เมื่อได้เวลาแล้ว ซุนต้าหูก็เดินมาเก็บค่ารถ เขามาถึงซุนต้าตง ซุนต้าตงกลับแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นและไม่สนใจซุนต้าหู
ถึงอย่างไรก็เป็นพี่น้องบ้านเดียวกัน ซุนต้าหูเองก็พูดอะไรมากไม่ได้ เขาจึงเดินผ่านไปจนมาถึงป๋ายรุ่ยฮัว นางก้มหน้าล้วงทองแดงสองแผ่นออกมาจากในอ้อมแขนด้วยมืออันสั่นเทาและกำลังจะส่งให้ซุนต้าหู ทว่าซุนต้าตงเห็นเข้า เขากลับแย่งทองแดงไปจากในมือป๋ายรุ่ยฮัวแล้วตะเพิดเสียงดัง “รุ่ยฮัวนี่เจ้าทำอะไร ? เจ้าเห็นพี่ต้าหูเป็นคนนอกรึ ? เจ้าเป็นน้องสะใภ้ของเขา การให้ค่ารถเป็นการดูถูกพี่ต้าหูของข้า ใช่ไหมพี่หู ?”
ป๋ายรุ่ยฮัวมือแข็งทื่อ นางเก้อเขินมาก
ซุนต้าหูรีบไกล่เกลี่ยทันที “คนบ้านเดียวกัน ไม่เป็นไร… ไม่เป็นไรเลยน้องสะใภ้ เจ้าไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้นก็ได้”
ป๋ายรุ่ยฮัวรีบเก็บมืออย่างรวดเร็ว น้ำตานางคลอเบ้า จะไหลแหล่ไม่ไหลแหล่ ดูแล้วน่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าซุนต้าตงกลับไม่สนใจป๋ายรุ่ยฮัวอีก เขาพูดคุยกับซุนต้าหูอย่างสนใจใคร่รู้ “ใช่แล้วพี่หู ข้าจะบอกให้พี่ฟัง ข้ามีพี่ชายอยู่คนหนึ่ง เขาอยู่ข้างนอกมาหลายปีแล้วและถือว่าเด่นกว่าคนอื่นเลยก็ว่าได้ ทั้งนิ้วทอง ทั้งท่าทางของเขา! นี่ข้าสนิทสนมกับเขา สองสามวันก่อนเขากลับมาที่บ้านเกิดพอดีและบอกว่าจะพาข้าไปร่ำรวยด้วยกัน พี่หู ถึงแม้ว่าพี่จะขี้งกบ้างในบางครั้ง แต่อย่างน้อยพี่ก็เป็นพี่ชายของข้า ว่าอย่างไรพี่ ? ต้องการไปร่ำรวยกับน้องชายอย่างข้าหรือไม่ ?”
ซุนต้าหูฟังซุนต้าตงโม้ถึงการได้หน้าได้ตาของพี่ชายของเขาคนนั้น และสลัดบังเหียนเพื่อบังคับรถล่ออย่างเนิบ ๆ ไปด้วย เขาเป็นคนซื่อตรงและไม่ทะเยอทะยาน เขาคิดว่าแค่กินอิ่มมีเสื้อผ้าใส่ก็เพียงพอแล้ว
“ถ้าเงินหาได้ขนาดนั้น จะตกมาถึงคนธรรมดาอย่างพวกเราได้อย่างไร ?” ซุนต้าหูขับรถล่อไปด้วยและพูดด้วยความสงสัยไปด้วย “ต้าตง เหตุใดข้าฟังดูแล้วถึงรู้สึกว่ามันไม่ค่อยน่าเชื่อถือเลยเล่า ?”
