การปรากฏขึ้นมาของแผ่นปฐพีอันกว้างใหญ่บนท้องฟ้าทำให้ฟู่ยื่อลัวสั่นเทิ้มอย่างหนักจนกระทั่งเขาลืมจะควบคุมทักษะเทวะ ในค่ายทัพหลวงของเหล่ามาร ไพร่พลมารทั้งหลายก็เงยหน้าขึ้นมองภาพสิ่งที่ปรากฏบนฟากฟ้าด้วยสีหน้าว่างเปล่า
ไม่เพียงแค่พวกเขาเท่านั้นที่สะท้านหวั่นไหวจากภาพที่เห็น แทบจะทุกชีวิตในสวรรค์ไท่หวงทั้งหมด ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นมนุษย์หรือมาร เป็นทาสหรือเป็นเทพ หรือแม้กระทั่งสัตว์พิสดารและแมลงทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในขุนเขาและมหาสมุทร พวกเขาทั้งหมดล้วนแต่เงยศีรษะขึ้นมาในวินาทีนี้เพื่อมองไปยังดาวเคราะห์ดวงยักษ์ที่ถูกกดลงมาจากฟากฟ้า พร้อมๆ กับแผ่นปฐพีอันยิ่งใหญ่ไร้ประมาณแผ่นนั้น
มันเป็นปรากฏการณ์ที่น่าแตกตื่นจนไม่อาจบรรยายได้ด้วยคำพูด ภาพอันมหัศจรรย์พันลึกที่พวกเขาและพวกมันไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิต!
ดวงเคราะห์ดวงมหึมาทั้งหลายถูกกดลงมาต่ำราวกับว่าแค่พวกเขายื่นมือออกไปก็จะคว้าจับได้ ภูเขาบนดินแดนนั้นเหมือนกับหินงอกหินย้อยในถ้ำ สันและยอดอันคมแกร่งห้อยลงมา ขณะที่มหาสมุทรก็ดูราวกับไพลินสีน้ำเงิน
ที่น่าแปลกกว่านั้นก็คือ แม้ว่ามันจะลอยอยู่เหนือหัวพวกเขา แต่น้ำในมหาสมุทรก็ไม่ตกลงมาและร่วงใส่สวรรค์ไท่หวง
ร่างของฟู่ยื่อลัวยังคงสั่นเทิ้มอย่างต่อเนื่อง เขาได้ลืมเรื่องที่จะจับตัวคนแล่เนื้อ ฉินมู่ และพรรคพวกทั้งหลายโดยสิ้นเชิง
ฉินมู่มองไปที่มัน เพ่งสายตาไปยังลำแสงที่เชื่อมแผ่นดินนั้นเข้ากับสวรรค์ไท่หวง ลำแสงนั้นมาจากแท่นสังเวยขนาดใหญ่มหึมา อันน่าตื่นตระหนกพอๆ กับขุนเขา เพียงแค่เงยหน้ามองดูหน่อยก็จะเห็นแท่นสังเวยนั้นได้อย่างชัดเจน
ฉินมู่ร้องออกมา “นี่คือ…สวรรค์หลัวฝู!”
เสียงของเขาทำลายความแตกตื่นและความเงียบงันของสภาพโดยรอบ หัวใจของคนแล่เนื้อ ยายเฒ่าซี และคนอื่นๆ สั่นสะท้าน เฒ่าเป๋รีบถามไถ่ “มู่เอ๋อ สวรรค์หลัวฝูนั่นมันคือสถานที่ผีสางอะไร”
“เป็นโลกมิติของเผ่ามาร อันยังเป็นโลกมิติที่พวกมารในสวรรค์ไท่หวงมาจากที่นั่น”
ฉินมู่นำเอาธงเคลื่อนย้ายระยะไกลออกมาและรีบปักมันไปรอบๆ “ข้าเคยเพลี่ยงพล้ำให้แก่วิชาเนตรของฟู่ยื่อลัวและถูกเขาจับตัวไปครั้งหนึ่ง ในมายาภาพของเขา ข้าได้กลายเป็นเขาและเห็นสวรรค์หลัวฝู โลกมิติแห่งนั้นนับว่าถูกทำลายล้างไปแทบจะสิ้นเชิงแล้ว”
“จู่ๆ เผ่ามารก็ลากสวรรค์หลัวฝูเข้ามา พวกมันคิดจะทำอะไรกัน”
ยายเฒ่าซีค่อนข้างพิศวงและนางกล่าวด้วยเสียงเบา “หรือว่าพวกมันคิดจะให้เผ่ามารทั้งหมดเข้ามาในสวรรค์ไท่หวง”
สายตาของเฒ่าบอดลึกล้ำและเขาก็ส่ายหัว “ยายเฒ่า เจ้ามองไม่เห็นรายละเอียดบนสวรรค์หลัวฝู สวรรค์หลัวฝูนี้มิได้ถูกเคลื่อนย้ายมาโดยเผ่ามาร แต่ยังมีเทพเจ้ามากกว่ายี่สิบตนอยู่บนแท่นสังเวยต่างๆ ดังนั้นมันน่าจะเป็นพฤติการณ์ของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่ได้เคลื่อนย้ายสวรรค์หลัวฝูมายังสวรรค์ไท่หวง แต่พวกเขากำลัง–”
เสียงของเขาตื่นเต้นขึ้นมาขณะที่กล่าวให้จบประโยค
“พวกเขากำลังบูชายัญโลหิตสวรรค์หลัวฝู!”
