ตอนที่ 597 ฟู่ยื่อลัวในดวงตาของเขา

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

เฒ่าใบ้ทำท่าทางมือสองสามที และเฒ่าหนวกก็สังเกตดูการเคลื่อนไหวของเขา จากนั้นจึงกล่าว “นี่ง่ายดายมาก เพียงแค่ไม่ต้องมองเข้าไปในกระจก เจ้าไม่ใช่เด็กสาวแรกรุ่น เฒ่าใบ้บอกอย่างนี้ ไม่ใช่ข้าพูด”

นักปรุงยานำกระจกออกมาอีกครั้งและส่องไปยังฉินมู่ ลองทดสอบปฏิกิริยาของเขา เขาเห็นดวงตาของฉินมู่กลายเป็นไร้จุดหมาย และมันแทนที่ด้วยเงาร่างที่เดินออกมาจากดวงตาของเขา เขาเก็บกระจกออกห่างทันทีและกล่าว “ไม่มองดูกระจกเองมันก็ง่ายอยู่ แต่ตอนล้างหน้าล่ะ? และหากว่าเขาไปเจอคนอื่นที่ส่องกระจกใส่เขา? ฟู่ยื่อลัวสามารถเพียงแค่จัดวางมารหรือสายลับสักคนให้ใช้กระจกส่องไปยังฉินมู่ มู่เอ๋อเพียงแค่มองเข้าไปในกระจกนั้น เขาก็จะตกเป็นเหยื่อของวิชานี้ ผู้ฝึกวิชาเทวะที่สวามิภักดิ์ต่อเผ่ามารมีจำนวนไม่น้อย เทียนเฟิงโก้วย่อมไม่ใช่เพียงแค่ตัวอย่างเดียว!”

คนแล่เนื้อฉวยกระจกมาและส่องไปยังฉินมู่ สายตาของฉินมู่ว่างเปล่าและจ้องไปยังกระจก ร่างกายของฟู่ยื่อลัวที่กำลังเดินออกมาจากดวงตาเขานั้นดูชิดใกล้กว่าเดิม

คนแล่เนื้อกระโดดโหยงด้วยความตกใจ และพลิกกระจกหนี ในจังหวะที่เขาพลิกกระจก ฟู่ยื่อลัวก็พลันหายวับไปจากดวงตาฉินมู่

“แข็งแกร่งจริงๆ!”

คนแล่เนื้ออดไม่ได้ที่จะชื่นชม “ทักษะเทวะของฟู่ยื่อลัวประหลาดพิสดารอย่างแท้จริง เขาถึงกับออกมาจากดวงตาของฉินมู่ได้! ทำไมพวกเราไม่แค่ล่อเขาออกมา และรวมกลุ่มเทพเที่ยงแท้มาช่วยกันรุมสับเขาให้ตายล่ะ จะได้มาดูกันว่าเขาจะมาตามหลอกหลอนเจ้าอีกได้อย่างไร!”

ฉินมู่ส่ายหน้า “ไม่มีประโยชน์ เขาไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมาจริงๆ กระจกเพียงแต่กระตุ้นการทำงานทักษะเทวะของเขา เมื่อมันทำงานขึ้นมา เขาก็จะแค่ลากข้าไปยังข้างกายเขา เขาจะไม่ปรากฏตัวขึ้นมาต่อหน้าพวกเราเลยสักนิด”

คนแล่เนื้อเอ่ยชมอีกครั้ง “เขาถึงกับสำเร็จขั้นนี้เชียวหรือ เขานี่ไม่ธรรมดาจริงๆ!”

เฒ่าใบ้แย่งกระจกมาและส่องมันใส่ฉินมู่บ้าง ฉินมู่มองไปยังกระจกโดยควบคุมตนเองไม่ได้ และเงาร่างของฟู่ยื่อลัวในดวงตาของเขาก็เดินเข้ามาใกล้อีก

เฒ่าใบ้รีบพลิกกระจกหนีและกล่าวอย่างขึงขัง “อบา!”

