บทที่ 147 ยอดภูเขาเห็ด

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

“ข้ารอเจ้าอยู่นานแล้ว เคลื่อนไหวเร็วหน่อย รีบมา รีบขึ้นมาเร็วเข้า”

ในสมองของจินเฟยเหยา มีเสียงเร่งเร้าดังมาไม่หยุด ได้ยินจนนางรำคาญแทบตาย อดด่าทอไม่ได้ “เรียกทำไม ตอนนี้ข้ายุ่งจะตาย ถ้ายังเรียกอีกข้าจะไม่ขึ้นไปแล้ว”

“อ๊า ช่วยด้วย!”

ด้านหลังพลันมีเสียงร้องโหยหวนดังมา จินเฟยเหยาหันหน้าไปมอง ที่แท้เจ้าสามในสี่พี่น้องนักล่าเงินรางวัลถูกปิศาจโลหิตจับตัวไว้ ปิศาจโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าใส่ พริบตาเขาก็จมหายไป

“เจ้าสาม!” อีกสามคนที่เหลือพร้อมใจกันร้องคำรามอย่างเศร้าเสียใจ ส่วนเจ้ารองพุ่งไปข้างหน้า คิดจะช่วยเจ้าสามออกมาจากปิศาจโลหิต

ทว่าเขากลับถูกพี่ใหญ่ฉุดดึงไว้แน่น “เจ้ารองไปไม่ได้ เจ้าสามจบสิ้นแล้ว รีบไป ไม่เช่นนั้นทุกคนต้องตายอยู่ที่นี่กันหมด”

พวกเขาสี่คนผูกสัมพันธ์เป็นพี่น้องต่างแซ่มาสามสิบกว่าปีแล้ว อยู่ด้วยกันทุกวันตั้งแต่เช้าจรดค่ำผูกพันกันลึกล้ำ ตอนนี้เบิกตามองดูเจ้าสามถูกปิศาจโลหิตกลืนกิน ในใจของคนทั้งสามเหมือนถูกมีดกรีดเฉือน รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง

“รีบไป!” พี่ใหญ่ฉุดดึงเจ้ารอง หมุนตัววิ่งไปข้างหน้า ทว่าพอเงยหน้าก็เห็นเจ้าสี่ที่ต้านทานปิศาจโลหิตเบื้องหน้าแทนพวกเขา ถูกปิศาจโลหิตกัดศีรษะไปครึ่งหนึ่งพอดี

“ข้าจะเสี่ยงชีวิตกับพวกเจ้า!” เจ้ารองสลัดพี่ใหญ่ทิ้งสุดแรง ถือยันต์คาถาปึกหนึ่งโยนขึ้นไป จากนั้นมือถือค้อนหัวพยัคฆสะเทือนฟ้าพุ่งเข้าใส่ฝูงปิศาจโลหิต

พี่ใหญ่ไม่สนอะไรทั้งสิ้น กู่ร้องยาวนาน พุ่งหัวปักเข้าไปในฝูงปิศาจโลหิต

“ว้าว นี่คือขอตายวันเดียวปีเดียวกัน มีน้ำใจต่อพี่น้องจริงๆ” จินเฟยเหยามองพวกเขาจมอยู่ท่ามกลางปิศาจโลหิต ก็ทอดถอนใจชื่นชม จากนั้นก็โถมเข้าเข่นฆ่าปิศาจโลหิตบนเส้นทาง

พยายามรุดไปข้างหน้าบนทุ่งหญ้า ในที่สุดจินเฟยเหยาก็เหยียบบันไดศิลาของภูเขาเห็ด เงยหน้าขึ้นมองปิศาจโลหิตที่อุดทางบนบันได จินเฟยเหยาก็ถอนหายใจยาว ส่ายศีรษะอย่างแรง คิดจะสลัดเสียงที่น่าชังออกจากสมอง จากนั้นตะโกนลั่นสะบัดทงเทียนหรูอี้โจมตีไปข้างหน้า

