ตอนที่ 92-4 การกลับบ้านที่ยุ่งวุ่นวาย

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

เมื่อก่อนเมี่ยวเอ๋อร์ไปไหนมาไหนในบ้านสกุลอวิ๋นได้อย่างอิสระ การดักฟังตามมุมกำแพงจึงเป็นเรื่องที่นางถนัด อีกทั้งยังถ่ายทอดเรื่องที่ได้ยินมาได้อย่างออกรสออกชาติ ฟังจนอวิ๋นหว่านชิ่นต้องสูดหายใจเอาอากาศเย็นเข้าปอด

 

 

หลังจากออกเรือนได้ไม่กี่วัน อวิ๋นหว่านถงนั้น นอกจากต้องเผชิญกับอารมณ์รุนแรงของเว่ยอ๋องแล้ว ตัวเว่ยอ๋องเองยังมีรสนิยมรักเพศเดียวกันอีก โดยชายคนรักของเขาก็คือสาเหตุที่ทำให้อวิ๋นหว่านถงถูกตบ ซึ่งอีกไม่กี่วันต่อมา หลังบ้านของเว่ยอ๋องก็ชุลมุนวุ่นวาย แย่งชิงตำแหน่งคนโปรดกันไม่หยุดหย่อน

 

 

จะว่าไป การรักเพศเดียวกันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร โดยเฉพาะในเมืองหลวงซึ่งมีกลุ่มคนไม่น้อยที่มีรสนิยมทางเพศหลากหลาย ก็ยิ่งไม่ใช่เรื่องแปลก ชายสูงศักดิ์ที่ชุบเลี้ยงเด็กหนุ่มอย่างเปิดเผยก็มีมากขึ้น จนเป็นที่นิยมในระยะหนึ่งด้วยซ้ำ แต่ถ้าอ๋องรักเพศเดียวกัน แต่ยังคิดชิงอำนาจอยู่ ก็ต้องปกปิดผู้คน ได้ยินว่าจวนเว่ยอ๋องมีสาวงามจำนวนมาก ที่แท้ก็มีไว้ตบตาผู้คนนี่เอง

 

 

และเคยได้ยินอีกว่า ชายรักชายที่แน่ใจในตัวเองจริงๆ แล้วนั้น จะไม่แตะต้องผู้หญิง

 

 

จึงกลายเป็นว่า แม่หม้ายทำศึกกับผู้ชายเพื่อแย่งผู้ชาย มิน่าเล่า วันนี้พอกลับมาที่บ้าน หน้าตาของอวิ๋นหว่านถงถึงได้บูดบึ้งอย่างกับอะไรดี

 

 

 

 

มาดูที่เรือนชุนจี้กันบ้าง อวิ๋นหว่านถงใช่ว่าจะกลับมาที่บ้านได้ง่ายๆ จึงร้องไห้ฟูมฟายกับมารดาดุจเทเมล็ดถั่วลงในกระบอกไม่ไผ่ บอกว่าแท้จริงแล้วเว่ยอ๋องชอบผู้ชาย และในจวนก็ซ่อนชายคนรักไว้ไม่น้อย ตอนนี้กระทั่งผู้ชายคนหนึ่งก็ยังมีอำนาจเหนือตนเอง พอหยุดร้อง ก็เตือนมารดาว่า อย่าเที่ยวพูดออกไป หาไม่แล้วเว่ยอ๋องต้องฆ่าตนแน่

 

 

อนุฟางไหนเลยจะคิดว่าอ๋องห้าจะเป็นคนประเภทนี้ กลัวก็แต่ลูกสาวจะยิ่งถลำลึก พลอยเปิดศึกกับท่านอ๋องไปด้วย จึงปลอบประโลมชุดใหญ่ แล้วว่า

 

 

“ชอบผู้ชายแล้วไง ผู้ชายก็เป็นนังจิ้งจอกได้เหมือนกัน ที่ควรข่ม เราก็ต้องข่ม ที่ควรทำลาย เราก็ต้องทำลาย! แสดงอำนาจของชายารองให้เต็มที่! อย่างไรการสืบทอดวงศ์ตระกูลก็ยังต้องพึ่งผู้หญิงอยู่ดี ต่อให้จิ้งจอกชายเป็นที่รักใคร่เพียงใด มีความสามารถแค่ไหน ก็บอกไปเลยว่า แน่จริงมีทายาทให้เว่ยอ๋องสักคนสิ ทำได้ไหม สุดท้ายก็ต้องพึ่งเจ้านั่นล่ะ”