เฒ่าบอดจึงรีบคว้ากระจก และกะที่จะฉายส่องใส่ฉินมู่ ยายเฒ่าพลันเดือดดาลและกำนัลเขาด้วยการตะบันหน้าเข้าไปหนึ่งหมัด นางกล่าวอย่างโกรธขึ้ง “ไอ้พวกผายลมเฒ่า หากว่าพวกเจ้าส่องไปอีกหน่อย มู่เอ๋อก็จะโดนคนประหลาดสามหน้านั่นลักตัวไปแล้ว!”

เฒ่าบอดเต้นเร่า “ยายเฒ่า พวกเขาทุกคนทำกันหมด แต่ทำไมมีแต่ข้าที่โดนต่อย”

ยายเฒ่าซีแย่งกระจกไป ข้างๆ นาง เฒ่าเป๋กำลังกะลิ้มกะเหลี่ยรอจะลอง แต่เมื่อเขาเห็นยายเฒ่าซีปกป้องลูกวัวของนาง เขาก็ได้แต่ยับยั้งชั่งใจเอาไว้

อันที่จริงแล้ว ยายเฒ่าซีก็อาจจะฉายกระจกส่องฉินมู่ดูบ้างเหมือนกัน แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเด็กที่นางเลี้ยงดูขึ้นมา ดังนั้นนางจึงได้แต่ต้านทานความอยากนี้เอาไว้ แต่ถึงอย่างไร มือของนางก็คันยิบๆ และอยากฉายกระจกส่องเขา

ในหมู่บ้านพิการชรา นอกจากเฒ่าเป๋แล้ว คนที่มีหัวใจรักสนุกมากที่สุดก็คือนาง

“หากว่าเขาไม่อาจมองดูกระจก และเขาก็ไม่อาจดึงฟู่ยื่อลัวข้ามมาที่นี่ได้ หรือจะแปลว่าทักษะเทวะนี้ก็จะอยู่ในดวงตาของมู่เอ๋อไปชั่วนิรันดร์” ทุกคนจนปัญญา

แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดล้วนแต่มีฝีมือความสามารถอันเหนือธรรมดา ทักษะเทวะของฟู่ยื่อลัวก็พิสดารพันลึกจนเกินไป พวกเขาไม่รู้วิธีไขมันออก

ราชครูสันตินิรันดร์และเทพเที่ยงแท้ผางอวี้เดินเข้ามา “สหายเต๋าทั้งหลายกลับมาแล้วหรือ พวกเรากำลังจัดเตรียมทัพ ดังนั้นจึงไม่สะดวกที่จะไปช่วยเหลือพวกท่านในตอนนั้น ขอพวกท่านโปรดให้อภัย”

“ราชครูมักจะมีความคิดดีๆ บางทีเขาอาจจะคิดอะไรออก!”

ทุกคนรีบไปบอกเล่าราชครูเกี่ยวกับเรื่องนี้ ราชครูสันตินิรันดร์กล่าว “เจ้าเกิดมีเรื่องแบบนั้นเชียวหรือ ให้ข้าดูหน่อย!” หลังจากที่เขากล่าว เขาก็ล้วงกระจกออกจากอกเสื้อ ฉายส่องไปยังฉินมู่

คนแล่เนื้อ เฒ่าบอด และคนอื่นๆ มีสีหน้าประหลาด แม้ว่าราชครูสันตินิรันดร์จะเป็นชายวัยกลางคน แต่เขาก็ยังหล่อเหลาและแต่งตัวดี เห็นได้ชัดว่าเขาใส่ใจกับรูปลักษณ์ของตนเอง และพกกระจกติดตัวไว้ตลอด

ยายเฒ่าซีกำหมัดแน่น เตรียมทุบหัวราชครูสันตินิรันดร์

ราชครูสันตินิรันดร์สังเกตเห็นสถานการณ์ เขาวางกระจกของตนลงพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สหายเต๋าซี หากว่าข้าไม่กระตุ้นทักษะเทวะในดวงตาของเขา แล้วข้าจะคิดหาวิธีทำลายมันได้อย่างไร โปรดอย่ามองข้าเป็นศัตรู”