ปิศาจโลหิตถูกอัดร่วงลงจากบันไดเป็นทิวแถวราวกับกองฟืน ต่อกรบนบันไดง่ายกว่าด้านล่างภูเขามากนัก ปิศาจโลหิตด้านล่างภูเขาถูกอัดจนเป็นชิ้นๆ ไม่นานก็รวมตัวเป็นปิศาจโลหิตขึ้นใหม่ พุ่งเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่า ฆ่าไม่หมดเสียที ทว่าบนบันได ขอเพียงอัดพวกมันร่วงลงไป คิดจะปีนขึ้นมาใหม่ก็ได้แต่ขึ้นมาตามบันไดศิลา

จินเฟยเหยาให้ทงเทียนหรูอี้อันหนึ่งกลายเป็นไม้กระดานกว้างสองจั้งสูงสามจั้งกว่า ขัดขวางบนบันไดศิลาที่ขึ้นสู่ภูเขาเห็ดทั้งหมดไว้ ปิศาจโลหิตกระโดดได้สูงเพียงหนึ่งจั้งกว่า ทั้งยังบินไม่ได้ ทั้งหมดจึงได้แต่กองอยู่ด้านหลังทงเทียนหรูอี้

ปิศาจโลหิตบนบันไดศิลาด้านหลังยิ่งมายิ่งมากขึ้นตามจินเฟยเหยาที่ค่อยๆ เบิกทางไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ปิศาจโลหิตพยายามผลักทงเทียนหรูอี้บนบันไดศิลาที่ไม่กว้างนัก คิดจะพุ่งเข้ามา

เพื่อขัดขวางปิศาจโลหิตที่พุ่งมาข้างหน้า พั่งจื่อไม่เพียงคืนขนาดเดิม ทว่ายังขยายใหญ่เป็นสองเท่า ร่างขนาดยักษ์สุดเปรียบปานแนบติดด้านหลังของทงเทียนหรูอี้ ช่วยสกัดแรงผลักของปิศาจโลหิต

ปิศาจโลหิตผลักทงเทียนหรูอี้อยู่นานก็ไม่ขยับ จึงเริ่มยืนอยู่บนตัวปิศาจโลหิตด้านล่าง ก่อกองสูงขึ้นมากลายเป็นกำแพงปิศาจโลหิตปีนขึ้นด้านบนทงเทียนหรูอี้

ส่วนจินเฟยเหยาในยามนี้รุดหน้าเข้าไปถึงบนแท่นเห็ดอันที่หนึ่งแล้ว นางอัดกองปิศาจโลหิตทั้งหมดลงด้านล่างภูเขาเห็ดก่อน จากนั้นจึงถ่ายทอดเสียงถึงพั่งจื่อ “พั่งจื่อ รีบกระโดดมา”

พั่งจื่อปล่อยทงเทียนหรูอี้ กระโดดหลายก้าวอย่างรวดเร็วทันที เผ่นหนีมาถึงข้างกายจินเฟยเหยาอย่างว่องไว

“มายา!” จากนั้นจินเฟยเหยายื่นมือออกมาแล้วตะโกน ทงเทียนหรูอี้ที่กลายเป็นแผ่นกระดาน ก็กลายเป็นกระบองท่อนหนึ่งในพริบตา ปิศาจโลหิตที่กองเป็นภูเขาพลันสูญเสียเป้าหมายในการผลัก ร่ำร้องแล้วร่วงลงไปจำนวนไม่น้อย ส่วนทงเทียนหรูอี้ก็กวาดใส่อย่างหนักหน่วง ปิศาจโลหิตนับพันตัวที่เบียดอยู่บนบันไดศิลาถูกอัดร่วงลงไปทั้งหมด

บนบันไดศิลาว่างเปล่า รอจนปิศาจโลหิตด้านล่างภูเขาพุ่งขึ้นมาใหม่ก็ต้องใช้เวลาอยู่บ้าง จินเฟยเหยาฉวยโอกาสที่บนบันไดศิลาว่างเปล่า พาพั่งจื่อเผ่นขึ้นไปชั้นบนอย่างว่องไว

พวกนางใช้เทคนิคนี้พุ่งขึ้นไปทีละชั้นจนถึงชั้นบนสุดของภูเขาเห็ด หลังจากจินเฟยเหยาเหยียบย่างเข้าชั้นสุดท้าย ปิศาจโลหิตด้านล่างพลันหยุดไล่ตาม หลังหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ปิศาจโลหิตทั้งหมดก็เผ่นหนีลงด้านล่างภูเขา

