บทที่ 146 กลับมาเที่ยวสถานที่ที่เคยมา

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

พั่งจื่อกระโดดขึ้น ลิ้นปักลงบนม่านแสงสีดำของวงเวทกักเซียนราวกับลูกธนู ม่านแสงปรากฏการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง หลังการสั่นสะเทือนผ่านพ้น พั่งจื่อทำลายวงเวทไม่สำเร็จ การโจมตีด้วยลิ้นของมันไม่ได้ทะลุม่านแสงสีดำ

“ข้าลองเอง” เห็นพั่งจื่อโจมตีไม่ทะลุ จินเฟยเหยาเดินมาถึงหน้าม่านแสง ยกกำปั้นขึ้นทุบม่านแสง ม่านแสงเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน ด้านหลังม่านแสงก็คือพี่ใหญ่ที่มือถือธง เขาอยู่ใกล้จินเฟยเหยามาก คลื่นการโจมตีของหมัดที่ต่อยลงบนม่านแสงทั้งหมดราวกับสายลมคลั่งพัดผ่านร่างของเขา

ในใจพี่ใหญ่นึกถึงยังหวาดกลัวไม่หาย โชคดีที่มีม่านแสงกักขังสตรีผู้นี้เอาไว้ ไม่เช่นนั้นหมัดหนักแบบนี้ต่อยลงบนร่างโดยตรง ไม่ตายก็คงต้องพิการ ขอเพียงกบตัวนั้นไม่มีเวทมนตร์ สตรีผู้นี้ก็ทำลายวงเวทกักเซียนไม่ได้ แล้วจะทำอะไรข้าได้

จินเฟยเหยาทดลองดู พบว่าทุบลงบนม่านแสงก็เสียเวลาเปล่า จึงเอ่ยกับพั่งจื่อ “หลังจากเจ้าเลื่อนขั้นได้เรียนรู้เวทมนตร์มิใช่หรือ นำมาใช้หน่อยสิ พอดีให้ข้าได้เปิดหูเปิดตา”

“อ๊บ” พั่งจื่อตอบรับอย่างเบิกบาน หมอบลงบนปะการังใต้ทะเลทันที

เห็นพั่งจื่อสูดลมหายใจ ท้องโป่งพองออกมา จากนั้นแก้มก็พองเป็นลูกโป่งขนาดใหญ่สองใบ หลังจากนั้นได้ยินเสียงกบร้องทุ้มต่ำดังมาจากแก้มของพั่งจื่อ

“นี่เป็นเวทมนตร์อะไร เวทขู่เสือหรือ?” จินเฟยเหยามองดูไม่เข้าใจ นี่เป็นเสียงร้องของกบธรรมดามิใช่หรือ เพียงแต่เสียงดังกว่าเท่านั้น

พั่งจื่อไม่สนใจนาง ยังคงร้องทีละครั้งดังเดิม ท้องขยับขึ้นลงไม่หยุด ตามเสียงร้องกบของมัน จินเฟยเหยารู้สึกได้ว่าแนวปะการังใต้เท้ากำลังสั่นสะเทือน น้ำทะเลที่สูงเลยเข่ากระเพื่อมไม่หยุดตามเสียงกบร้อง

นี่เหมือนกับของวิเศษหรือเวทมนตร์บางอย่างที่สามารถขยายเสียงได้ จินเฟยเหยาฟังเสียงกบร้องพลางกำลังครุ่นคิด พลันรู้สึกว่าในจมูกมีบางอย่างไหลออกมา นางใช้มือเช็ด ยังนึกอย่างไม่พอใจว่าน้ำทะเลก็ไม่เย็น จะมีน้ำมูกไหลทำไม

รอจนนางก้มหน้ามอง ก็ตกตะลึงหน้าเผือดสีในพริบตา ในมือเต็มไปด้วยโลหิตสด ในจมูกยังมีบางอย่างไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง จินเฟยเหยาใช้อีกมือหนึ่งลองเช็ดอีก ไม่ผิดจริงๆ นางกำลังเลือดกำเดาไหล อีกทั้งยังไหลออกมาไม่น้อย