ยายเฒ่าซีเตือนเขา “อย่าส่องนานนัก”

ราชครูสันตินิรันดร์ฉายกระจกไปที่ฉินมู่ และเขาก็เห็นเงาร่างของฟู่ยื่อลัวเดินออกมาจากดวงตาฉินมู่ เขานั้นตกตะลึงและรีบปิดกระจกไว้พลางพึมพำกับตนเอง “ทักษะเทวะอันเยี่ยมยอด! ทักษะเทวะประเภทนี้ถูกประทับรอยเอาไว้ในดวงตาของจ้าวลัทธิฉิน ไม่ว่าใครก็จะตกเป็นเหยื่อของทักษะเทวะนี้เพียงมองไปที่ดวงตาของฟู่ยื่อลัว ทักษะเทวะของเขาพิสดารเหนือธรรมดาถึงขั้นนี้เชียวหรือ”

ยายเฒ่าซีรีบถาม “ราชครูมีวิธีแก้ไขหรือไม่”

ราชครูสันตินิรันดร์เดินวนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง เขาลังเลก่อนที่จะกล่าว “ทำไมไม่ให้ข้าลองส่องดูอีกทีล่ะ”

ยายเฒ่าซีอดไม่ไหวอีกต่อไป และซัดไปอย่างเต็มแรงที่หัวของเขา ทุกคนตกตะลึง แม้แต่จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก็ไม่กล้าทุบหัวราชครูสันตินิรันดร์ แต่ยายเฒ่าซีกล้า!

ราชครูสันตินิรันดร์รับการทุบตีนี้อย่างใจเย็นและกล่าว “สหายเต๋าซี เพียงแค่ข้าดูครั้งเดียวไม่เพียงพอหรอกที่จะแก้ไขทักษะเทวะของฟู่ยื่อลัว หากว่าข้าสามารถมองดูอีกสองสามที ข้าอาจจะสามารถแสวงหาหนทางในการแก้ไขมันได้”

“แล้วหากว่าเจ้าทำไม่ได้ล่ะ” ยายเฒ่าซีน้ำเสียงเย็นเยียบ

ราชครูสันตินิรันดร์กล่าวอย่างเคร่งขรึม “ยามอรุณได้สดับเต๋า ยามสายัณห์ก็ย่อมตายตาหลับ!”

ยายเฒ่าซียังไม่คุ้นเคยกับเขาดีนัก ไม่อย่างนั้นนางคงเตะเขากระเด็นเหมือนกับที่เตะเฒ่าบอด นางปรายตามองไปที่เทพเที่ยงแท้ผางอวี้และถามอย่างอดทน “ฝีมือความสามารถของเทพเที่ยงแท้นั้นเหนือธรรมดา ท่านจะต้องมีวิธีการในการแก้ไขเรื่องนี้สินะ?”

เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ลังเลไปครู่หนึ่ง เขาเองก็มีเจตนาหมายจะส่องกระจกไปยังฉินมู่ แต่เขารู้สึกว่าคงยากที่จะหลบพ้นจากกำปั้นของสตรีนางนี้ “หากว่าราชครูไม่สามารถทำได้ ข้าก็ทำไม่ได้เช่นกัน ข้าเลื่อมใสยกย่องมรรคา วิชา และทักษะเทวะของราชครูเป็นอย่างยิ่ง ความสำเร็จของฟู่ยื่อลัวในทักษะเทวะนั้นจริงๆ แล้วสูงล้ำไปกว่าข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะเทวะในดวงตาของเขา ในด้านความเชี่ยวชาญแล้ว ผู้ที่ทัดเทียมเขาได้ก็มีแต่ครูบาสวรรค์ พวกเจ้าควรไปตามหาครูบาสวรรค์”