 

 

พออวิ๋นหว่านถงได้ยินคำชี้แนะเช่นนี้ ก็กัดฟันกรอดๆ โดยไม่รู้ตัว ตั้งแต่คืนที่นางถูกท่านอ๋องตบ เยี่ยหนานเฟิงนั่นก็ยิ่งได้ใจ หลายวันมานี้ ตอนเดินสวนกันหลังจวน ก็เดินกรีดกรายโดยไม่แม้แต่จะทำความเคารพ เหลือบมองตนแล้วเชิดหน้าเดิน ตอนนี้พอได้ยินมารดาเตือนสติและให้กำลังใจ ก็พลันมีความหวังขึ้นมา คณิกาชายคนหนึ่ง คิดจะสู้กับตนงั้นรึ

 

 

ขณะแม่ลูกกำลังพูดคุยกันนั้น ยวนยางก็กุลีกุจอเข้ามา หน้าตาตื่นเล็กน้อย ก่อนกระซิบข้างหูชายารอง

 

 

พออวิ๋นหว่านถงได้ยิน ก็ลุกพรวดขึ้น กำมือแน่น

 

 

“ให้มันได้อย่างนี้สิ! พวกชั้นต่ำไร้ยางอาย…”

 

 

อนุฟางเห็นลูกสาวโกรธจนทรวงอกกระเพื่อมขึ้นลง ก็รีบดึงนางให้นั่งลง “เกิดอะไรขึ้นอีกล่ะ”

 

 

สีหน้าอวิ๋นหว่านถงกำลังจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำอยู่รอมร่อ นางโกรธจนพูดไม่ออก ยวนยางจึงได้แต่เล่าเสียงเบาให้อนุฟางฟัง

 

 

“…วันนี้ตอนที่ชายารองกลับมาเยี่ยมบ้าน เยี่ยหนานเฟิงเดินเล่นอยู่ในสวนกับท่านอ๋อง ก็บ่นกับท่านอ๋องว่า อากาศเย็นทำให้ดอกไม้ในสวนร่วงโรยไปหมด บรรยากาศจึงดูเงียบเหงา แต่พอเห็นสวนดอกไม้ในเรือนของชายารองเราเบ่งบาน ก็หันไปพูดกับท่านอ๋องสองสามคำ ท่านอ๋องฟังแล้ว ก็บอกให้คนสวนขนย้ายต้นไม้ที่อยู่ในเรือนของชายารองทั้งหมดออกมา อาทินาร์ซิสซัส ล่าเหมย โป๊ยเซียน แล้วเอาไปปลูกที่สวนกลาง…”

 

 

อนุฟางฟังจบ ยังไม่ทันพูดอะไร อวิ๋นหว่านถงก็โมโหจนแทบกระอักโลหิต

 

 

“ตอนนี้ท่านแม่ก็เห็นแล้ว! พอข้าไม่อยู่ นังแพศยานั่นก็เหมือนปลากระดี่ได้น้ำ! เอาเถอะ ข้ากลับไปนั่งเฝ้าดีกว่า ไม่อยากให้นึกว่าข่มเหงกันได้ง่ายๆ เผื่อขนของออกจากเรือนข้าไปหมด!”

 

 

ว่าแล้วก็สั่งยวนยางไปบอกคนในจวนอ๋องให้เตรียมรถม้า

 

 

อนุฟางก็พลอยถูกชายคนโปรดของเว่ยอ๋องทำให้โมโหจนแทบสำลักไปด้วย จึงได้แต่เดินออกไปเป็นเพื่อนลูกสาวก่อน

 

 

 

 