จินเฟยเหยามองไปรอบด้านอีกครั้ง พวกสี่พี่น้องนักล่าเงินรางวัลมีโลหิตไหลจากองคาพยพทั้งห้า สีหน้าเขียวคล้ำ กำลังดิ้นรนอย่างยากลำบาก

“พั่งจื่อที่น่าตาย เวทมนตร์ของเจ้าไม่แยกแยะข้ากับศัตรู เจ้าต้องเตือนข้าสิ เจ้าสารเลว คิดจะฆ่าข้าให้ตายหรือ!” จินเฟยเหยารีบใช้มืออุดหู ทว่าก็ขัดขวางเสียงกบร้องทุ้มต่ำนี้ไม่ได้เลยสักนิด เสียงร้องยังแทรกผ่านฝ่ามือเข้าไปในหูดังเดิม

สี่พี่น้องนักล่าเงินรางวัลมีม่านแสงของวงเวทกักเซียนขวางกั้น ตนเองก็ใช้พลังวิญญาณอุดหู ไม่รู้ว่าได้รับผลกระทบจากเสียงร้องกบน้อยกว่าจินเฟยเหยามากเพียงใด ทว่าสำหรับจินเฟยเหยาคือโศกนาฏกรรมล้วนๆ นางอยู่ใกล้พั่งจื่อที่สุดทั้งยังใช้พลังวิญญาณไม่ได้ ได้แต่อาศัยสองมือปิดหู ย่อมไม่ได้ผลใดๆ

จากนั้น ความรู้สึกเจ็บปวดอย่างล้นเหลือก็จู่โจมศีรษะนาง แม้แต่การรับรู้ก็ราวกับกำลังถูกกลืนกินอย่างอำมหิต จินเฟยเหยากุมศีรษะพุ่งไปหาพั่งจื่อ นางต้องหยุดเสียงร้องกบของพั่งจื่อก่อนที่ศีรษะจะแตก

ในขณะนี้เอง สี่พี่น้องนักล่าเงินรางวัลที่ยืนอยู่นอกม่านแสงก็ทนไม่ไหวก่อน เจ้าสามร้องโหยหวนเป็นคนแรก กุมศีรษะนอนอยู่บนแนวปะการัง จากนั้นก็เป็นเจ้าสี่และเจ้ารอง ทุกคนกุมศีรษะล้มคว่ำ มีเพียงพี่ใหญ่ที่สภาพดีหน่อย ทว่าก็ลงนั่งยองๆ กุมศีรษะครางอย่างทุกข์ทรมาน

พลังการบำเพ็ญเพียรของคนทั้งสี่ล้วนเป็นขั้นสร้างฐานช่วงปลาย มีการป้องกันหลายชั้นขนาดนี้ คิดไม่ถึงว่าเทียบกับจินเฟยเหยาที่เผชิญหน้ากับเสียงกบร้องตรงๆ แล้วจะทนไม่ไหวก่อน หลังจากจินเฟยเหยาสงสัยก็เข้าใจทันที นี่คือความแตกต่างของคุณสมบัติร่างกาย เจ้าพวกไก่อ่อน

คนทั้งสี่เป็นเช่นนี้ วงเวทกักเซียนก็คลายออกทันที พลังวิญญาณของจินเฟยเหยาฟื้นฟูคืนมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นนางก็ใช้เท้าเตะร่างพั่งจื่อ เตะมันออกไปอย่างแรง

เวทมนตร์ของพั่งจื่อถูกบีบให้หยุดกลางคัน ความรู้สึกสมองจะปริแตกหายไปทันที จินเฟยเหยาไม่ปวดศีรษะแล้ว นางสาดโทสะทั้งหมดลงบนตัวสี่พี่น้องนักล่าเงินรางวัลทันที

“ตายเสียเถอะ เจ้าพวกสารเลว” จินเฟยเหยากระโดดออกมาจากในน้ำทะเล เหินร่างเตะใส่พี่ใหญ่ที่นั่งยองๆ อยู่บนพื้น