ฉินมู่จิตสะเทือนเล็กน้อย นักบุญคนตัดไม้นับว่ามีกำลังฝีมืออันเหนือธรรมดาจริงๆ ดังนั้นเขาอาจจะสามารถทำลายทักษะเทวะของฟู่ยื่อลัวได้

“ตอนนี้ครูบาสวรรค์อยู่ในสวรรค์หลัวฝู หาตัวเขาไม่ยากเท่าไร”

เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “อันจริงที่แล้วข้าควรจะนำพวกเจ้าไปที่นั่น แต่ว่าสองกองทัพกำลังประจันหน้ากันอยู่ หากว่าเผ่ามารไม่ถอนทัพออกไป ข้าก็ยังคงต้องอยู่ที่นี่”

หัวใจของราชครูสันตินิรันดร์หวั่นไหวเล็กน้อย เขาอยากจะไปพบนักบุญผู้นี้ แต่ทว่าเขาก็ทำไม่ได้เช่นกันในเมื่อเขาไม่มีเวลาที่จะปลีกตัวไปยังสวรรค์หลัวฝู

ม่านคุ้มกันระหว่างสวรรค์หลัวฝูและสวรรค์ไท่หวงบางมากแล้ว ดังนั้นการไปยังสวรรค์หลัวฝูย่อมไม่ใช่เรื่องยาก เมื่อเผ่ามารเริ่มโจมตีสวรรค์ไท่หวง มารเทวะหลายตนก็ได้ฉีกทึ้งม่านคุ้มกันระหว่างโลกออกจากกัน ทำให้มารทั้งหลายสามารถไหลบ่าเข้ามาในสวรรค์ไท่หวงได้อย่างต่อเนื่อง

ยายเฒ่าซียินดีเป็นอย่างยิ่งและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะตามมู่เอ๋อไปพบเจอนักบุญแรกแห่งลัทธิมารฟ้าของข้า!”

นางไม่อาจปิดบังความตื่นเต้นของตนเอง เมื่อในจิตคิดของนางเต็มไปด้วยภาพของนักบุญคนตัดไม้ที่กำลังถ่ายทอดคำสอนของเขาใต้ต้นไม้ และภาพของเขาที่ถ่ายทอดคัมภีร์บนก้อนหินให้แก่บรรพจารย์ก่อตั้ง จากนั้นบรรพจารย์ก่อตั้งก็ได้ก่อตั้งลัทธิและสรรค์สร้างลัทธินักบุญสวรรค์ขึ้นมา หลังจากนั้น จ้าวลัทธิในทุกๆ รุ่นก็กลายมาเป็นศิษย์ของนักบุญคนตัดไม้ ก็ในเมื่อพวกเขาจะต้องผ่านประสบการณ์รับถ่ายทอดคำสั่งสอนบนก้อนหินของเขาหนึ่งครั้ง

สำหรับศิษย์ทั้งหลายแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ นักบุญคนตัดไม้เป็นตัวตนอันสูงส่งที่เกินกว่าพวกเขาจะเอื้อมไปถึง ย่อมเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะยกย่องบูชาและนับถือเป็นแบบอย่าง!

การที่สามารถได้พบกับตำนานผู้นี้ เป็นความฝันอันยิ่งใหญ่ของศิษย์ลัทธิ!

ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งเมื่อเขามองไปยังท่านยายซีที่กำลังตื่นเต้น แต่สุดท้าย เขาก็ตัดสินใจที่จะไม่บอกความจริงกับนาง

นักบุญคนตัดไม้เป็นแหล่งที่มาแรกของลัทธินักบุญสวรรค์ แต่เขาไม่เคยได้ยินถึงลัทธินักบุญสวรรค์มาก่อน แม้แต่การถ่ายทอดคำสอนและคัมภีร์ของเขา ก็เป็นเพียงความสนใจอันหุนหันชั่วขณะของเขาเท่านั้น…หากว่าท่านยายซีรู้เรื่องนี้ นางจะต้องห่อเหี่ยวเป็นแน่ เขาคิดในใจ

