บทที่ 136 เหตุใดเถ้าแก่ปู้จึงน่ารักถึงเพียงนี้

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

“ไอ้นั่นไง ผลไม้ที่อยู่ในมือเจ้าน่ะ ข้าขอยืมหน่อย” ปู้ฟางพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังสุดขีด

ประตูมายาสวรรค์ในตอนนั้นเงียบมากเสียจนได้ยินเสียงลมพัดหวีดหวิวเป็นฉากหลัง ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงได้ยินคำพูดของปู้ฟางเต็มสองรูหู แม้เขาจะไม่ได้พูดเสียงดังแต่อย่างใด

เซียวเยียนอวี่และเซียวเสี่ยวหลงแยกเขี้ยวอายแทนปู้ฟาง ไม่รู้ว่าจะต้องหัวเราะหรือว่าร้องไห้ดี “สถานการณ์ตึงเครียดขนาดนี้ เขายังกล้าบุกมาขอยืมผลไม้เนี่ยนะ… แถมยังจะยืมผลไม้พลังปราณระดับเจ็ดอีก คิดว่าอีกฝ่ายโง่เง่าไม่รู้ประสาหรืออย่างไรกัน”

เซียวเสี่ยวหลงคันปากอยากเหน็บแนม แต่เมื่อเขาเห็นสีหน้าจริงจังของปู้ฟาง ก็อับจนด้วยคำพูดไปเสียอย่างนั้น… “เถ้าแก่ปู้อาจจะมาเพื่อขอยืมผลไม้จริงๆ ก็เป็นได้” เขาคิด

พลังปราณที่กระจายออกจากร่างเซียวเหมิงเริ่มแผ่วลง เขามองปู้ฟางด้วยสายตาเคร่งขรึม “เถ้าแก่ปู้มาทำอะไรที่นี่กัน แล้วมาคนเดียวเสียด้วย อสูรเวทในตำนานกับหุ่นเชิดเล่า มิได้พามาด้วยหรือ”

เมื่อไม่มีอสูรเวทและหุ่นเชิด ปู้ฟางก็เป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นจิตยุทธการที่อ่อนแอไร้ทางสู้ แทบทุกคนในที่แห่งนี้สามารถเป่าเขาให้ปลิวไปได้ทั้งสิ้น แล้วเขาไปเอาความกล้าเผชิญหน้าขอยืมผลไม้จากเจ้ามู่เฉิงมาจากที่ใดกัน

เจ้ามู่เฉิงมองปู้ฟางด้วยสายตาไม่ใยดี เขาไม่เคยเจอชายหนุ่มมาก่อน แต่เคยได้ยินเรื่องราวของคนผู้นี้มาบ้าง “เจ้าของร้านใจไม้ไส้ระกำที่มีอสูรเวทในตำนานเฝ้าร้านอยู่เช่นนั้นรึ”

แน่นอนว่าเจ้ามู่เฉิงไม่เชื่อข่าวลือนั้น อสูรเวทในตำนานที่แสนยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานจะมาเฝ้าร้านอาหารไปเพื่อกิจอะไรกัน คนที่ปล่อยข่าวลือนี้ตีไข่ใส่สีเข้าไปเสียจนเกินงามแล้ว

“อ้อ เจ้าอยากขอยืมผลไม้ในมือข้ารึ เหตุใดข้าต้องให้เจ้าด้วยเล่า” เจ้ามู่เฉิงถามพร้อมรอยยิ้มบางบนใบหน้า เขายกมือขึ้น ผลตื่นรู้สามสายลอยอยู่บนฝ่ามือ

พลังปราณเข้มข้นไหลออกมาจากผลตื่นรู้สามสาย เมื่อปู้ฟางเห็นปรากฏการณ์นี้ เขาก็ตื่นเต้นดีใจขึ้นมาทันที ผลตื่นรู้สามสายนั้นเยี่ยมยอดน่าอัศจรรย์ใจจริงเสียด้วย เหมาะที่จะเป็นวัตถุดิบหลักในการหมักสุราจริงๆ

