ตอนที่ 137 เบื้องหลังกู้ซีฉือมีสุดยอดบิ๊กบอส

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

สวีเหยากวงล้วงกุญแจออกมาเตรียมจะเปิดประตู พอได้ยินคำถามของเฉียวเซิง ก็หยุดชะงัก

 

 

ไม่ตอบ เพียงแค่ย้อนถามว่า “นายเป็นแฟนคลับหยางเฟยตอนไหน”

 

 

“ในการแข่งขันชิงแชมป์ฤดูหนาว ในสถานการณ์ที่ 0 ต่อ 4 คน ลูกทีมตายไปแล้วสี่คน ทั้งสมาชิกทีมกับโค้ชก็ถอดใจแล้ว เขากลับบุกเข้าไปในโซนที่ฝั่งตรงข้ามปิดล้อมไว้ห้าคนตัวคนเดียว ใช้การ์ดตัวละครหนี่วาชุบชีวิตอี้จี้หมิง! คว้าแชมป์ครั้งแรกให้กับทีม OST!” เมื่อพูดถึงการแข่งขันครั้งนั้น จนถึงตอนนี้เฉียวเซิงก็ยังตื่นเต้น

 

 

มันเป็นการแข่งขันสร้างชื่อของ OST และเป็นแชมป์แรกของการแข่งขันเอเชียนคัพที่พวกเขาคว้ากลับมาได้อีกด้วย

 

 

หลังแข่งขันเสร็จ ก็ออกข่าวทันที ตอนนั้นการเผยแพร่ภาพสดยังไม่กระจายไปทั่วอย่างตอนนี้ แฟนคลับของเกมท่องยุทธภพต่างก็ชมการแพร่ภาพสดในเพจออฟฟิเชียลกันทั้งนั้น

 

 

ในการแข่งขันนี้ได้สร้างทั้งเอกลักษณ์ของ OST และความทรงพลังของพวกเขาเอง

 

 

แม้ชาวเน็ตจะหยอกล้อหยางเฟยว่าที่เขาโด่งดังเป็นเพราะใบหน้าของเขา

 

 

แต่ต่อให้เป็นแอนตี้แฟน ก็ไม่เคยดูถูกความสามารถของเขา

 

 

“ทางออฟฟิเชียลให้แค่การ์ดธรรมดา มีคนทีมใหญ่ๆ พวกนั้นที่มีการ์ดระดับเทพของตัวเองได้ การ์ดหนี่วาใบนั้นเป็นการ์ดเทพใบแรกที่มีในประเทศ ฆ่าจนพวกเขาตั้งตัวไม่ทันเลยสักคน ตอนนี้มีแค่สมาชิกทีม OST เท่านั้นที่มี ทีมอื่นทำได้แค่ซื้อกับพวกเขา!” เฉียวเซิงพูดด้วยเสียงที่สะกดกลั้นความตื่นเต้น

 

 

“การแข่งขันชิงแชมป์ฤดูหนาวเหรอ” สวีเหยากวงพยักหน้า เขาเปิดประตู เงียบไปพักใหญ่แล้วหันหน้า มองเฉียวเซิง “แล้วนายรู้ไหมว่าใครเป็นคนสร้างการ์ดตัวละครหนี่วาขึ้นมา”

 

 

เฉียวเซิงนิ่งไป เรื่องนั้นเขาไม่รู้จริงๆ ด้วย

 

 

แม้เมื่อก่อนเขาจะชอบเล่นเกมท่องยุทธภพ แต่ก็แค่เล่นเกม เมื่อสามปีก่อนเขายังไม่รู้จัก OST ทีมในประเทศไม่เคยออกอากาศ

 

 

จนกระทั่งการแข่งขันสร้างชื่อครั้งนั้น แฟนคลับเกมท่องยุทธภพทั้งหมดต่างก็รู้แล้วว่ามีจอมปีศาจเทพพระอาทิตย์ มีทีมขั้นเทพอย่าง OST อยู่

 

 

“เป็นสมาชิกทีม OST เหมือนกัน นายไปดูกระทู้ยอดนิยมเมื่อก่อนของเกมท่องยุทธภพ น่าจะพอเจอเบาะแสอยู่บ้าง” สวีเหยากวงเข้าไป ก้มหน้าก้มตา น้ำเสียงอ่อนโยนเช่นที่ผ่านมา

 

 

หากมากกว่านี้ เขาไม่พูดดีกว่า

 

 

 

 

ใครเป็นผู้สร้างการ์ดเทพใบนั้น คำถามนี้เฉียวเซิงไม่เคยคิดถึงมาก่อนเลยจริงๆ

 

 

เขาครุ่นคิดพลางกลับมาที่ห้องพักตัวเอง

 

 