เทพเที่ยงแท้ผางอวี้กล่าว “สวรรค์ไท่หวงของข้าเคยต่อสู้โต้กลับไปยังสวรรค์หลัวฝูครั้งหนึ่ง ในครั้งนั้นข้าเป็นผู้บัญชาการ แต่โชคร้ายว่า การโจมตีโต้กลับนั้นล้มเหลว กระนั้นข้าก็ยังพอจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับภูมิประเทศที่นั่นอยู่บ้าง ในสวรรค์หลัวฝูมีบึงพรุอยู่ทุกหนทุกแห่ง และมีกระทั่งกระจกที่ก่อขึ้นมาจากชิ้นส่วนห้วงมิติอันแตกทำลาย”

ยายเฒ่าซีนำเอาแถบแพรขาวออกมาและปิดดวงตาของฉินมู่เอาไว้ “นี่คงจะได้ มู่เอ๋อ ปล่อยจิตวิญญาณดั้งเดิมของเจ้าออกมา และใช้ดวงตาของเขาในการมองแทน!”

ราชครูสันตินิรันดร์รีบกล่าว “นั่นไม่ได้นะ! ทักษะเทวะของฟู่ยื่อลัวก็ยังสะท้อนอยู่ในจิตวิญญาณดั้งเดิมด้วย หากว่าจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขามองไปยังกระจก มันก็จะยังคงกระตุ้นการทำงานทักษะเทวะของฟู่ยื่อลัว!”

ยายเฒ่าซีอึ้งกิมกี่ “ฟู่ยื่อลัวมีฝีมือความสามารถขนาดนี้เชียวหรือ มู่เอ๋อ ปล่อยจิตวิญญาณดั้งเดิมของเจ้าออกมา!”

ฉินมู่ทำตามที่นางบอก จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาถูกฉายส่องออกมา ยืนอยู่บนเมฆมงคลและลอยอยู่ข้างหลังศีรษะของเขา ยายเฒ่าซีจึงใช้กระจกส่องไปยังฉินมู่ เหมือนกับตัวของฉินมู่ จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขามองตรงไปยังกระจก และดวงตาของเขาก็พลันไร้จุดหมาย รูปเงาของฟู่ยื่อลัวปรากฏในดวงตาของเขาและกำลังเดินออกมา!

ในขณะนั้้น ฟู่ยื่อลัวได้เดินมาถึงแก้วตาของฉินมู่แล้ว!

ยายเฒ่าซีเข้าไปดูใกล้ๆ จากนั้นก็เก็บกระจกของนางกลับไป นางพึงพอใจในเมื่อในที่สุดก็ได้ทำสิ่งที่คันหัวใจอยู่ นางถามด้วยรอยยิ้ม “เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ พวกเราจะไปสวรรค์หลัวฝูได้อย่างไร”

“ข้าจะเปิดห้วงอวกาศและส่งพวกเจ้าไป!”

ดวงตาของฉินมู่ถูกปิดไว้จนมืด และเขาก็ได้แต่ใช้ประสาทสัมผัสอื่นๆ เพื่อหยั่งสภาพแวดล้อม ดวงตาเนื้อของเขามองไม่เห็น ดังนั้นยายเฒ่าซีจึงจูงมือและดึงเขาไปข้างหน้า

เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ฉีกเปิดห้วงอวกาศและเผยอีกโลกหนึ่ง “สวรรค์หลัวฝูนั้นไม่เหมือนสวรรค์ไท่หวง ที่นั่นมีอันตรายอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง ดังนั้นพวกเจ้าจะต้องระวังให้มาก”

ยายเฒ่าซีจูงมือของเขาและถลันเข้าไปในรอยแยกด้วยความตื่นเต้น กิเลนมังกรและฮู่หลิงเอ๋อก็อยากจะตามพวกเขาไป แต่เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ได้ปิดรอยแยกไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ละความคิด