ชั้นบนสุดมีเพียงแท่นเล็กๆ กว้างห้าจั้งกว่า เทียบกับด้านล่างที่มีปิศาจโลหิตเข่นฆ่าอยู่เต็มไปหมด เห็นได้ชัดว่าที่นี่สงบสุขกว่ามากนัก

แท่นราบทั้งหมดปูด้วยแผ่นศิลาหยกขาว เนื่องจากผ่านกาลเวลายาวนาน พื้นแผ่นศิลาหยกขาวจึงมีตะไคร่ขึ้นเต็มไปหมด มีหญ้างอกขึ้นตามรอยแยกของแผ่นศิลาหยกขาวจำนวนมาก บางต้นยังออกดอกเล็กๆ สีขาว สายลมเย็นพัดผ่าน พาดอกผูกงอิง[1]มาด้วย

ในสภาพแวดล้อมอันสงบสุขผืนนี้ กลับมีสิ่งหนึ่งที่มีผลกระทบต่อบรรยากาศสงบสุขของที่นี่

ตรงกลางแท่นราบ มีสระน้ำแห่งหนึ่งที่บรรจุโลหิตสดเต็มไปหมด และมีบุรุษคนหนึ่งแช่อยู่ในสระ บนหลังและแขนของเขาถูกตะขอสีดำเป็นประกายแทงทะลุ ทว่าเหนือร่างของเขากลับมีหินผลึกสีดำก้อนหนึ่ง โซ่ตรวนเหล่านี้ยื่นมาจากหินผลึกสีดำร้อยรัดกับตะขอไว้อย่างแน่นหนา แขวนคนผู้นี้ไว้กลางสระโลหิต

ลำตัวครึ่งบนของเขาเปลือยเปล่า ลำตัวครึ่งล่างแช่อยู่ในสระโลหิต ไม่รู้ว่าสวมกางเกงหรือไม่ ก้มศีรษะ ผมยาวสีดำปกคลุมใบหน้า ยาวจนแช่ในน้ำโลหิต ที่น่าประหลาดคือสองข้างของศีรษะเขา แต่ละข้างมีเขางอกยาวหนึ่งฉื่อกว่า

“คนเผ่ามาร?” ตั้งแต่จินเฟยเหยาเหยียบย่างเข้ามาที่นี่ เสียงเรียกนางในสมองก็หายไป สำหรับนางที่ไม่เคยเห็นเผ่ามารมาก่อน บุรุษผู้นี้ทำให้นางเกิดความสงสัยอย่างที่สุด

นางคิดจะใช้การรับรู้ดูว่าคนเผ่ามารผู้นี้เป็นหรือตาย ทว่าการรับรู้กลับถูกกั้นไว้ข้างสระโลหิต ท่าทางจะมีการป้องกัน

จินเฟยเหยาครุ่นคิด ให้ทงเทียนหรูอี้กลายเป็นกระบองที่ยาวและผอมบางอย่างไม่ถอดใจ จากนั้นเดินเข้าไปใกล้สระโลหิต คิดจะใช้ทงเทียนหรูอี้เชยศีรษะของคนเผ่ามารผู้นี้ขึ้นมาดู

จินเฟยเหยาเคยได้ยินว่า คนเผ่ามารเพียงแค่มีร่างเหมือนมนุษย์ หน้าตากลับเหมือนสัตว์ เป็นสัตว์ร่างคนที่โฉดเขลากลุ่มหนึ่ง ดังนั้น ถ้าไม่ดูใบหน้าของคนเผ่ามารผู้นี้ นางไม่ยินยอมแน่

การรับรู้กวาดเข้าไปในสระโลหิตไม่ได้ ทงเทียนหรูอี้กลับยื่นเข้าไปได้อย่างราบรื่น ไม่รู้ว่าคนผู้นี้มีชีวิตอยู่หรือตายแล้ว นางจิ้มบนร่างของเขาเบาๆ ก่อน หลังจากพบว่าเขาไม่ขยับ ก็ใช้ทงเทียนหรูอี้เชยคางของคนเผ่ามารผู้นี้อย่างใจกล้า ให้เขาเงยหน้าขึ้นมา