เขาบังคับให้ตนเองใจเย็นลง ใบหน้าของปู้ฟางนิ่งเฉยขณะมองเจ้ามู่เฉิง แล้วตอบเสียงเรียบ “ทำไมเล่า พูดอย่างกับข้าขอยืมจากเจ้าเช่นนั้นแหละ คิดว่าตนเองเป็นเจ้าของหรืออย่างไร ถึงมาถามข้าว่าทำไมต้องให้”

ใบหน้าของเจ้ามู่เฉิงพลันแข็งทื่อ ความรู้สึกอิ่มสุขถูกแทนที่ด้วยโทสะจากความอับอาย

สิ่งที่ปู้ฟางพูดนั้นถูกต้อง ผลตื่นรู้สามสายเป็นของจักพรรดิฉางเฟิ่งต่างหาก หากปู้ฟางจะขอยืม เขาย่อมต้องขอยืมจากจักพรรดิฉางเฟิ่ง เป็นความคิดที่ถูกต้องแล้วตามตรรกะ…

“แต่ตอนนี้ผลไม้นี้อยู่ในมือข้า บอกข้ามาเสีย เหตุใดข้าต้องให้เจ้าด้วย” เจ้ามู่เฉิงเย้ยพร้อมปรายตามองปู้ฟางด้วยสายตาชิงชัง เขาสัมผัสได้ว่าปู้ฟางมีพลังปราณเพียงขั้นจิตยุทธการเท่านั้น จึงเอ่ยต่อ “ด้วยพลังปราณขั้นจิตยุทธการของเจ้า เจ้าจะทำให้ข้ามอบผลไม้นี้ให้ได้อย่างไรกัน”

เซียวเหมิงที่อยู่ใกล้ๆ เริ่มรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา ปู้ฟางนั้นถือเป็นผู้มีพระคุณของเขา เนื่องจากอาหารโอสถทิพย์ที่อีกฝ่ายปรุงขึ้นทำให้จีรู่เอ๋อร์ตื่นขึ้นมาจากสภาวะนิทราได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่อยากให้ปู้ฟางถูกเจ้ามู่เฉิงซ้อมจนตายคามือ

ในเมื่อสุนัขและหุ่นเชิดไม่ได้มาด้วย เซียวเหมิงก็ไม่รู้เลยว่าปู้ฟางรวบรวมความกล้ามาท้าทายเจ้ามู่เฉิงได้อย่างไร

ปู้ฟางขมวดคิ้ว เขามองเจ้ามู่เฉิงด้วยสายตาจริงจังไม่ได้ล้อเล่น “ข้าไม่ชอบวิวาท

“แต่หากจำเป็นข้าก็ยินดีใช้กำลังตัดสิน”

พอพูดจบเขาก็ยกมือขึ้น รูปสลักบนข้อมือสว่างวาบ ก่อนที่กลุ่มควันสีเขียวจะลอยวนรอบมือ ตามมาด้วยมีดทำครัวสีดำสนิท

ทั้งเจ้ามู่เฉิงและเซียวเหมิงต่างนิ่งอึ้งจนด้วยคำพูด แม้แต่จีเฉิงเสวี่ยที่เพิ่งหายจากอาการประหลาดใจยังต้องกลับไปมีสีหน้าเหมือนต้องมนต์ดังเดิม

ภาพผู้ฝึกตนระดับสี่ขั้นจิตยุทธการที่ยืนถือมีดทำครัว พร้อมประกาศกร้าวว่าตนเองพร้อมจะใช้ความรุนแรงแก้ปัญหากับผู้ฝึกตนระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการ มันน่าขำให้ฟันร่วงหมดปากไหมเล่า

หนี่หยันที่ยืนอยู่กลางอากาศนอกประตูมายาสวรรค์อดไม่ได้ที่จะระเบิดหัวเราะออกมาขณะมองภาพเบื้องล่าง “เถ้าแก่ปู้นี่เหตุใดจึงน่ารักได้ถึงเพียงนี้กันนะ”

หนี่หยันหัวเราะคิกคักอยู่กับตนเองสักพัก เมื่อเห็นปู้ฟางยืนถือมีดทำครัวยั่วโทสะเจ้ามู่เฉิงด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนหน้านี้นางสงสัยว่าเหตุใดปู้ฟางจึงยื่นมือเข้ามามีเอี่ยวในเหตุการณ์แย่งอำนาจนี้ด้วย แต่สุดท้ายความจริงก็เฉลยออกมาว่าเขามาเพราะผลตื่นรู้สามสายนั่นเอง