ไม่ไกลจากเรือนชุนจี้ อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นแม่ลูกแซ่ฟางเดินหัวเสียออกมา สีหน้าอวิ๋นหว่านถงบัดเดี๋ยวม่วง บัดเดี๋ยวแดง คล้ายกำลังจะกลับจวน จึงพอจะเดาอะไรบางอย่างได้ว่า ชีวิตหลังแต่งงานของน้องสาม ไม่น่าจะสงบสุข จากนิสัยของอนุฟาง ต้องสอนวิธีจับสามีให้กับนางแน่ แต่ไม่รู้ว่าได้สอนเคล็ดลับการทำลายจิ้งจอกชายหรือเปล่า จึงอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าแล้วยิ้ม ได้แต่หันมองเมี่ยวเอ๋อร์กับชูซย่า

 

 

“ไปเหอะ ไปหน้าประตูใหญ่ น้อมส่งชายารอง”

 

 

คนบ้านสกุลอวิ๋นเห็นอวิ๋นหว่านถงรีบจากไป แม้แปลกใจ แต่ก็ไม่กล้าถามอะไร อวิ๋นเสวียนฉั่งก็ได้แต่เดินนำทุกคน ไปยืนส่งลูกสาวคนเล็กออกจากบ้านไปด้วยสายตา

 

 

หลังงานเลี้ยงรับกลับบ้านผ่านพ้น เวลาสองสามวันก็ผ่านตาม

 

 

น้ำแกงเขากวางอ่อนถูกดื่มจนหมดเกลี้ยง ซึ่งก็เป็นไปตามที่ใครบางคนกะเกณฑ์ไว้ บังคับให้นางดื่มตามสูตรยา วันนี้เมี่ยวเอ๋อร์จึงฉวยโอกาสตอนออกไปซื้อของ แวะนำน้ำแกงโถใหม่จากร้านเต๋อซิ่งกลับมาเต็มโถ  

 

 

เมื่อพูดถึงเขากวางอ่อน แม้บำรุงร่างกายได้ดี แต่อย่างไรก็เป็นสมุนไพรโบราณ ต่อให้ทำออกมาในรูปแบบอาหารเสริม ก็กำจัดกลิ่นคาวได้ไม่หมด ทานแค่โถเดียวยังดี พอถึงโถที่สอง ก็ชักจะทานไม่ลง มักรู้สึกคลื่นไส้ เหมือนน้ำย่อยในกระเพราะถูกขับออกไปด้วย

 

 

พอเห็นน้ำแกงเต็มโถ อวิ๋นหว่านชิ่นก็อยากจะอาเจียนไปโดยปริยาย จึงเรอออกมาเต็มๆ วันนี้ถ้านึกถึงคนสั่งน้ำแกง บนศีรษะก็คงมีเขากวางงอกออกมาทันที

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์เห็นอวิ๋นหว่านชิ่นผลักออก ก็รีบว่า “คนเขากำชับนักกำชับหนาว่า ให้บ่าวเฝ้าดูจนคุณหนูใหญ่ทานจนหมด จะยอมแพ้กลางคันไม่ได้”

 

 

ว่าแล้วก็ตักออกมาเต็มชาม จ่อเข้าที่ปากอวิ๋นหว่านชิ่น จนเกือบจะเปิดปาก เทเข้าไปได้อยู่แล้ว

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์นี่ รับสินน้ำใจจากเขามาเท่าไหร่กันแน่

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นแก่ที่ว่า พอทานลงไปชามหนึ่ง มือเท้าก็ร้อนขึ้นมาจริงๆ ได้ผลอยู่ จึงรับช้อนตักน้ำแกงมา ฝืนใจทานส่วนของวันนี้ลงไป

 

 

เพิ่งเช็ดปากเรียบร้อย เสียงฝีเท้ารีบร้อนของชูซย่าก็ดังขึ้น นางเลิกผ้าม่านก้าวเข้ามา ขมวดคิ้วพลางว่า

 

 

“คุณหนูใหญ่ คุณชายรองมู่หรงมา ตอนนี้กำลังนั่งคุยกับนายท่านอยู่ในห้องรับแขกเจ้าค่ะ”

 

 

เดิมทีกลิ่นคาวของน้ำแกงเขากวางอ่อนที่อยู่ในกระเพาะและยังไม่ได้ย่อย ก็ทำให้อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกคลื่นไส้ จนต้องลูบท้องไปมาแล้ว พอได้ยินประโยคนี้ นางจึงเกือบจะอาเจียนออกมา

 

 

“เขามาทำอะไร”