สกุลเฉียวซื้อคอนโดมิเนียมชุดใกล้โรงเรียนให้เฉียวเซิง ที่นั่นมีแม่บ้านด้วย เขามีห้องพักในโรงเรียน เพราะเป็นหอพักคู่ เขาเลยมาที่นี่ไม่บ่อย

 

 

“เฉียวเซิง เร็ว รีบวางบัตรลง”

 

 

เหอเหวินหยิบผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้าจะไปอาบน้ำ พอเห็นเขากลับมา ก็รีบใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดโต๊ะของตัวเอง

 

 

ท่าทางนอบน้อมให้เฉียวเซิงวางกล่องเก็บบัตรเข้างาน

 

 

เฉียวเซิงวางกล่องลงอย่างระมัดระวัง “ขอยืมคอมของนายหน่อยสิ”

 

 

เหอเหวินยืนอยู่ข้างโต๊ะ มองบัตรแวบหนึ่งแล้วค่อยวางผ้าขนหนูพาดบ่า เข้าไปอาบน้ำ

 

 

พูดเสียงอู้อี้ว่า “ใช้เลย รหัส 123123”

 

 

นักเรียนเกือบ 90% มีเกมท่องยุทธภพอยู่ในคอมเกือบทุกคน

 

 

เฉียวเซิงเข้าเว็บไซต์ออฟฟิเชียล ค้นหากระทู้ของเว็บไซต์ ส่วนใหญ่จะพูดถึงเรื่องการแข่งขันที่อวิ๋นเฉิงในวันพรุ่งนี้

 

 

ตลอดระยะเวลาหลายปี กระทู้ของเว็บไซต์ก็มีไม่น้อยเลย

 

 

เฉียวเซิงไล่ดูทีละหน้า เหอเหวินอาบน้ำเสร็จออกมาแล้ว เขาก็ยังหาไม่เจอ

 

 

ผลการเรียนของเหอเหวินไม่โดดเด่น โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์ อยู่ในสามอันดับรั้งท้ายทุกครั้ง ต้องเล่นเกมทุกคืน

 

 

คืนนี้เขาเองก็ไม่ใจร้อน นั่งมองกล่องใส่บัตรเข้างานอยู่อีกด้านหนึ่ง ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ

 

 

จนกระทั่งเวลาเที่ยงคืน เฉียวเซิงถึงได้เจอกระทู้หนึ่ง

 

 

‘แฟนคลับยุคแรกของ OST ใครจำสมาชิกรุ่นแรกได้บ้าง’

 

 

ความเห็นที่ 1 ‘แฟนคลับรุ่นแรกบอกว่ามีคนบางคนถอนตัวก่อนการแข่งขันชิงแชมป์ฤดูหนาวเมื่อสามปีก่อน เจ็บปวดมาก ไม่กล้านึกถึง o(╥﹏╥)o’

 

 

ความเห็นที่ 2 ‘อย่าพูดเลย ร้องไห้แล้ว’

 

 

 

 

ความคิดเห็นที่ n ‘คำพูดที่เจ็บปวดที่สุดไม่ใช่คำพูดของเทพพระอาทิตย์เหรอ เขาบอกว่าเขาจะพาการ์ดหนี่วาฝูซีกับพระเจ้าเหยาทั้งสามใบไปสู่ระดับโลก’

 

 

ความเห็นที่ n+1 ‘กริ๊ดดดด เขาทำได้แล้วจริงๆ!’

 

 

 

 

กระทู้นี้ยาวมาก เพราะตอนนี้สมาชิกรุ่นแรกเหลือแค่หยางเฟยกับอี้จี้หมิง ฉะนั้นกระทู้เกี่ยวกับสมาชิกเก่าจึงไม่เป็นที่นิยม

 

 

แต่ความคิดเห็นข้างล่างก็ยังเยอะมากอยู่ดี แถมยังถูกแอดมินปักหมุดเสียด้วย

 

 

เฉียวเซิงเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าสามการ์ดเทพของทีม OST ถูกสร้างขึ้นจากคนคนเดียวกัน ไม่ใช่ฝีมือของทีมเฉพาะอย่างอวิ๋นกวงกรุ๊ป

 

 

เฉียวเซิงพิงเก้าอี้ จิตใจว้าวุ่น ผ่านไปนานก็ยังไม่ตื่นจากภวังค์

 

 

 

 

ณ หอพักหญิง

 

 

ฉินหร่านดึงผ้าม่านกั้นเตียง ข้างในมีโคมไฟสลัวมากอยู่อันหนึ่ง

 

 

เธอกำลังนั่งขัดสมาธิ อ่านหนังสือเล่มหนึ่งอย่างสบายๆ

 

 

ห่างจากเท้าห้าเซนติเมตร มือถือสีดำยังคงสว่างอยู่

 

 

ฉินหร่านพลิกกระดาษอีกหนึ่งหน้า

 

 

มือถือดื้อรั้นอย่างยิ่ง เริ่มสั่นอีกแล้ว

 

