ชูซย่ากัดกรามแน่น จนเห็นอารมณ์โกรธบนใบหน้ารูปไข่
“บ่าวอยู่หน้าประตูได้ยินสองสามคำ คล้ายคุณชายรองนั่นกำลังพูดเรื่องขอหมั้นหมายใหม่ คืนความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองตระกูล อะไรทำนองนี้…”
ผู้หญิงในบ้านตอนนี้เหลืออวิ๋นหว่านชิ่นเพียงคนเดียว จะหมั้นหมายกับใครได้อีก
“ถุย! มู่หรงไท่นี่ไร้ยางอายจริงๆ!” เมี่ยวเอ๋อร์ด่าออกมาตรงๆ “ต้องเป็นเพราะเห็นคุณหนูเข้าวังไปครั้งหนึ่ง แล้วเป็นที่ชื่นชอบของไทเฮา จนโด่งดังขึ้นมา อีกทั้งนายท่านก็กำลังจะได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้ากรมกลาโหม!”
อวิ๋นหว่านชิ่นคิดไม่ถึงว่ามู่หรงไท่จะรื้อฟื้นเรื่องนี้ขึ้นมาใหม่ แล้วยังตามตื้อมาถึงบ้านอีก การแต่งงานก็ถูกยกเลิกไปแล้ว บ้านสกุลอวิ๋นก็ให้ลูกสาวคนหนึ่งไปแล้ว ยังจะทะเยอทะยานอยากไม่เลิก เมื่อกล้าคิดอุกอาจขนาดนี้ นางจึงถกกระโปรงขึ้น พาสาวใช้ทั้งสองตรงไปยังห้องรับแขก
หน้าประตูห้องรับแขก เมี่ยวเอ๋อร์ไล่บ่าวเฝ้าประตูไป ขณะที่อวิ๋นหว่านชิ่นยืนหันข้างอยู่ริมหน้าต่างบานหนึ่ง แอบดูความเคลื่อนไหวด้านใน
กลางห้องมีลังไม้แดงสองลังวางเปิดอ้าซ่าอยู่ ลังหนึ่งเหมือนจะเป็นม้วนภาพเขียนที่มัดไว้อย่างแน่นหนา อีกลังเป็นเครื่องประดับหยก
มู่หรงไท่ไม่ทำอะไรที่เป็นไปไม่ได้เป็นอันขาด มาคราวนี้ ยอมลงทุนลงแรงไม่น้อย
หลังงานเลี้ยงสังสรรค์ในวัง เรื่องของเว่ยอ๋องแดง แต่กลับทำร้ายฉินอ๋องไม่ได้ ซุนจวิ้นอ๋องก็ถูกกักบริเวณอยู่ในจวน โดยมีคนของสำนักพระราชวังคอยเฝ้าดู มู่หรงไท่กลัวว่าเว่ยอ๋องจะส่งคนมาหาตน แล้วถูกคนของสำนักพระราชวังจับได้ จึงอ้างว่าตนกินดื่มในงานเลี้ยงสังสรรค์มากจนท้องเสีย นอนซมอยู่แต่ในห้อง ไม่มีแรงออกจากบ้าน โดยให้แต่ฮว่าซั่นคอยรับใช้อยู่ข้างกาย รอจนพายุลูกนี้ผ่านพ้นไป ค่อยวางใจลง
ไม่มีใครรู้ว่า วันเวลาที่อยู่ในบ้านนั้น ในหัวสมองของเขามีแต่อากัปกิริยาท่าทางของอวิ๋นหว่านชิ่นขณะอยู่ในงานเลี้ยง รวมทั้งภาพเพื่อนพ้องน้องพี่ผู้สูงศักดิ์ที่รายล้อมเข้ามา หยอกเย้าเขาอย่างสนุกสนานว่า เขายังไม่ทันวางเดิมพัน ก็ทิ้งหมากเด็ดไปก่อน เหลือแต่หมากที่ไร้ประโยชน์เอาไว้
นึกถึงทีไร มู่หรงไท่ก็แค้นใจจนต้องเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันทุกที
เคราะห์ซ้ำกรรมซัด พี่ชายของเขามู่หรงอัน กลับจากชายแดนทางตอนเหนือ ครั้งนี้พี่ชายสามารถปกป้องเมืองจากการรุกรานของชนเผ่าเหมิงหนู สร้างผลงานให้กับกองทัพ จึงได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองในวัง และได้รับคำชมจากหนิงซีฮ่องเต้ พร้อมพระราชทานกล่องผลไม้เก้าเก้าให้
ตำแหน่งผู้สืบทอดหรือซื่อจื่อที่สกุลมู่หรงว่างเว้นไว้เพราะยังตัดสินใจไม่ได้ ถือเป็นกรณีพิเศษที่ไม่เป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติ ที่เป็นเช่นนี้ สืบเนื่องจากทายาทรุ่นที่สองของสกุลมู่หรงได้เสียชีวิตลงพร้อมกัน บวกกับสิงฮูหยินลำเอียงไปทางฝั่งของสะใภ้รอง ซึ่งมีสายสัมพันธ์กับราชวงศ์ จึงถ่วงเวลาไว้ เพราะอยากให้มู่หรงไท่ได้รับโอกาสนี้