“บูชายัญโลหิตสวรรค์หลัวฝู?”
ทุกๆ คนตกตะลึง ขณะที่พวกเขากำลังจะเพ่งมองให้ถนัดตากว่าเดิม ฉินมู่ก็กระตุ้นการทำงานของธงเคลื่อนย้ายระยะไกล ธงใหญ่หมุนสะบัด และส่งพวกเขาเข้าไปในเมืองเทพยดานั้น
ในเวลาเดียวกับที่ฉินมู่ช่วงใช้ธงเคลื่อนย้ายระยะไกล ทัพหลวงของเผ่ามารก็เกิดความปั่นป่วน เมื่อมารเที่ยงแท้ตนหนึ่งถูกลอบโจมตีอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว!
มังกรแท้พวยพุ่งออกมาจากสะเอวของเด็กหนุ่ม และโจมตีเมื่อทุกๆ คนเงยหน้ามองดูท้องฟ้าด้วยความตะลึงงัน มังกรเทพยดานั้นได้ทำให้มารเที่ยงแท้บาดเจ็บสาหัส ในเวลาเดียวกันนั้น การเคลื่อนไหวของ ‘เด็กหนุ่มเผ่ามาร’ ก็แปลกประหลาด–เขาก้าวเข้าไปข้างหลังมารเที่ยงแท้ตนนั้นราวกับเหินบิน
ทักษะเทวะของเขาก็ยิ่งพิสดารพันลึก หลังจากการโจมตีหนึ่งชุด มารเที่ยงแท้นั้นก็ถูกสับออกเป็นแปดส่วน
ค่ายหลวงตกลงไปในความโกลาหลและสับสน ไม่ทันที่มารเทวะทั้งหลายจะตั้งตัวติด ‘เด็กหนุ่มเผ่ามาร’ ผู้นี้ก็นำหีบออกมา อันอ้าฝาหีบขึ้นมาเองและกลืนเอามารเที่ยงแท้ที่ถูกสับเข้าไป
เด็กหนุ่มมารยกหีบ เหยียบขึ้นไปบนหลังมังกรเทพยดา เหินเหาะขึ้นสู่ท้องฟ้า ข้างหลังเขา มารเทวะทั้งหลายพิโรธโกรธเกรี้ยวและไล่ตามเขาทันที!
ในเวลาเดียวกันนั้น แสงในเมืองเทพยดาก็สั่นสะเทือน เมื่อพยุหะเคลื่อนย้ายระยะไกลปรากฏ ไม่ทันที่ทุกคนจะได้สติ ฉินมู่ก็ขับเคลื่อนธงเคลื่อนย้ายระยะไกลอีกครั้ง แสงสาดส่องอีกหนหนึ่ง ก่อนที่แสงเดิมจะทันดับไป ส่งทุกคนออกไปจากเมือง
เขาขับเคลื่อนการเคลื่อนย้ายระยะไกลอย่างต่อเนื่อง และทำซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกระทั่งพวกเขาหลบหนีมาได้ไกลสี่ห้าร้อยลี้
พลังวัตรของฉินมู่เหือดแห้ง เขาสะบัดแขนเสื้อเก็บธงเคลื่อนย้ายระยะไกลกลับ และกล่าว “ข้าเคลื่อนย้ายมาได้ไกลเพียงเท่านี้”
ฮู่หลิงเอ๋อกล่าว “ข้ารู้ มันเป็นเพราะว่ามังกรอ้วนตัวหนักเกินไป!”