ซุนต้าตงได้ยินดังนั้นเขาก็รู้สึกไม่พอใจทันที “พี่หู นี่พี่หมายความว่าอย่างไร ? ข้าเห็นว่าพี่เคยดูแลข้ามาก่อน พอมีช่องทางทำเงินข้าก็อยากลากพี่ไปทำเงินด้วยกัน เอาเถอะ พี่ไม่เต็มใจก็ไม่เป็นไรหรอก”
ซุนต้าหูยิ้มอย่างซื่อ ๆ และไม่ได้พูดอะไรอีก
ซุนต้าตงพูดพึมพำสองสามประโยคว่า “ดวงขับรถล่อไปตลอดชีวิต… สภาพแบบนี้ยังคิดจะแต่งเมียอีก… อยู่เป็นโสดตลอดชีวิตไปเถอะ” พูดเสร็จ เขาถึงจะเงียบลง
เจียงป่าวชิงที่นั่งอยู่ตรงหลังรถยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น เพียงแค่ฟังซุนต้าตงคนนี้บรรยายก็รู้แล้วว่ามันไม่น่าเชื่อถือแค่ไหน
ไม่มีแก่นสารที่แท้จริงกลับต้องการให้ซุนต้าตงลงทุนเงินอย่างเดียว เหตุใดดูแล้วถึงเหมือนเป็นการขาดทุนแบบวิธีตัดกุยช่ายเลยล่ะ แต่นางก็ไม่มีกะจิตกะใจไปสนใจธุระกงการของซุนต้าตง
‘เจ้าน่ะ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติก็พอแล้ว’ เจียงป่าวชิงคิดเช่นนั้น
……
เมื่อมาถึงที่อำเภอ เจียงป่าวชิงก็กระโดดลงจากรถ นางกำลังจะเดินจากไป แต่ป๋ายรุ่ยฮัวกลับเรียกนางไว้เสียก่อน “ป่าวชิง…”
เจียงป่าวชิงหยุดฝีเท้าลงก่อนหันกลับไปเลิกคิ้วใส่ป๋ายรุ่ยฮัว ซึ่งความหมายในท่าทางนี้ก็คือถ้าหากป๋ายรุ่ยฮัวมีอะไรก็ให้นางรีบพูดมาเร็ว ๆ
ป๋ายรุ่ยฮัวกัดริมฝีปากล่างเล็กน้อย “เจ้าสนิทกับหมอเกิ่งไม่ใช่รึ ? ข้า… เอ่อ ข้ากำลังคิดว่าหรือจะไปตรวจอาการที่ร้านยาของหมอเกิ่งดี ?”
ซุนต้าตงส่งเสียงอุทานเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ขยับเข้าไปใกล้และคิดจะโอบไหล่เจียงป่าวชิง “น้องป่าวชิง คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมีความสัมพันธ์เช่นนี้ด้วย”
เจียงป่าวชิงตีแขนของซุนต้าตงที่คิดจะโอบนางอย่างไม่เกรงใจแม้แต่นิดเดียว อันที่จริงซุนต้าตงคิดว่าคนโง่ที่ปัญญาอ่อนมาตั้งหลายปีที่เพิ่งหายดีจะมีแรงสักแค่ไหนกันเชียว เขาจึงไม่สนใจเรื่องแรงของเจียงป่าวชิง และจงใจหาจังหวะแต๊ะอั๋งนาง แต่ใครจะไปคิดว่าเมื่อนางตีลงมา มันจะเจ็บเสียจนเขาถึงกับต้องทำหน้าเหยเก “เจียงป่าวชิง! เจ้าเด็กบ้า เหตุใดถึงได้ลงมือโหดเหี้ยมขนาดนี้เล่า ?!”
เจียงป่าวชิงพูดอย่างเย็นชา “ถ้าเจ้าด่าอีก ข้าจะตบหน้าเจ้าด้วย”
ซุนต้าหูได้ยินเสียงเอะอะโวยวายทางนี้เขาจึงรีบมาดู เมื่อเห็นว่าเกิดการทะเลาะ เขาก็หน้าแดงด้วยความโกรธ “ซุนต้าตง ข้าขอเตือนเจ้าว่าอย่ารังแกป่าวชิง!”