แต่พอมู่หรงอันมีผลงาน และได้รับคำชมจากฮ่องเต้ ตำแหน่งผู้สืบทอดจึงเปลี่ยนขั้วทันที มู่หรงไท่คิด
หน้าคิดหลัง ก็ไม่อยากพลาดโอกาสนี้เช่นกัน จึงรีบไปหาท่านย่าสิง เสนอขอหมั้นกับสกุลอวิ๋นใหม่ แต่งคนสกุลอวิ๋นเป็นภรรยา แต่สิงฮูหยินกลับไม่เห็นด้วย เพราะการหมั้นปากเปล่าก่อนหน้านี้ถูกยกเลิกไปแล้ว ถ้าไปขอหมั้นใหม่ มิเป็นการตบปากตัวเองหรอกรึ ท่านโหวอาวุโสไม่มีทางรับปากแน่ พูดก็พูด เหตุใดต้องผูกติดอยู่แต่กับลูกสาวสกุลอวิ๋นด้วย
มู่หรงไท่เพียงตอบว่า ลูกสาวคนโตของสกุลอวิ๋นตอนนี้กำลังเป็นกุลสตรีที่โด่งดังในเมืองหลวง ครั้งแรกที่เข้าวัง ก็เป็นที่ชื่นชอบของไทเฮาแล้ว ถึงขนาดให้ค้างในวังด้วยหนึ่งคืน ดึงดูดให้ลูกท่านหลานเธอตามจีบกันเป็นพรวน ซึ่งสกุลมู่หรงอาจอาศัยรัศมีของนาง สร้างชื่อเสียงให้กลับคืนมา
และเนื่องจากสิงฮูหยินลำเอียงจนหน้ามืดตามัว เอ็นดูมู่หรงไท่มาตลอด จึงทนการรบเร้าไม่ไหว อีกทั้งลูกสาวคนโตของสกุลอวิ๋นในตอนนี้ก็ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้วจริงๆ ฮ่องเต้ได้ชื่อว่ากตัญญูต่อพระมารดาเป็นที่หนึ่ง เมื่อนังหนูคนนี้ทำให้ไทเฮาชื่นชอบได้ ก็น่าจะสามารถพูดกับไทเฮาคำสองคำ คิดว่าน่าจะมีน้ำหนักพอที่จะทำให้มู่หรงไท่ได้ตำแหน่งซื่อจื่อไป เพื่ออนาตคของหลานรัก นางจึงรีบไปหารือกับสามี
ท่านโหวอาวุโสมู่หรงเคยมีประสบการณ์ถูกบีบให้รับอวิ๋นหว่านเฟยเข้าจวนโหวมาก่อน จึงไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กับอวิ๋นเสวียนฉั่งอีก แม้มีปฏิสัมพันธ์กันบ้างระหว่างทำงานในราชสำนัก ก็เป็นการพูดคุยแบบผ่านๆ ตอนนี้พอได้ยินฮูหยินบอกว่าอาไท่ยังตัดใจจากลูกสาวคนโตของบ้านอวิ๋นไม่ได้ อยากจะขอนางแต่งงานอีกครั้ง ก็ปฏิเสธทันทีที่ได้ยิน
ดีที่สองย่าหลานมีความสามารถในการเจรจาพาที เกลี้ยกล่อมจนท่านโหวอาวุโสจนปัญญา ด้วยเห็นว่า ในราชสำนักนั้น แต่ไหนแต่ไรมามีเพียงผลประโยชน์ที่คงอยู่ตลอดกาล ไม่มีศัตรูถาวร และพอคิดว่าอวิ๋นเสวียนฉั่งกำลังจะได้เลื่อนตำแหน่ง ลูกสาวคนโตก็มีความสามารถ ส่วนอวิ๋นหว่านเฟยก็ถูกทิ้งให้อยู่นอกจวน ซึ่งตนหายโกรธไปนานแล้ว จึงไม่ขัดขวางอีก เพียงบอกให้มู่หรงไท่ไปดูลาดเลาก่อนค่อยว่ากัน
มู่หรงไท่ดีใจมากที่ท่านปู่โอนอ่อนผ่อนตามและไม่ว่าอะไร บวกกับมีท่านย่าคอยหนุนหลัง วันนี้จึงให้บ่าวในบ้านแบกของขวัญชิ้นใหญ่มาที่บ้านสกุลอวิ๋น
ตอนนี้ อวิ๋นเสวียนฉั่งนั่งอยู่ด้านบน เหลือบมองของขวัญสองลังใหญ่ พลางคิด ตั้งแต่เฟยเอ๋อร์แต่งเข้าจวนโหว และถูกทิ้งให้อยู่นอกจวนโหว เขาก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กับคนสกุลมู่หรงอีก