กิเลนมังกรก้มหน้างุดด้วยความอับอาย
จากนั้นทุกคนจึงรีบมุ่งหน้าไปทางเมืองหลี ขณะที่พวกเขาเร่งเดินทางไป สายตาของพวกเขาก็จับจ้องอยู่บนท้องฟ้าตลอดเวลา แต่ว่าก็ไม่อาจมองเห็นอะไรได้ชัดเจน
แต่กระนั้น ในสายตาของเฒ่าบอด เขาสามารถมองเห็นภูมิประเทศของสวรรค์หลัวฝู ทะเลสาบและมหาสมุทรที่นั่นล้วนแต่พังพินาศ ภูเขาพังทลายและทะเลก็เหือดแห้ง แม่น้ำทั้งหลายในสวรรค์หลัวฝูเหมือนกับงูที่บิดเบี้ยว ดิ้นไปมากลางอากาศ!
ภาพที่เห็นนั้นชวนสยดสยอง!
การบูชายัญโลหิตด้วยโลกมิติทั้งใบทำให้ทุกคนรู้สึกว่าทั้งน่าตื่นตาและน่าเศร้าสลด
ในตอนนั้นเอง พวกเขาก็ได้ยินเสียงกู่ร้องยาวนานก้องมาบนอากาศ เหมือนกับเสียงร้องอันเศร้าสร้อยของวาฬในมหาสมุทร มันเป็นเสียงที่ลากยาวอย่างพิสดาร ราวกับเสียงโหยหวนของโลกมิติที่กำลังจะตาย แม้ว่าอารมณ์ของมนุษย์จะไม่อาจสัมผัสได้จากเสียงนั้น แต่ผู้คนที่ได้ฟังก็อดไม่ได้ที่จะรื้นน้ำตา
แม้ว่ามันจะเป็นโลกของเผ่ามาร แต่ทุกๆ โลกก็เป็นมารดรของสรรพชีวิตอันถือกำเนิดบนนั้น เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร่ำไห้ของมารดาที่กำลังจะตายของพวกตน ผู้ที่รับฟังมันย่อมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเช่นเดียวกัน
“สวรรค์หลัวฝูไม่ได้ถูกลากให้เข้ามาใกล้”
ยายเฒ่าซีพลันตระหนักขึ้นมาทันที ขณะที่นางวิ่งไปยังเมืองหลีพร้อมกับทุกๆ คน นางกล่าวด้วยเสียงเบา “สวรรค์หลัวฝูยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม แต่จริงๆ แล้วเป็นพลานุภาพของการบูชายัญโลหิตต่างหาก–การเชื่อมต่อช่องทางระหว่างสวรรค์หลัวฝูกับสวรรค์ไท่หวง–ที่ทำให้สวรรค์หลัวฝูเหมือนกับลอยอยู่เหนือหัวพวกเรา”
…
ฟู่ยื่อลัวหัวใจเย็นเฉียบ เขาเงยศีรษะมองไปที่สวรรค์หลัวฝูอันถนอมกล่อมเลี้ยงเขาให้เติบใหญ่ แม้ว่าเมื่อฉินมู่หลบหนีไป และแม้ว่าเมื่อซิงอ้านได้ก่อความวุ่นวายในค่ายทัพหลักของเผ่ามาร เขาก็ไม่มีกะจิตกะใจเหลียวไปดูเลยสักนิด
สวรรค์หลัวฝูแห่งเผ่ามารกำลังถูกแปรสภาพให้เป็นพลังงานบริสุทธิ์ในการสังเวยโลหิตอันถ่ายเทเข้ามายังสวรรค์ไท่หวง
นักบุญคนตัดไม้ทำสำเร็จ
เขานั้นชาญฉลาดอย่างเหนือธรรมดา ดังนั้นเขาย่อมรู้ว่านี่คือฝีมือใคร
หลังจากนักบุญคนตัดไม้รับคำท้าพนันในเมืองหลี เขาก็ได้หายตัวไปเป็นเวลานาน และไม่ปรากฏตัวขึ้นมาอีกจนกระทั่งบัดนี้ เขาคงจะวางแผนที่จะทำเรื่องใหญ่อันร้ายแรง เข้าไปในสวรรค์หลัวฝู–รังเก่าของเผ่ามาร–เพื่อจัดตั้งแท่นสังเวยทั้งหลายอันต้องใช้ในการบูชายัญโลหิตสวรรค์หลัวฝู!