พี่ใหญ่ไม่สนใจโลหิตสดที่ไหลออกมาจากองคาพยพทั้งห้า คว้าธงขึ้นตะโกนลั่น “พี่น้องกางวงเวท”

ไม่เสียทีที่เป็นธงอาคมอาวุธเวทแก่นชีวิตขั้นสร้างฐาน พวกเจ้ารองเจ้าสามยังกุมศีรษะจมอยู่ในน้ำ เพียงแต่ใช้พลังวิญญาณถ่ายเท ธงอาคมดังวิ้งๆ ลอยขึ้นมาทันที สร้างเป็นวงเวทบิดเบี้ยวอย่างรวดเร็วครอบจินเฟยเหยาไว้อีกครั้ง ส่วนขานางก็เตะโดนม่านแสง

“พั่งจื่อ รีบมาเร็วหน่อย!” จินเฟยเหยาร้อนใจแทบแย่ เดินไปเดินมาอยู่ในวงเวทอย่างกระสับกระส่าย

“อ๊า! เจ้าทำอะไรน่ะ รีบคายออกมาให้ข้านะ” ในขณะนี้เอง เจ้ารองพลันส่งเสียงร้องอย่างตกตะลึงและขุ่นเคือง

ไม่รู้ว่าพั่งจื่อแอบดำน้ำมาจากในทะเลเมื่อใด ฉวยโอกาสชิงธงอาคมในมือเจ้ารองไปโดยไม่ทันตั้งตัว อ้าปากกินง่ำๆ

ธงอาคมหายไปหนึ่งอัน วงเวทกักเซียนสั่นไหวแล้วหายไป จินเฟยเหยาถูกกักขังครั้งแล้วครั้งเล่า ในใจมีความคับข้องใจอยู่นานแล้ว ตอนนี้ถูกปล่อยออกมา เพลิงโทสะของนางแผดเผา จุดไฟนรกในมือขึ้นแล้วพุ่งเข้าไป

ในขณะนี้เอง บนผิวทะเลพลันปรากฏหมอกขาว ภายในสองสามอึดใจ พวกเขาก็ถูกหมอกขาวโอบล้อมไว้ จากนั้นเบื้องหน้ามีแสงสีขาวเสียดแทงนัยน์ตาวาบผ่าน พริบตาก็เห็นผืนแสงสีขาวกว้างใหญ่

จินเฟยเหยาหลับตา พยายามนวดคลึงแล้วหยีตามองไป แสงสีขาวสายนั้นกระจายหายไปแล้ว นางจึงลืมดวงตาสองข้างอย่างเต็มที่

“นี่คือ!” จินเฟยเหยามองรอบด้านอย่างตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าตนเองจะกลับมายังสถานที่แห่งนี้อีก

สี่พี่น้องนักล่าเงินรางวัลก็มองรอบด้านอย่างตกตะลึง ใต้เท้ามิใช่น้ำทะเลลึกแค่เข่าแล้ว ทว่าเป็นทุ่งหญ้าสูงเกินเข่า ไกลๆ เป็นภูเขาเห็ดที่เหมือนซ้อนกันเป็นชั้นๆ บนภูเขามีสิ่งก่อสร้างไม่น้อย

ส่วนกลางนภาแขวนไว้ด้วยดวงอาทิตย์สีโลหิตสาดส่องรอบด้านเป็นแถบสีโลหิตชั่วร้าย แม้แต่ทุ่งหญ้าสีเขียวทั้งหมดก็ย้อม สีแดงโลหิตชั้นหนึ่ง

ไม่ถูกต้อง! พี่ใหญ่สังเกตเห็นสีแดงโลหิตชั้นหนึ่งผสมบนทุ่งหญ้า นี่มิใช่เพราะดวงอาทิตย์สีโลหิต ทว่าบนทุ่งหญ้ามีโลหิตสดแห้งกรังอาบอยู่ชั้นหนึ่ง