นักปรุงยากล่าวอย่างเคร่งขรึม “พวกเราไปที่ยมโลกไปตามหาตัวผู้ใหญ่บ้านดีกว่า พวกเราจะได้สุมหัวช่วยกันคิดด้วยเช่นกัน หลิงเอ๋อ เจ้าไปยมโลกบ่อยครั้งผ่านระหว่างเป็นตาย ดังนั้นเจ้าจงนำทาง”

ฮู่หลิงเอ๋อรับคำและกล่าวไปยังกิเลนมังกรที่ดูผิดหวัง “มังกรอ้วน คุณชายเขาไปสวรรค์หลัวฝู ดังนั้นเจ้าก็ตามพวกเราไปยมโลก”

กิเลนมังกรรู้สึกหัวใจว่างโหวง และเขาก็ส่ายหัวกล่าว “ข้าอยากจะรอจ้าวลัทธิกลับมาอยู่ที่นี่ เขารีบร้อนไปและไม่มีเวลาเตรียมเสบียงอาหารให้กับข้า…”

ฮู่หลิงเอ๋อยิ้มและผงกหัว “มีท่านปู่นักปรุงยาอยู่ เจ้าจะขาดเสบียงอาหารหรือ วิชาแพทย์และวิชาปรุงยาของคุณชาย ล้วนแต่เรียนรู้มาจากท่านปู่นักปรุงยานะ!”

กิเลนมังกรลิงโลดยินดี และรีบสลัดร่างเผยร่างที่แท้จริงของเขาอันยาวกว่าหกสิบวา เขายิ้มอย่างนอบน้อมและกล่าว “นายผู้เฒ่าทั้งหลาย โปรดขึ้นมาบนหลังของมังกรน้อยผู้นี้ ฝีเท้าของมังกรน้อยค่อนข้างไว และสามารถพานายผู้เฒ่าทั้งหลายมุ่งหน้าไปยังยมโลก! ข้ายังเคยไปที่ยมโลกมาก่อนด้วยนะ!”

เฒ่าเป๋ คนแล่เนื้อ เฒ่าบอด และคนที่เหลือปีนขึ้นไปบนหลังของเขา คนแล่เนื้อกล่าวพลางฉีกยิ้ม “ข้าเคยบอกว่า ปีใหม่ให้เจ้าอ้วนนี่ขึ้นโต๊ะกับแม่ไก่มังกรให้เป็นจานหลักคู่กัน แต่ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะรู้จักเชื่อฟังมากกว่าแม่ไก่มังกร แม่ไก่มังกรพวกนั้นกระด้างกระเดื่องกันหมดแล้ว ครั้งสุดท้ายที่ข้ากลับไปที่หมู่บ้าน พวกมันจิกข้าจนเลือดซิบไปทั้งตัว”

นักปรุงยาดูจะขบขัน “มังกรอ้วนนี่กินยาอะไรหรือ เจ้าต้องกินมากเท่าไร”

กิเลนมังกรกล่าวทันที “มังกรน้อยกินยาวิญญาณเพลิงฉาน ยาเทพชีวาธาตุไฟ และยาเทพชีวาธาตุน้ำ ในหนึ่งมื้อ ข้าต้องกิน…หนึ่งถัง!”

“หนึ่งถังทุกมื้อ?”

นักปรุงยาตื่นตระหนกและร้องออกมา “ยาวิญญาณสามชนิด นั่นก็สามถัง! สามมื้อต่อวัน นั่นก็เก้าถัง! ความตะกละเจ้าไม่ใช่น้อยแล้วนะ เอ๊ะ? เจ้ากินแบบนี้ ไม่ทำให้มู่เอ๋อล้มละลายไปหรอกหรือ!”