ในขณะนี้ นักบุญคนตัดไม้ได้วิธีการในการบูชายัญสวรรค์หลัวฝูแล้ว!
ลู่หลีเคยชินกับภาพดังกล่าวมานาน ในเมื่อนางเคยเห็นโลกมากมายต่อหลายโลกถูกทำลายล้างต่อหน้าต่อตา มันมีโลกมิติมากมายที่ถูกทำลายในแดนใต้พิภพ และก่อขึ้นมาเป็นเขาเก้าบิดของภูติบดี ดวงวิญญาณแตกหักจำนวนมากร้องคร่ำครวญอยู่ในความมืดอันดิบดำ
“จับตัวไอ้เด็กแซ่ฉินนั้นสำคัญกว่า!”
นางตัดสินใจทันที และพุ่งตรงไปยังทิศทางที่ฉินมู่และคนอื่นๆ ได้เคลื่อนย้ายระยะไกลไป ในตอนนั้นเอง สวรรค์หลัวฝู–อันกำลังจมลงไปในหายนะ–ก็พลันหยุดชะงักเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงหนึ่งดังมาจากต่างโลก “ฟู่ยื่อลัว เจ้าต้องการจะสงบศึกหรือว่าต้องการให้สวรรค์หลัวฝูถูกทำลาย”
ลู่หลีรู้ทันทีว่าสถานการณ์ย่ำแย่เมื่อนางหันศีรษะไปมองยังฟู่ยื่อลัว ใบหน้าทั้งสามของฟู่ยื่อลัวแข็งทื่อ ขณะที่หนึ่งในสามหน้านั้นมองขึ้นไปยังสวรรค์หลัวฝู เสียงของฟู่ยื่อลัวดังกึกก้อง “ครูบาสวรรค์ เจ้าและข้าจะลงนามสงบศึก! พวกเราจะไม่รบพุ่งกันและเผ่ามารของข้าจะแบ่งโลกออกเป็นสองส่วนระหว่างพวกข้ากับทวยเทพแห่งสวรรค์ไท่หวง เผ่ามารของข้าจะครอบครองสวรรค์ไท่หวงเพียงครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งจะเป็นของเจ้า ในเมื่อเจ้ามีจุดอ่อนของเผ่ามารอยู่ในกำมือด้วยการควบคุมสวรรค์หลัวฝู เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร”
“ตกลง!”
ท้องฟ้าแยกออกจากกัน และใบหน้าของนักบุญคนตัดไม้ก็ปรากฏบนนภากาศ–มีเพียงแต่ใบหน้าของเขาโดยปราศจากใบหู ใบหน้านี้มองลงมายังฟู่ยื่อลัว เสียงของเขากัมปนาทในฟากฟ้าราวกับอัสนีสวรรค์ “ลงสัตยาบันภูตบดี?”
ฟู่ยื่อลัวกล่าวอย่างเฉียบขาด “ลงสัตยาบันต่อภูติบดี!”
…
คนแล่เนื้อ เฒ่าบอด และคนอื่นๆ ซึ่งกำลังวิ่งตรงไปยังเมืองหลีก็มองเห็นภาพนี้ด้วยเช่นกัน และพวกเขาก็ได้ยินการสนทนาระหว่างนักบุญคนตัดไม้และฟู่ยื่อลัว ยายเฒ่าซีส่ายหน้า “ตาเฒ่าโง่เซ่อนี่เป็นใครกัน นอกจากดูโง่เซ่อแล้ว เขายังถึงกับกล้ากระทำสัตยาบันภูติบดีกับมหาราชาแห่งเผ่ามารอีก? เขาควรจะระวังเอาไว้ ไม่เช่นนั้นแม้แต่กางเกงในของเขาก็คงถูกฟู่ยื่อลัวหลอกตุ๋นไปหมด!”