“เจ้าพวกหลอกลวง คำพูดที่ได้ยินคนเล่ากันในเมือง ส่วนมากล้วนเป็นความเท็จ” ใบหน้าหล่อเหลาและกล้าหาญสุดเปรียบปานปรากฏขึ้นเบื้องหน้าตามศีรษะคนเผ่ามารที่ถูกจินเฟยเหยาเชยขึ้นมา

ถ้าลบรอยสักบนใบหน้าทิ้งไป ตัดเขาบนศีรษะ แล้วโยนคนผู้นี้เข้าไปท่ามกลางผู้บำเพ็ญเซียน ต้องล่อลวงผู้บำเพ็ญเซียนสตรีนับพันนับหมื่นให้หลงใหลได้แน่นอน

ในขณะนี้เอง ดวงตาที่หลับสนิทมาตลอดพลันลืมขึ้นกะทันหัน ในดวงตาสีดำเป็นประกายมีแสงเย็นเยียบวาบผ่าน จินเฟยเหยาตกใจจนถอยหลังหนี วิ่งไปจนถึงข้างแท่นราบจึงหยุดลง มองเขาอย่างระแวดระวัง

“ผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์อย่างพวกเจ้าช่างไร้ประโยชน์ มาถึงยอดเขาก็ใช้เวลานานขนาดนี้ ข้ารอจนหลับไปแล้ว” บุรุษเผ่ามารผู้นี้เงยหน้าขึ้น เผยสีหน้าดูแคลนให้จินเฟยเหยา

รู้ชัดๆ ว่าเขาถูกแขวนไว้ในสระโลหิต น่าจะไม่ใช่วิธีฝึกบำเพ็ญแต่ถูกกักขัง จินเฟยเหยายังรู้สึกขวัญหนีดีฝ่อ สาเหตุที่สำคัญที่สุดคือนางมองพลังการบำเพ็ญเพียรของคนผู้นี้ไม่ออก ใช้เวทมองทะลุบนร่างเขาก็ราวกับจมลงไปในทะเลอันไร้ขอบเขต ขนาดเห็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ยังไม่ให้ความรู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่นแบบนี้เลย

ส่วนพั่งจื่อยามนี้มันถึงกับเป็นฝ่ายกระโดดเข้าไปในถุงสัตว์ภูติเอง ทิ้งให้จินเฟยเหยาอยู่ข้างนอก ตนเองหดตัวอยู่ในกระเป๋าสัตว์ภูติแม้แต่ขยับตัวก็ยังไม่กล้า

“มานี่” บุรุษเผ่ามารเอ่ยกับนางอย่างเย็นชา

หลังจากไอเย็นเยียบพุ่งจากแผ่นหลังตรงขึ้นสมอง นางก็สั่นศีรษะอย่างแรง “ไม่เอา!”

“…” บุรุษเผ่ามารเงียบงันไปครู่หนึ่ง ใช้น้ำเสียงที่ตนเองคิดว่าค่อนข้างอ่อนโยนเอ่ยวาจา “เจ้ามานี่ พวกเราทำข้อแลกเปลี่ยนกันเป็นอย่างไร?”

“ข้อแลกเปลี่ยน?” ได้ยินว่ามีผลประโยชน์ให้ จินเฟยเหยาก็ดวงตาเป็นประกาย มีความกล้าขึ้นมา เหมือนคนเผ่ามารจะไม่น่ากลัวเท่าใดแล้ว

“ข้าสามารถให้ของดีแก่เจ้าชิ้นหนึ่ง จากนั้นเจ้าเพียงใช้มันทำเรื่องที่ลำบากเพียงแค่ยกมือ หลังทำสำเร็จ ข้าสามารถส่งเจ้ากลับทะเลจากที่นี่ได้” ถึงแม้น้ำเสียงของบุรุษเผ่ามารจะพยายามอ่อนโยนแล้ว ทว่าในความเห็นของจินเฟยเหยาก็ยังคงน่ากลัวอยู่เช่นเดิม

จินเฟยเหยาเอ่ยถามแบบไม่รักชีวิต “เจ้าจะให้ข้าทำอะไร? คงไม่ใช่เป็นของว่างให้เจ้าหรอกนะ”

“ทำหน้าทะเล้นล้อข้าเล่นให้น้อยๆ หน่อย ข้าขอถามเจ้า ในตัวเจ้ามีไฟนรกใช่หรือไม่?” บุรุษเผ่ามารพลันมีสีหน้าอึมครึม เอ่ยถามอย่างเย็นชา