“สมแล้วที่เป็นพ่อครัว ยอมเสี่ยงชีวิตของตนเองเพื่อเสาะหาวัตถุดิบที่ดีที่สุดมาทำอาหาร” นางคิด

ทันใดนั้นหนี่หยันก็หยุดหัวเราะไปทันที ใบหน้าสวยไร้ผู้เทียบเทียมของนางมีความไม่อยากเชื่อฉายอยู่

ดวงตาของนางเบิกกว้างขณะมองไปในระยะไกล… นางเห็นอภิมหาวงแหวนปราณหายนะเศียรมังกรที่ถูกเจ้ามู่เฉิงผนึกไปแล้วด้วยการทำลายแก่นเวทกลับมาทำงานอีกครั้ง แถมพลังที่กำลังเดือดปุดอยู่ใต้วังหลวงในคราวนี้รุนแรงร้ายกาจยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ

พลังที่อภิมหาวงแหวนปราณหายนะเศียรมังกรปล่อยออกมานั้นน่าขนพองสยองเกล้ายิ่งนัก!

“เกิดอะไรขึ้นกัน!”

หนี่หยันไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าแม้แต่น้อย

ทุกคนในลานประตูมายาสวรรค์จ้องมองร่างที่ยืนถือมีดทำครัวด้วยสายตาขบขัน ผู้ฝึกตนขั้นจิตยุทธการผีเข้าถึงขนาดท้าขั้นนักพรตยุทธาการดวล… ถ้าไม่เรียกว่ารนหาที่ตายก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี ความแตกต่างด้านพลังของทั้งสองคนนี้ เรียกได้ว่าถมอย่างไรก็ถมไม่เต็ม

พลังปราณไหลเวียนรอบกายเซียวเหมิงอีกครั้ง ชายวัยกลางคนพร้อมกระโจนเข้ามาช่วยปู้ฟางตลอดเวลา เขาทนยอมเห็นผู้มีพระคุณของตนถูกเจ้ามู่เฉิงซ้อมตายคามือโดยไม่ทำอะไรไม่ได้เด็ดขาด

แต่ภาพที่เกิดขึ้นต่อมาก็ทำให้ทุกคนตกใจจนลูกตาในเบ้าแทบระเบิดดังโพละ

เจ้ามู่เฉิงมองปู้ฟางด้วยสายรังเกียจ หากเขายอมให้ผู้ฝึกตนขั้นจิตยุทธการมาหยามเกียรติโดยไม่กลัวตายได้เช่นนี้ แล้วศักดิ์ศรีความเป็นขั้นนักพรตยุทธการของเขาจะไปอยู่ที่ใดกันเล่า

ด้วยเหตุนี้เจ้ามู่เฉิงจึงตอบโต้ด้วยการส่งฝ่ามือฟาดออกไป พลังปราณที่สะสมอยู่ในฝ่ามือนั้นมากพอที่จะเป่าสมองพวกขั้นจิตยุทธการทั่วๆ ไปให้ปลิวกระจุยได้เลยทีเดียว

เขาส่งพลังนั้นออกจากฝ่ามือไปอย่างแผ่วเบาไร้ความใส่ใจ ราวกับกำลังจะตบแมลงวันหัวเขียว

ปู้ฟางมองการโจมตีของเจ้ามู่เฉิงด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขายกมีดทำครัวขึ้น ส่งพลังปราณของตนเองให้ไหลออกจากเส้นปราณเข้าไปในมีด ทันใดนั้นมีดทำครัวสีดำสนิทก็เปลี่ยนสภาพไป

แสงสว่างสีทองเรืองรองเจิดจ้าสาดกระจายออกจากมีดทำครัว แทบทำให้ประตูมายาสวรรค์ทั้งบริเวณจมอยู่ภายใต้ประกายระยิบระยับ จากนั้นเสียงมังกรคำรามก็แผดก้องออกมาจากมีดทำครัวในมือชายหนุ่ม

โฮก!