ทุกคนในหมู่บ้านพิการชราผงกหัว
ฉินมู่กล่าวอย่างระมัดระวัง “ท่านยาย ดูที่ใบหน้าบนท้องฟ้าสิ นี่ไม่เหมือนกับใบหน้าของนักบุญคนตัดไม้บนภาพจิตรกรรมฝาผนังในภูเขานักบุญเยือนหรอกหรือ”
ยายเฒ่าซีเพ่งพิศมองใบหน้านี้ และตัวสั่นเทิ้ม นี่คือใบหน้าของนักบุญคนตัดไม้จริงๆ ด้วย
“ที่แท้ก็เป็นนักบุญ”
ยายเฒ่าซีเผยความงามของตน ทำให้นางดูน่าลุ่มหลงเมื่อแย้มยิ้ม “ถ้าอย่างนั้น เขาคงไม่เสียเปรียบอะไรในการกระทำสัตยาบันภูติบดีกับฟู่ยื่อลัว ในลัทธินักบุญสวรรค์มีคนเจ้าเล่ห์กลอกกลิ้งมากมาย และพวกเขาทั้งหมดต่างก็เรียนรู้มันมาจากคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต นี่จึงเป็นเหตุว่า ในเรื่องความมากเล่ห์เพทุบายนั้น นักบุญผู้นี้นับว่าเป็นปรมาจารย์เฒ่า”
ทุกคนจิตใจว่างเปล่าไปจากรอยยิ้มของนาง จนพวกเขาลืมไปเลยว่าเมื่อครู่นี้นางเพิ่งกล่าวหานักบุญคนตัดไม้ว่าเป็นตาแก่โง่เซ่อ
…
สายตาของลู่หลีวูบวาบขณะที่มองไปยังที่ไกลๆ นางกำลังจะไล่ตามฉินมู่ไป แต่ฟู่ยื่อลัวก็กล่าวอย่างเยือกเย็น “ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวพันกับความอยู่รอดของสวรรค์หลัวฝูของข้า ดังนั้นสหายเต๋าลู่หลีโปรดอย่าวู่วาม”
ขนงอันงามของลู่หลีเลิกโก่งขึ้นมา มันเป็นโอกาสอันหายากที่นางหมายจะไปคร่าตัวฉินมู่ แต่ว่านางก็หวาดกลัวใบหน้าบนท้องฟ้าเป็นอย่างยิ่ง หากว่านางดึงดันที่จะลงมือ แม้แต่ฟู่ยื่อลัวก็อาจจะสกัดขัดขวางนาง ดังนั้นนางจะข่มระงับตนเองเอาไว้ก่อน
“ไม่ต้องห่วง ข้าบอกว่าข้าจะนำตัวไอ้เด็กนั่นมาให้เจ้า ดังนั้นข้าจะไม่กลืนน้ำลายตนเองแน่นอน” ฟู่ยื่อลัวกล่าว
ลู่หลีหัวเราะคิกคักและกล่าว “หากว่าเจ้ากล้ากลืนน้ำลายตัวเอง ข้าก็สามารถช่วยหนุนฝั่งสวรรค์ไท่หวงเพื่อกำจัดเผ่ามารของเจ้าให้หมด”
ฟู่ยื่อลัวส่ายหัว “เจ้าไม่ทำหรอก ครูบาสวรรค์มาจากสภาสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้ง ความแค้นระหว่างพวกเจ้าทั้งสองลึกล้ำยิ่งกว่าความแค้นของเจ้ากับเผ่ามารนัก ดังนั้นมันไม่มีทางคลี่คลายไปได้อย่างแน่นอน”
ลู่หลีปรายตามองไปยังทิศทางที่ฉินมู่และพรรคพวกหลบหนีไป และนางก็ข่มใจตนเอง นางไม่ได้กลัวฟู่ยื่อลัวหรือนักบุญคนตัดไม้ แต่หากว่าทั้งคู่โจมตีนางในเวลาเดียวกัน นางก็คงลำบากไม่น้อย
“แต่ทว่า ข้าได้สัญญากับเจ้าไว้แล้ว ข้าย่อมจะต้องทำมันอย่างแน่นอน”
ใบหน้าตรงของฟู่ยื่อลัวกำลังกระทำสัตยาบันภูติบดีกับใบหน้าบนท้องฟ้า ขณะที่ใบหน้าฝั่งซ้ายของเขากำลังสนทนากับลู่หลี “เขาถูกทักษะเทวะของข้าตราเอาไว้ ดังนั้นไม่ว่าเขาจะไปเจอกระจกหรือผิวน้ำ เขาก็จะตกลงมาในกำมือข้าอยู่ดี”