กิเลนมังกรก็ตกตะลึงเช่นกัน เขานั้นทั้งประหลาดใจและยินดี เดิมทีนั้นเขาหมายจะเสี่ยงโชคตนเองและกินยาวิญญาณหนึ่งถังต่อวัน ไม่คาดคิดเลยว่ามันจะกลายเป็นเก้าถัง

นักปรุงยาคำนวณอยู่ครู่หนึ่ง “ยาวิญญาณเก้าถังนั้นค่อนข้างมาก โชคดีที่ว่าข้ามีเงินทองอยู่ ดังนั้นข้ายังพอเลี้ยงเจ้าได้…”

เฒ่าบอดอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง ในหมู่บ้านมีคนร่ำรวยอยู่ไม่น้อย นักปรุงยานั้นรักษาขุนนางและชนชั้นสูง ดังนั้นเงินทองของเขาจึงไหลมาเทมา สตรีมากมายจากตระกูลสูงมาหาเขาเมื่อได้ยินชื่อเสียงคำร่ำลือ ภาพวาดของเฒ่าหนวกก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า คนแล่เนื้อขายเนื้อ และเฒ่าใบ้ก็หลอมสร้างเครื่องมือเหล็กทุกๆ วัน ดังนั้นพวกเขาจึงมีเงินทองมากพอในการใช้ชีวิต ส่วนเฒ่าเป๋ นั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึงใหญ่เลย ตระกูลของยายเฒ่าซีดูแลทรัพย์ศฤงคารของลัทธินักบุญสวรรค์ ดังนั้นนางก็ย่อมไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีเงินทองไว้กินดื่ม

มีก็แต่เฒ่าบอดที่หาเลี้ยงตัวเองด้วยการดูดวง ดังนั้นชีวิตของเขาจึงขมขื่นและยากลำบาก นี่จึงเป็นเหตุให้เขาค่อนข้างเคียดขึ้งพวกคนรวยทั้งหลายในหมู่บ้าน เขาคิดในใจ โชคยังดีที่ผู้ใหญ่บ้านยากจนกว่าข้า แต่น่าเสียดายที่เขาตายไปแล้ว…

ดวงตาซุกซนของฮู่หลิงเอ๋อกลอกกลิ้งไปรอบๆ ปกปิดข้อเท็จจริงจากพวกเขา นางคิดในใจ มังกรอ้วนจะกินยาวิญญาณวันละมากขนาดนี้เชียว คุณชายจะต้องตกตะลึงแน่เมื่อเขากลับมา ข้าเองก็อยากเห็นว่าเขาจะอ้วนได้ขนาดไหน…

ในสวรรค์หลัวฝู ฉินมู่ยกมือขึ้นเพื่อลอบแกะใบหลิวทองคำที่ปิดดวงตาที่สามของเขาเอาไว้ ยายเฒ่าซีตีมือเขาเปี๊ยะและบ่มพึม “ดวงตานี้ของเจ้ามันแปลกประหลาด อย่าบุ่มบ่ามแกะออกสิ!”

ฉินมู่โต้แย้ง “ท่านยาย ข้ามองไม่เห็นอะไรเลยสักอย่าง และเดินเหินไปก็ไม่สะดวก ข้าไม่อาจให้ท่านยายจูงข้าไปตลอดเวลาหรอกจริงไหม หากว่าพวกเราตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน ข้าก็มีแต่จะเป็นตัวถ่วงของท่านยาย”

“เจ้าก็ห้ามแกะมันออกอยู่ดี!”

ยายเฒ่าซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าของนางสดใสขึ้นมาและกล่าว “แต่ที่เจ้าพูดก็ถูก ถ้าเจ้ามองอะไรไม่เห็นก็คงเคลื่อนไหวไม่สะดวก ดังนั้นให้ข้าช่วยเจ้าเปิดมันออกให้ล่ะกัน แต่ทว่า เจ้าห้ามขับเคลื่อนวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะนะ” หลังจากที่กล่าวเช่นนั้น นางก็คีบใบหลิวทองคำและแกะมันลงมา

ที่ใจกลางหว่างคิ้วของฉินมู่ เปลือกตาของเขาแยกออกเผยให้เห็นดวงตาที่สาม มันกลอกไปมาซ้ายและขวาเพื่อมองบริเวณรอบๆ