ทำให้พี่ใหญ่นึกถึงคำเล่าลืออย่างหนึ่ง ขณะล่าสัตว์ปิศาจที่ทะเลเปิด บางครั้งจะพบกับหมอกมายา หมอกมายาเหล่านี้สามารถพาคนไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง สถานที่แห่งนั้นอันตรายอย่างยิ่ง แต่ขอเพียงเจ้าหาคนที่ถูกขังอยู่ด้านในพบ มอบสิ่งของที่เขาต้องการให้ ก็จะได้รับผลประโยชน์ที่คาดไม่ถึง และยังสามารถกลับมาโดยปลอดภัย

คำเล่าลือนี้เล่าเสียเปี่ยมชีวิตชีวา ราวกับสถานที่แห่งนี้เป็นขุมสมบัติ ถ้าโชคดีจึงเข้ามาได้ ยอดเยี่ยมสุดเปรียบปาน

เดิมทีพี่ใหญ่ไม่เชื่อถือคำเล่าลือนี้มาตลอด ทว่าสภาพแวดล้อมรอบด้านตอนนี้กลับไม่ยอมให้เขาสงสัย ตนเองมาถึงดินแดนในคำเล่าลือ

ห้าคนหนึ่งกบยืนตะลึงงัน ถูกพามาที่นี่อย่างกะทันหัน ทำให้ทุกคนสติหลุดลอยอยู่บ้าง

จินเฟยเหยารู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง เมื่อครั้งที่แล้วจากในศิลารองรับฟ้ามาถึงภูเขาเห็ด ที่นี่มีกลิ่นหอมพุ่งปะทะจมูก ดอกไม้บานเต็มไปทั่ว ท้องนภามีเมฆขาว ท้องฟ้าสีฟ้า และดวงอาทิตย์อบอุ่น ตอนนี้โลกสีแดงโลหิตนี้มันเรื่องอะไรกัน?

ไอสังหาร ไอสังหารอันหนักหน่วง ในโลกทั้งหมดล้วนเป็นไอสังหารอันเข้มข้น ในอากาศยังสามารถได้กลิ่นคาวโลหิตอันเข้มข้น นางเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นในใจ

คราบโลหิตที่แห้งกรังไปนานแล้วบนใบหญ้าสีเขียวพลันมีชีวิตขึ้นตามที่นางปรารถนา กลิ้งร่วงลงพื้นทีละหยด จากนั้นแต่ละหยดก็รวมกันเป็นกอง ปิศาจโลหิตรูปคนแต่ละตัวตั้งอยู่บนพื้นหญ้า มนุษย์ที่สร้างขึ้นจากโลหิตสดเหล่านี้ มีแขนขาครบถ้วน ทว่าบนหัวนอกจากปากขนาดใหญ่ก็ไม่มีอะไรเลย

หนึ่งตัว สองตัว สิบตัว ร้อยตัว…

จำนวนปิศาจโลหิตที่เต็มไปด้วยโลหิตหยดติ๋งๆ ตั้งอยู่บนพื้นหญ้ายิ่งมายิ่งมากขึ้น แม้แต่บนภูเขาเห็ดอันห่างไกลก็เป็นแถบสีแดง

จินเฟยเหยาประเมินด้วยสายตาอย่างกังวล นี่ต้องมีปิศาจโลหิตหลายหมื่นตัว…

“พั่งจื่อ วิ่ง!” จินเฟยเหยาพลันกระโดดขึ้น นางกระโดดอยู่ที่เดิมอย่างน่าประหลาด จากนั้นจึงตะโกนลั่นวิ่งไปบนภูเขาเห็ด ส่วนพั่งจื่อกลับกระโดดสองที ก็พุ่งไปด้านหน้านางอย่างว่องไว วิ่งไปบนภูเขาเห็ดอย่างไม่คิดชีวิต

“พี่ใหญ่ พวกเราจะทำอย่างไรดี?” เห็นฉากนี้ พวกเจ้ารองก็พร้อมใจกันมองพี่ใหญ่

พี่ใหญ่กวักมือเรียก สาวเท้าวิ่งไล่ตามจินเฟยเหยาไป “ต้องวิ่งขึ้นภูเขาตามนางไปแน่นอน”