ซึ่งจริงๆ แล้ว ปากของอวิ๋นเสวียนฉั่งด่าทอคนสกุลมู่หรงอย่างสาดเสียเทเสียไปเช่นนั้นเอง ไฉนจะไม่หวังคืนดีกับจวนกุยเต๋อโหวอีกครั้งเล่า เพราะอย่างไรพวกเขาก็เป็นตระกูลที่หยั่งรากลึกพอสมควร
เฟยเอ๋อร์ไม่เอาไหนเอง อนาคตจึงถูกกำหนดให้เป็นเช่นนั้น ส่วนตน เพราะลูกสาวเพียงคนเดียว ถึงได้บาดหมางกับจวนโหว คิดแล้วก็ไม่คุ้ม วันนี้พอเห็นมู่หรงไท่ส่งเทียบมาบอก และมาเยี่ยมเยียนถึงบ้าน แม้ในใจอวิ๋นเสวียนฉั่งยังโกรธอยู่บ้าง แต่ก็บอกให้บ่าวในบ้านไปเชิญเขาเข้ามา และยิ่งเห็นเขานำของขวัญชิ้นใหญ่มาฝาก อีกทั้งยังเอ่ยปากขอโทษขอโพยเรื่องเฟยเอ๋อร์เป็นอันดับแรก สีหน้าก็ดีขึ้นมาก กลับมองออกว่า คุณชายรองนี่ต้องมีเรื่องอะไรแน่ ถึงได้มาหาตนถึงบ้าน
ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม มู่หรงไท่ก็บอกจุดประสงค์การมาว่า จะมาขอดองกับบ้านสกุลอวิ๋นใหม่
อวิ๋นหว่านชิ่นแนบหูเข้ากับหน้าต่าง จึงได้ยินเสียงแดกดันของอวิ๋นเสวียนฉั่งลอยมา
“ดอง? ทำไม ครั้งนี้จะให้ลูกสาวข้าไปเป็นอนุคนโปรดหรืออนุคนรองอีกล่ะ”
“ท่านลุงอวิ๋นก็พูดไป”
มู่หรงไท่กลับมาเรียกขานแบบเดิม ก่อนยกมือขึ้นคารวะ ตาสวยเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“เรื่องของเฟยเอ๋อร์ ข้าเพียงทำตามความต้องการของท่านปู่ ความต้องการของผู้อาวุโส ข้าในฐานะหลาน ขัดขืนไม่ได้หรอก! ท่านลุงเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่ใจกว้าง ขออย่าได้ถือสาเรื่องที่ผ่านมา! อย่างไรท่านก็เห็นแล้วว่า การมาของข้าในวันนี้ เพียงพอที่จะแสดงความจริงใจต่อบ้านสกุลอวิ๋น ข้าไม่ลืมชิ่นเอ๋อร์เสมอมา ถ้าวันนี้ท่านตอบรับ จวนโหวก็จะรีบเตรียมดำเนินเรื่องขอแต่งงานทันที ให้การแต่งงานครั้งนี้ เป็นการฟื้นสัมพันธ์อันดีของสกุลมู่หรงกับสกุลอวิ๋นให้กลับคืนมาอีกครั้ง ต่อไปสองตระกูลจะได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ก้าวไกลไปด้วยกัน มีความสุขกันถ้วนหน้า!”
อวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นว่าที่มู่หรงไท่มีท่าทีนอบน้อมเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะท่านโหวอาวุโสเปิดทางสะดวกให้ เจ้าหมอนี่ไม่มีทางมาขอลูกสาวตนที่บ้านหรอก ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกทะนงตน ตอนนี้เป็นจวนโหวที่เป็นฝ่ายมาขอร้อง เขาจะรีบร้อนไปทำไม จึงขมวดคิ้ว พลางว่า
“ไม่ปิดบังคุณชายรอง หลังจากงานเลี้ยงสังสรรค์ในวังเป็นต้นมา ลูกชายของเพื่อนๆ ขุนนางที่ยังไม่ได้แต่งฮูหยินหลายคน ก็มาถามแต่เรื่องของชิ่นเอ๋อร์ จึงไม่ค่อยจะดีนัก ถ้าข้าด่วนตัดสินใจ แล้วเกิดไปล่วงเกินใครเขาเข้า ค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า”
ความหมายก็คือให้ตนเองต่อแถว? มู่หรงไท่รู้ว่าอวิ๋นเสวียนฉั่งกำลังปั่นค่าสินสอด ในเมื่อลูกสาวมีสถานะสูงขึ้นมา ราคาก็ย่อมไม่เหมือนเมื่อก่อนอีก จึงกัดฟัน แต่ยังไม่ทันได้พูด หน้าประตูห้องรับแขกก็มีเสียงละมุนละไมดังมา
“ท่านพี่”