ซุนต้าตงตะเบ็งเสียงพูดอย่างยากที่จะเชื่อสายตาตัวเอง “พี่ยังเป็นพี่ชายของข้าหรือเปล่า ? นี่ข้าถูกตีนะ พี่ตาบอดรึ ?”
ซุนต้าหูดึงซุนต้าตงแล้วตวาดขึ้นมาเสียงดัง “พอได้แล้ว ป่าวชิงไม่ใช่คนที่เป็นฝ่ายยั่วยุคนอื่นก่อน พฤติกรรมของเจ้าเป็นอย่างไรคิดว่าข้าไม่รู้รึ ?”
สีหน้าซับซ้อนปรากฏขึ้นมาในดวงตาของป๋ายรุ่ยฮัว ซุนต้าตงยังไม่ได้ตบเจียงป่าวชิงเลย ซุนต้าหูกลับปกป้องเจียงป่าวชิงด้วยความห่วงใยขนาดนั้น แล้วนางที่ถูกซุนต้าตงตบตีอยู่บ่อย ๆ ล่ะ ?
นางเป็นคนที่ไม่มีใครสงสารและสนใจเลยแม้แต่น้อย
ป๋ายรุ่ยฮัวก้มหน้าและพูดขึ้นอย่างอ่อนแอว่า “น้องป่าวชิง เหตุใดเจ้าต้องทำเช่นนั้นด้วย ? แม้ว่าเจ้าจะไม่เต็มใจให้หมอเกิ่งดูอาการให้ข้า แต่เจ้าก็ไม่ควรลงมือตีคนอื่นเช่นนี้นี่”
ซุนต้าหูได้ยิน เขาก็รู้สึกลังเลใจ
และเมื่อซุนต้าตงเห็นดังนั้นเขาก็ตวาดขึ้นเสียงดัง “ใช่ ๆ ๆ! ข้าว่าไอ้เจ้าเด็กบ้านี่จะต้องมีความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนกับหมอเกิ่งอะไรนั่นแน่ ถึงได้ไม่อยากให้เราไปที่นั่น นางคงกลัวว่าเราจะไปพบความสัมพันธ์ของพวกเขาล่ะสิท่า ถุย!”
ซุนต้าหูหน้าซีด
“เจ้ามันคนชาติชั่วชอบใส่ร้ายคน” เจียงป่าวชิงหัวเราะเยาะเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อว่า “หมอเกิ่งเป็นหมอในสถานที่ให้บริการรักษาโรค มันเป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องตรวจอาการให้ผู้คน พวกเจ้าถามข้าทำไม ? อยากไปตรวจอาการก็ไปสิ ทั้ง ๆ ที่ขาก็งอกอยู่บนร่างกายตัวเอง ข้าห้ามพวกเจ้าไว้รึก็เปล่า หรือว่าเดินเองไม่เป็น ? ใช่ว่าจะไม่รู้ทางสักหน่อย เมื่อก่อนยัง ‘เดินผ่านโดยบังเอิญ’ แล้วเห็นข้าพูดคุยเฮฮากับหมอเกิ่งอยู่เลยไม่ใช่รึ ?”
ป๋ายรุ่ยฮัวถูกเจียงป่าวชิงตอกกลับอย่างเจ็บแสบจนพูดไม่ออกเลยทีเดียว นางฝืนยิ้มแล้วดึงซุนต้าตงเบา ๆ “ต้าตง ช่างเถอะ เดิมทีข้าแค่อยากจะยืมน้ำใจของคนเพื่อทำให้มันง่ายขึ้นเท่านั้น เราไปกันเองก็ได้”
ซุนต้าตงถ่มน้ำลายลงพื้นอย่างโหดเหี้ยม จากนั้นเขาก็สะบัดแขนป๋ายรุ่ยฮัวด้วยความแค้นใจ และเดินนำเข้าไปในเมืองก่อน
ป๋ายรุ่ยฮัวชะงักไปทันที จากนั้นนางก็รีบตามเขาไป
ซุนต้าหูมองพวกเขาสองคนแล้วหันกลับมาพูดกล่อมเจียงป่าวชิง “น้องป่าวชิง เจ้าเองก็อย่าโกรธพวกเขาเลย พวกเขาสองคนอาจจะแค่อยากยืมน้ำใจของเจ้าก็เท่านั้นเอง”
“ยืมน้ำใจอย่างนั้นรึ ? เหอะ!” เจียงป่าวชิงพูดขึ้นนิ่ง ๆ “สิ่งที่เรียกว่าน้ำใจของคนมียืมมีคืนถึงจะได้บรรทัดฐาน พี่ต้าหูคิดว่าพวกเขาจะคืนอะไรข้าได้อีกล่ะเจ้าคะ ?”