คนทั้งห้าวิ่งขึ้นภูเขาเห็ดอย่างสุดชีวิต ปิศาจโลหิตที่ยืนนิ่งไม่ขยับเหล่านั้นพลันขยับตัวขึ้นมา พวกมันร่างกายปราดเปรียว เคลื่อนไหวรวดเร็ว มองไม่ออกเลยว่าเป็นสิ่งที่ตายแล้วไม่มีสติปัญญา เห็นคนทั้งห้าปิศาจโลหิตทั้งหมดก็พุ่งเข้าใส่ราวกับแมลงวันเจอไข่เน่า อ้าปากขนาดใหญ่คิดจะฉีกทึ้งพวกเขา

จินเฟยเหยาเรียกทงเทียนหรูอี้ออกมาให้กลายเป็นกระบองด้านหน้าหนาด้านหลังบางยาวหนึ่งจั้งกว่าสองท่อน ใช้ฟาดปิศาจโลหิตที่พุ่งเข้ามาใส่ ขอเพียงปิศาจโลหิตเข้าใกล้นางก็จะถูกกระบองคุ้มกายสองท่อนนี้ทุบตีจนเป็นก้อนโลหิต

“เจ้าทำอะไร ลงไปวิ่งเองสิ!” เผชิญหน้ากับปิศาจโลหิตเหม็นคาวปริมาณมหาศาล แม้แต่พั่งจื่อก็ไม่ยอมใช้ลิ้นโจมตีให้เปื้อนคราบเลือดพวกมัน ผู้ใดจะรู้ว่ากินแล้วปวดท้องหรือไม่ ดังนั้นพั่งจื่อจึงหดร่างลงสูงสองฝ่ามือกว่าๆ กระโดดเกาะหลังจินเฟยเหยาทันที ให้นางแบกมันวิ่ง

เมื่อครู่ตอนวิ่งหนี จินเฟยเหยาคิดจะนำพรมบินออกมา กลับพบว่าที่นี่มีการป้องกันเหาะเหิน นางเพิ่งกระโดดขึ้นพรมบิน ก็ถูกการป้องกันยับยั้งให้ร่วงลงมา เพิ่งนำพรมบินออกมาก็ถูกเก็บกลับเข้าไป ดังนั้นจึงปรากฏว่าก่อนนางจะตะโกน กลับกระโดดสูงๆ อยู่ที่เดิม

ยิ่งวิ่งขึ้นไปบนภูเขาเห็ด การรวมตัวของปิศาจโลหิตยิ่งมายิ่งมาก เพื่อให้สามารถเข่นฆ่าออกเป็นเส้นทางโลหิตสายหนึ่ง สองหมัดของจินเฟยเหยาจึงร่ายรำเข้าต้านรับ

หลังจากนางเข้ามาที่นี่อีกครั้ง ไฟนรกภายในร่างกายก็ไม่เชื่อฟังคำสั่ง ผืนทะเลสีฟ้าในการรับรู้เกิดระลอกคลื่นพุ่งขึ้นสู่ฟ้า คลื่นโหมรุนแรงปั่นป่วนอยู่ในการรับรู้ไม่หยุด ไฟนรกสูญเสียการควบคุม สับสนวุ่นวายสุดเปรียบปาน ใช้การไม่ได้เลยสักนิด อีกทั้งในสมองยังมีเสียงบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยล่อลวงนางอย่างต่อเนื่อง “มาชั้นบนสุด มาสิ มาเร็วเข้า…”

ภายใต้การกระตุ้นของเสียงนี้ จินเฟยเหยาจึงวิ่งขึ้นภูเขาเห็ดอย่างไม่เป็นตัวของตัวเอง ตลอดทางทงเทียนหรูอี้บดขยี้ปิศาจโลหิตไปนับไม่ถ้วน สองหมัดของนางก็ต่อยตีออกเป็นเส้นทางเศษโลหิต

ด้านหน้ามีคนเปิดทาง สี่พี่น้องนักล่าเงินรางวัลจึงมาตามเส้นทางโลหิตที่จินเฟยเหยาเข่นฆ่าออกมา ฟันปิศาจโลหิตที่เข้ามาโอบล้อมใหม่ ติดตามจินเฟยเหยาวิ่งขึ้นยอดภูเขาเห็ด

………………………………………………….