จินเฟยเหยาตอบอย่างประหลาดใจ “มิน่าเล่าพอมาถึงที่นี่ ไฟนรกก็ไม่เชื่อฟังคำสั่ง เจ้าเป็นคนทำใช่หรือไม่? เจ้าคิดจะทำอะไร ถ้าเป็นเรื่องดีงามจริงๆ ข้าคนนี้ไม่เคยถามความเป็นมาของอีกฝ่าย ได้ผลประโยชน์ดีก็ทำ”

“เจ้ามีโชคไม่เลว คิดไม่ถึงว่าจะได้ไฟนรก เข้ามาใกล้หน่อย ให้ข้าดูคุณสมบัติไฟนรกของเจ้าว่าเป็นอย่างไร จำเป็นต้องดูก่อนแล้วค่อยพูดเรื่องถัดไป” บุรุษเผ่ามารมองพินิจนางอย่างดูแคลน ให้นางเดินเข้ามาใกล้หน่อย

จินเฟยเหยากอดอกห่อไหล่หลบวูบพลางเอ่ย “ไม่เอา ผู้ใดจะรู้ว่าหลังจากข้าเดินเข้าไปใกล้ เจ้าจะทำอะไรข้าหรือไม่ มีเรื่องอะไรก็พูดมาก่อน ข้าจะฟังก่อนว่ามีผลประโยชน์อะไรและต้องทำเรื่องอะไร ค่อยครุ่นคิดว่าจะช่วยเหลือเจ้าหรือไม่”

นางรู้สึกว่าบุรุษเผ่ามารผู้นี้แผ่บรรยากาศอันตรายออกมาตลอดเวลา ทว่ายังถูกแขวนอยู่ในสระโลหิต น่าจะคุกคามนางไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่ยอมเชื่อคำพูดของเขา

“เหตุใดมดแมลงเดี๋ยวนี้จึงไม่ค่อยเชื่อฟังนะ…” บุรุษเผ่ามารเอ่ยวาจาเย็นชาประโยคหนึ่ง ดวงตาจ้องเขม็ง

จินเฟยเหยาพลันรู้สึกแน่นลำคอราวกับถูกบางอย่างบีบไว้ จากนั้นร่างก็ถูกยกขึ้น นางถูกบีบจนต้องอ้าปากกว้าง หายใจไม่ออก สองมือลูบคลำรอบลำคอวุ่นวาย คิดจะค้นหาสิ่งที่โจมตีตนเองให้พบ

ทว่านางกลับหาไม่พบ ตรงลำคอที่ว่างเปล่าถูกบีบจนเจ็บปวดใกล้จะขาดใจ นางถูกพลังขุมหนึ่งลากให้เคลื่อนเข้าหาสระโลหิต

จินเฟยเหยาจ้องมองสระโลหิตอย่างหวาดกลัว ลำคอส่งเสียงแหบต่ำขอความช่วยเหลือ “ไม่เอานะ…ช่วยด้วย!”

ในขณะที่นางดิ้นรนอย่างไร้ประโยชน์ จินเฟยเหยายังถูกเคลื่อนย้ายไปหยุดข้างสระโลหิต เห็นตนเองไม่ได้ถูกโยนลงสระโลหิตทันที ในใจนางจึงโล่งอกครึ่งหนึ่งชั่วคราว

ไม่รอให้นางเอ่ยวาจาขอความเมตตา ในดวงตาบุรุษเผ่ามารพลันยิงแสงสีดำสองสายออกมา ชอนไชเข้าไปในร่างกายของจินเฟยเหยา

จินเฟยเหยารู้สึกว่าภายในร่างกายมีปราณเย็นเยียบขุมหนึ่งกำลังแล่นเข้าไปในการรับรู้ ตลอดร่างสั่นสะท้านอย่างทนไม่ไหว จากนั้นภายในการรับรู้พลันหนาวเหน็บถึงขีดสุด ปราณเย็นเยียบขุมนี้บรรลุถึงในการรับรู้แล้ว ในยามนี้เอง จินเฟยเหยาก็ตาเหลือกแล้วสลบไป

…………………………………………………….

[1] ดอกผูงกงอิง คือ ดอกแดนดิไลออน