เจียงป่าวชิงพูดเสริมในใจอีกหนึ่งประโยค ‘ข้าไม่ได้โกรธ ก็แค่ไอ้คนไร้ประโยชน์สองตัว ไม่ได้คู่ควรให้ข้าโกรธเลย’
ซุนต้าหูเกาศีรษะ “เฮ้อ… ข้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ถึงอย่างไรถ้าต้าตงมารังแกเจ้าอีก เจ้าบอกข้าเลย ข้าจะช่วยเจ้าจัดการเขาเอง”
เจียงป่าวชิงพูดขอบคุณ จากนั้นก็โบกมือและบอกลาซุนต้าหู เสร็จแล้วก็เข้าไปในอำเภออย่างช้า ๆ
แต่เจียงป่าวชิงกลับพบว่าจุดเก็บค่าผ่านทางตรงประตูเมืองของอำเภอฉือเจียได้หายไปแล้ว ด้านข้างนางไม่ไกลมีคนเดินผ่านไปและกำลังวิจารณ์เรื่องนี้อยู่พอดี
“โย! เหตุใดถึงไม่เห็นทหารเก็บค่าผ่านทางแล้วล่ะ ?”
“ฮาย! เจ้ายังไม่รู้อีกหรือว่าขุนนางอำเภอฉือหมดอำนาจแล้ว ? ขุนนางอำเภอที่เข้าดำรงตำแหน่งคนใหม่บอกว่านี่เป็นการใช้อำนาจรังแกประชาชน และเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของเมือง เขาจึงยกเลิกไปแล้ว”
“ไอ้โย! ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เลวเลย”
“ใช่!”
เสียงของทั้งสองคนไปไกลเรื่อย ๆ
เจียงป่าวชิงครุ่นคิดเล็กน้อย ดูเหมือนว่าท่านหลิวคนนั้นจะน่าเชื่อถืออยู่พอสมควร เขาไม่เพียงแต่จับตัวซุนจงอี้ที่ไม่จงรักภักดีและไม่ชอบธรรมแล้ว อีกทั้งยังไม่ปล่อยลูกสมุนที่ชอบเลียแข้งเลียขาของซุนจงอี้อีกด้วย
นี่สิถึงจะถูกต้องตามทำนองคลองธรรม
เจียงป่าวชิงเข้าไปเดินรอบ ๆ เมืองก็พบว่ามีรอยยิ้มที่ส่งออกมาจากในใจประดับอยู่บนใบหน้าของพวกพ่อค้าแผงลอย เสียงร้องขายของของพวกเขาก็เต็มไปด้วยพลังเช่นกัน
ที่แท้ หลังจากที่ขุนนางอำเภอฉือคนนี้หมดอำนาจแล้ว เงินภาษีและเงินบริจาคต่าง ๆ ที่เขาตั้งขึ้นโดยส่วนตัวก็ถูกยกเลิกไปจนเกือบหมดแล้วเช่นกัน
ภาษีน้อยลง รายได้มากขึ้น ชีวิตก็จะดีขึ้น และเมื่อชีวิตดีขึ้นก็จะยิ่งมีความหวังข้างหน้ามากขึ้น
.