เสียงคำรามของมังกรดังออกจากมีดทำครัว ส่งให้ประตูมายาสวรรค์สั่นสะเทือนอยู่พักใหญ่ จากนั้นเสียงมังกรคำรามอีกเสียงก็ดังขึ้นตอบรับจากที่ไกล

หลังจากที่ผ่าพลังการโจมตีของเจ้ามู่เฉิงจนกระจุยไป ปู้ฟางก็พาดมีดทำครัวกระดูกมังกรทองเล่มยักษ์เอาไว้บนบ่า แล้วหันไปมองรอบกายด้วยสีหน้างุนงง… เหตุใดจึงมีเสียงมังกรคำรามสองครั้งกัน

สีหน้าของเจ้ามู่เฉิงเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินเสียงมังกรคำราม มีดทำครัวเล่มนั้นส่งความรู้สึกอันตรายเสียววาบเข้าสันหลังของเขา ยิ่งไปกว่านั้นเขายังรู้สึกได้ว่าอภิมหาวงแหวนปราณหายนะเศียรมังกรที่หมดฤทธิ์ไป… ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้งแล้ว!

มันจะกลับมาทำงานอีกครั้งได้อย่างไรกัน หรือว่าแก่นเวทที่แท้จริงไม่ใช่ร่างของจีฉางเฟิ่งกันนะ ในเมื่อเขาทำลายแก่นเวทไปแล้ว วงแหวนปราณก็ต้องสิ้นฤทธิ์แล้วสิ

ใบหน้าของเจ้ามู่เฉิงบูดเบี้ยวเหยเก เขาหันไปมองรอบกาย แล้วก็เห็นว่าแสงของวงแหวนปราณไม่ได้ส่องไปที่โลงศพของจีฉางเฟิ่งแต่อย่างใด แต่มันอยู่ที่… มีดทำครัวเล่มยักษ์ที่ชายหนุ่มตรงหน้าเขาถืออยู่ต่างหาก!

ปู้ฟางงุนงงเล็กน้อย ชายหนุ่มยังคงพาดมีดทำครัวกระดูกมังกรทองสีทองอร่ามไว้บนบ่า เขาไม่ได้ตกใจที่วงแหวนปราณทำงาน แต่กำลังงงที่จู่ๆ ระบบส่งข้อมูลให้ปรากฏขึ้นในจิตของเขาต่างหาก ดูเหมือนว่า… นี่จะเป็นวิธีการควบคุมวงแหวนปราณตรงหน้า

ชายหนุ่มดูประหลาดใจขณะกวาดตามองผู้คนรอบกาย ทันใดนั้นเขาก็พลันมีความคิดสุดบรรเจิดผุดขึ้นในศีรษะ ชายหนุ่มส่งจิตของตนเองไปตามที่วิธีการควบคุมบอกทันที

แสงที่สาดเรืองออกจากมีดทำครัวนั้นเจิดจ้ายิ่งกว่าเดิม พลังปราณรุ่งโรจน์พวยพุ่งออกจากใต้ฝ่าเท้าเขา จากนั้นร่างมายาของมังกรเทพก็เลื้อยขึ้นไปลอยตระหง่านอยู่บนฟากฟ้า มังกรตัวนี้แตกต่างจากมังกรของจีฉางเฟิ่ง ดูเหมือนว่ามังกรของปู้ฟางจะมีปัญญาปราดเปรื่องกว่า

มังกรเทพคำรามก้องขณะเลื้อยขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นชายหนุ่มก็บังคับให้มันก้มศีรษะลง ค่อยๆ จ้องเขม็งไปที่เจ้ามู่เฉิงอย่างช้าๆ

เมื่อชัยชนะอยู่ในมือ ปู้ฟางก็ฉีกยิ้มกว้างพร้อมเปลี่ยนท่าทางการถือมีดทำครัวกระดูกมังกรทอง เขาหันไปหาเจ้ามู่เฉิงแล้วพูดเสียงเรียบ “เอาล่ะ… ไหนบอกข้ามาหน่อยว่าเจ้ายังอยากแก้ปัญหาด้วยความรุนแรงอยู่หรือไม่”

……………………..