เมื่อนางได้ยินคำพูดเหล่านี้ ลู่หลีก็เบาใจลง นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้านั้นประทับใจในวิชาห้วงอวกาศของเจ้าจริงๆ”
ฉีเจี่ยวอี๋ขมวดคิ้วและกล่าว “งั้น ผู้บัญชาการแคว้น ข้อตกลงของพวกเรา…”
ลู่หลียิ้มให้แก่เขาอย่างหวานหยด มันทั้งน่ารักและหวานแหววจนน่าสยดสยอง ด้วยเสียงอันหยาบกร้าน นางกล่าว “ข้าจะให้เจ้ายืมฉินมู่หรือไม่ ขึ้นกับสิ่งที่เจ้าวางแผนว่าจะทำ แม้ว่าคุณชายฉีจะเป็นชนชั้นสูงจากสภาสวรรค์ แต่ท้องฟ้านั้นสูงลิ่วและจักรพรรดิก็อยู่ห่างไกล แม้แต่ฝ่าบาทก็ไม่อาจเข้ามายุ่มย่ามกับการดำเนินการของผู้บัญชาการแคว้นในแคว้นของตนหรอก จริงไหม”
ฉีเจี่ยวอี๋กล่าวด้วยสีหน้าอันไม่สะทกสะท้าน “ข้าเข้าใจ หากว่าเจ้าให้ข้ายืมฉินมู่ ข้าจะให้รางวัลเจ้าอย่างงาม”
…
ในที่สุด ฉินมู่และคณะก็มาถึงเมืองหลี ถึงตอนนี้พวกเขาถึงค่อยระบายลมหายใจโล่งอก
เมืองหลีนั้นพรักพร้อมไปด้วยไพร่พลและม้าศึกมาตั้งนานแล้ว ราชครูสันตินิรันดร์ เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ และคนอื่นๆ กำลังเตรียมพร้อมออกไปรบพุ่ง เมื่อพวกเขาเห็นว่าผู้เฒ่าแห่งหมู่บ้านพิการชราและฉินมู่กลับมาโดยสวัสดิภาพ ก็ถึงระบายลมหายใจอย่างโล่งอก
นักปรุงยานำกระจกออกมาเพื่อจัดแจงตนเอง มิให้เสียภาพลักษณ์
ฉินมู่โผล่หัวไปดู และสีหน้าเขาแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง ดวงตาของเขาจ้องไปยังกระจก และเห็นฟู่ยื่อลัวอยู่ข้างในนั้น กำลังเดินตรงมาทางเขา
นักปรุงยาพลันเก็บกระจกออกห่างจากเขา เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “มู่เอ๋อ กระจกของเจ้าเลิศล้ำกว่าข้า แล้วทำไมเจ้ายังต้องมายืมข้าอีก”
ฉินมู่สลัดหัวและกล่าว “ท่านยาย ข้าเพลี่ยงพล้ำให้แก่กระบวนท่าเดิมอีกแล้ว!”
เขาจึงบอกเล่าว่าเขาถูกฟู่ยื่อลัวลักพาตัวไปได้อย่างไรในคราวก่อน ทุกคนในหมู่บ้านพิการชราเผยสีหน้าดูแคลน เฒ่าเป๋ยิ้มหยันและกล่าว “มู่เอ๋อ ตกกับดักเดิมซ้ำสองครั้ง เจ้าทำให้พวกข้าผิดหวัง!”
เฒ่าบอดผงกหัว “จริงๆ นั่นแหละ มู่เอ๋อยังคงอ่อนเยาว์และใสซื่อเกินไป!”
นักปรุงยาถอนหายใจ “จริงสิ ผู้ใหญ่บ้าน เจ้าจิ้งจอกเฒ่านั่น มักจะคอยรำพึงรำพันว่ามู่เอ๋อไร้เดียงสาเกินไป และกลัวว่าเขาจะเสียเปรียบข้างนอก คำพูดของเขากลายเป็นเรื่องจริงเสียแล้ว!”
ฉินมู่เหงื่อแตกพลั่ก “เลิกทับถมข้าได้แล้ว แบบนั้นข้าควรทำอย่างไรดี”