เจาอย่างไว ไห่เจากัดโดยอัตโนมัติ แล้วก็ถูกลูกชิ้นวัวยัดไส้ระเบิดในปาก ดวงตาเบิกโพลง
“อ๊าก….”
อวี๋หมิงหลางแกล้งเพื่อนเก่งมาก ไห่เจาคิดว่าลิ้นคงสุกแล้ว
“นายช่วยเขาเลือกทำเลเหรอ?”
เสี่ยวเชี่ยนถามอวี๋หมิงหลาง เขายิ้มไม่พูดอะไร
ทำเลที่นี่ดีมาก ใกล้มหาวิทยาลัย อยู่ไม่ไกลจากพื้นที่ที่กำลังพัฒนา มีคนผ่านไปผ่านมาค่อนข้างเยอะ
เสี่ยวเชี่ยนเป็นคนที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองเลือกกิน แต่ในความเป็นจริงเธอเลือกกินมากไม่ยอมกินข้าวโรงอาหาร ช่วงสองปีมานี้เวลามีเทศกาลหรือวันหยุดแม่อวี๋ก็จะพาพ่านพ่านมาที่นี่ แล้วถือโอกาสส่งข้าวให้เสี่ยวเชี่ยน เธอถึงได้ไม่ผอมลง
อวี๋หมิงหลางฟังพี่รองบอก หลังจากต้าอีเตรียมตัวเรียนต่อปริญญาโทพ่านพ่านก็จะย้ายมาเรียนที่นี่ด้วย ถึงตอนนั้นแม่อวี๋ไม่มีทางมาทุกอาทิตย์แน่ แล้วใครจะส่งข้าวให้เสียวเหม่ยแสนน่ารักของเขาล่ะ?
ถ้าไห่เจามาเปิดร้านอาหารที่นี่ ถึงตอนนั้นก็ให้พ่อครัวของไห่เจาทำอาหารให้เสี่ยวเชี่ยน ถึงข้างนอกจะมีร้านอาหารเยอะก็จริง แต่ช่วงนี้มีข่าวบ่อยไม่ใช่เหรอว่าขนาดร้านอาหารหรูยังใช้น้ำมันหมุนเวียน
เป็นร้านที่เพื่อนเปิดค่อยวางใจได้หน่อย เขากำชับสั่งให้ทำอาหารดีๆบำรุงเสี่ยวเชี่ยน
เสี่ยวเชี่ยนเข้าใจแล้ว มันเป็นการใส่ใจเล็กๆน้อยๆของอวี๋หมิงหลาง
เขาคิดได้รอบคอบมากกว่าเธอเสียอีก เรื่องที่เธอยังนึกไม่ถึง แต่เขาคิดไว้หมดแล้ว
ไห่เจาเห็นทั้งสองคนสบตากันหวานซึ้ง ก็พูดอย่างทนไม่ไหว
“พวกนายนี่สุดยอดเลยว่ะ ทำลิ้นฉันพองในร้านของฉันแล้วยังมาทำลายความรู้สึกคนโสดอีก ว่ามาเลยแต่งเมื่อไร ฉันจะได้เตรียมเงินใส่ซองไว้ เห็นภาพบาดตาบาดใจมาหลายปี ควรจะแต่งได้แล้วไหม?”
เขาเองก็รู้ว่าอวี๋หมิงหลางมาทำไม ก่อนหน้านี้ยังโทรมาให้เขาช่วยเลือกแหวนอยู่เลย?
เสี่ยวเชี่ยนสตั๊น พอได้ยินคำว่าแต่งงานเธอก็ตัวแข็งโดยอัตโนมัติ
“ไม่รีบ เขายังเด็ก ยังเป็นเบบี๋อยู่เลย กินลูกชิ้นนะเบบี๋อ้าม ระวังลวกปากนะ~” อวี๋หมิงหลางแสร้งทำเป็นไม่เห็นท่าทางเกร็งๆของเสี่ยวเชี่ยน เขาป้อนอาหารเธออย่างใจเย็น
เสี่ยวเชี่ยนนึกไม่ถึงว่าเขาจะมีท่าทางแบบนี้ เธอมองเขาอย่างอึ้งๆ อวี๋หมิงหลางเป่าลูกชิ้นก่อนเอาใส่ปากเธอ
“เด็กดี ค่อยๆกินนะ ไม่ต้องรีบ”
ปากบอกไม่ต้องรีบ ค่อยๆกิน แต่ก็เหมือนกับพูดเรื่องแต่งงานว่าไม่ต้องรีบ เรื่องที่เสี่ยวเชี่ยนคิดมาหลายวันได้ตกตะกอนแล้ว เธอรู้สึกโล่งใจแต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกตะหงิดๆ
ท่าทางดูแปลก ๆ
อวี๋หมิงหลางมองสายตาเธอที่เหม่อลอย อดไม่ได้ที่จะชื่นชมการวินิจฉัยของศาสตราจารย์หลิว
โรคหวาดกลัวการแต่งงานฟังดูเหมือนหวาดกลัวการใช้ชีวิตคู่ แต่จริงๆแล้วมันมีทั้งความหวาดกลัวและการรอคอย
เธอไม่ได้รังเกียจคนๆนี้ และรอคอยที่จะได้ใช้ชีวิตด้วยกัน แต่รู้สึกไม่ค่อยโอเคกับการต้องใช้ชีวิตคู่ในอนาคตนิดหน่อย อารมณ์ที่ขัดแย้งในตัวเองและสับสนแบบนี้ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจน
ถ้าให้เสี่ยวเชี่ยนไปชี้แนะคนที่เป็นโรคหวาดกลัวการแต่งงาน ไม่กี่นาทีเธอก็วินิจฉัยออกมาได้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นโรคหวาดกลัวการแต่งงานหรือไม่ ก็เหมือนกับที่ศาสตราจารย์หลิวพูดว่านี่เป็นแค่ปัญหาเล็กๆ ไม่ถือเป็นโรคจิตเวชด้วยซ้ำ
แต่บางอย่างเจ้าตัวยังไม่รู้ดีเท่าคนรอบข้างที่มองมา พอถึงตาตัวเองเธอกลับไม่รู้ตัว
สายตาเหม่อลอยนั้นมองไปที่อวี๋หมิงหลาง ก่อนหน้านี้เขาอยากแต่งงานมากไม่ใช่เหรอ? ทำไมอยู่ๆมาบอกว่าไม่รีบ? อวี๋หมิงหลางมองเธอด้วยสายตาปลอบโยน
“ของอร่อยไม่กลัวมาช้า รอนานแค่ไหนผมก็ยอม ตอนนี้ไม่พร้อมงั้นก็รอคุณพร้อมค่อยว่ากัน”
“เสี่ยวเฉียง ฉัน…” เสี่ยวเชี่ยนอมลูกชิ้นแก้มตุ่ย เห็นแล้วน่ารักมาก เธอกำลังซาบซึ้งอวี๋หมิงหลาง เขาเอานิ้วจิ้มแก้มตุ่ยๆของเธอ
“วางใจเถอะ กินเยอะๆ เรื่องที่คุณไม่อยากทำไม่มีใครบังคับคุณได้ ไม่ต้องคิดมาก คุณมีความสุขผมก็ดีใจ มา กินอีกหน่อยนะอ้าม~”
“แค่กินลูกชิ้นต้องหวานเลี่ยนขนาดนี้มะ ฉันต้องไปบอกพ่อครัวหน่อยแล้วคราวหน้าพวกนายมาให้ใช้น้ำมันเก่า มือก็ไม่ต้องล้าง บาดใจจริงๆ…”
ถึงไห่เจาจะไม่เข้าใจว่าอวี๋หมิงหลางกับเสี่ยวเชี่ยนเล่นโค้ดลับอะไรกัน แต่เขารู้สึกบาดใจ
“ไอ้เล็ก เมื่อไรพี่สาวจะกลับ?” พอเห็นภาพบาดตาบาดใจของเสี่ยวเชี่ยนกับอวี๋หมิงหลาง ไห่เจาจึงเปลี่ยนไปคุยเรื่องที่เขาชอบ
“อาทิตย์หน้า เขากลับบ้านพ่อแม่ฉัน เขาฝากให้ฉันมาบอกแกด้วย”
ไห่เจารีบตัดสินใจเดี๋ยวจะกลับเมืองQทันที เขาต้องไปเตรียมการหน่อย เสี่ยวซีจะกลับมาแล้วต้องเตรียมของอร่อยๆให้เธอ แล้วก็กระเป๋ากับนาฬิกาที่ซื้อมาก่อนหน้านี้ก็จะได้เอาไปให้ด้วย
“ฝากมาบอกว่าอะไร?”
อวี๋หมิงหลางชี้ไปที่จานเปล่าหน้าเสี่ยวเชี่ยน แล้วทำท่าทางเจ้าเล่ห์
“แกดูซิเนี่ยเหมือนคนทำการค้าไหม? สายตาแย่มาก ไม่เห็นเหรอว่าผักชีในจานเสียวเหม่ยหมดแล้ว? กินชาบูไม่มีผักชีมันใช่เหรอ?”
“ผมผิดไปแล้ว อะๆ ผักชี~” ไห่เจายืนขึ้นรีบยื่นจานผักชีให้ เพื่อที่จะได้ข้อมูลของเสี่ยวซีเขายอมปรนนิบัติ
“เหล้า รินให้เต็ม”
ตอนนี้อวี๋หมิงหลางได้ทีเอาใหญ่ แต่ใครใช้ให้ไห่เจามีเรื่องขอร้องเขาล่ะ
เหล้าเต็มแก้วแล้ว ท่าทางพร้อมฟัง อวี๋หมิงหลางคาบไม้จิ้มฟันแล้วพูดอย่างสบายๆ
“เขาให้ฉันมาบอกว่า อาทิตย์หน้าเขาจะกลับมาดูตัว ให้แกกลับไปช่วยเขา—”
เพล้ง แก้วในมือไห่เจาหล่นลงพื้นแตกกระจาย
เธอจะมาดูตัว แล้วยังจะให้เขาช่วยอะไร แก้วแตกกระจายเต็มพื้น แต่หัวใจเขาแตกละเอียดยิ่งกว่า ไม่มีชิ้นดี
พอเห็นไห่เจาทำหน้าเหมือนใจสลายอวี๋หมิงหลางจึงพูดต่อ
“เขาบอกว่าให้แกไปช่วยแกล้งเป็นแฟนเขาหน่อย”
“โว้ย แกจะพูดจาให้ลีลาน้อยๆหน่อยไม่ได้หรือไงวะ” ไห่เจาโล่งอก ตกใจหมดเลย
“ไห่เจาไม่ค่อยเหมาะมั้ง?” เสี่ยวเชี่ยนเห็นอวี๋หมิงหลางเล่นซะสนุกเลยเอาบ้าง
“ทำไมผมจะไม่เหมาะ? มีคนเหมาะกว่าอีกงั้นเหรอ?” ไห่เจาไม่ยอม
อย่าว่าแต่แกล้งทำเป็นแฟนเลย ตัดคำว่าแกล้งทิ้งไป ไห่เจาก็ยังคิดว่าตัวเองเหมาะอยู่ดี