 

มือหนึ่งของฉินหร่านเท้าคาง อีกมือถือหนังสือ ไม่เงยหน้ามองด้วยซ้ำ น้ำเสียงรังเกียจ “ไม่มีประโยชน์ หาเองแล้วยังไม่ยอมแพ้อีกเหรอ”

 

 

มือถือสว่างอย่างดื้อดึงอีกครู่หนึ่ง เมื่อเห็นฉินหร่านไม่สนใจตัวเองเลยแม้แต่นิด มันจึงมืดลง

 

 

ตีหนึ่ง

 

 

มือถือที่เธอวางอยู่อีกมุมหนึ่งดังขึ้น เป็นสายจากกู้ซีฉือ

 

 

บริเวณรอบตัวเขามืดมาก จู่ๆ ใบหน้าใบหนึ่งก็ขยายใหญ่ขึ้นกะทันหัน “จู่ๆ ก็มีหมาฝูงหนึ่งหาที่อยู่ของฉันเจอ! ที่รัก ฝีมือของเธอไม่ได้ผลนี่นา ช่วงก่อนยังเงียบสงบอยู่เลย จู่ๆ ช่วงนี้ก็หาฉันเจอซะงั้น”

 

 

น่าจะยังอยู่บนรถ เขาสวมหูฟัง ปากคาบบุหรี่ เสียงก็ไม่ค่อยชัดเจนมากนัก

 

 

ฉินหร่านลงจากเตียงและเปิดประตู เดินไปตรงสุดทางเดิน ข้างๆ เป็นห้องที่ใช้เก็บอุปกรณ์ทำความสะอาด

 

 

เธอใส่หูฟัง พูดเสียงเบาและเชื่องช้า “เป็นไปไม่ได้”

 

 

“บอกแล้วว่าฝีมือเธอไม่เข้าขั้น เธอน่าจะไปร่วมมือกับสมาคมแฮ็กเกอร์ ตามเทรนด์ให้ทัน ฉันไปให้คนของสมาคมแฮ็กเกอร์จัดการให้แล้ว” กู้ซีฉือมองกระจกมองหลังแวบหนึ่ง พูดอย่างรีบร้อนว่า “ฉันขอซ่อนตัวสักสองสามวันค่อยกลับประเทศ ไม่คุยแล้วนะ ต้องวางแล้ว”

 

 

เขายกเลิกการเชื่อมต่อวิดีโอคอล

 

 

ฉินหร่านกลับมองหน้าจอมือถืออย่างครุ่นคิด กลับห้องพักแล้วหยิบสมุดบันทึกของตัวเองวางลงบนโต๊ะ เทน้ำแก้วหนึ่งให้ตัวเอง

 

 

หลินซือหรานงัวเงียลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำกลางดึก ก็เห็นแสงสว่างเพียงน้อยนิดในความมืด

 

 

ฉินหร่านนั่งอยู่หน้าโต๊ะ มือวางอยู่บนแป้นพิมพ์ของโน้ตบุ๊ก มันดูขาวซีดนิดหน่อย

 

 

ใบหน้าเย็นชาใต้แสงไฟ เมื่อเทียบกับเวลาปกติของเธอมันไม่ยี่หระน้อยลง มีความจริงจังเพิ่มมา

 

 

“หรานหร่าน” หลินซือหรานขยี้ตา เห็นตัวเลขมากมายกลายเป็นหน้าจอเกมในพริบตา “ดึกป่านนี้แล้วยังเล่นเกมอยู่เหรอ”

 

 

เธอกะพริบตา คิดว่าอาจเป็นเพราะตัวเองเพิ่งตื่นนอน สายตายังไม่ชัดเจน

 

 

“อืม” ฉินหร่านจิบน้ำคำหนึ่ง ตอบอย่างนิ่งเฉย

 

 

เกมท่องยุทธภพเป็นที่นิยมมาก หลินซือหรานเคยเห็นผู้ชายในห้องเล่น

 

 

แต่ช่วงนี้เพราะเรื่องของเมิ่งซินหราน เธอเองก็ทำความเข้าใจบ้างนิดหน่อย แต่ดาวน์โหลดเกมมาด้วยการยุของเฉียวเซิง

 

 

“นี่การ์ดอะไรน่ะ สวยจังเลย!” เคยมีคนบอกว่า ผู้หญิงไม่ว่าจะเล่นเกมอะไรก็ทำให้เป็นเกมแต่งตัวได้

 

 

ฉินหร่านมองหน้าจอเงียบๆ แล้วนิ่งไป จากนั้นก็พูดว่า “หนี่วา”

 

 

“ทำไมฉันถึงมีแค่ผู้ชายน่าเกลียดๆ ห้าคนเองล่ะ” จู่ๆ หลินซือหรานก็ได้สติ

 

 

“อ๋อ ห้าคนนั้นมีอยู่แล้วในระบบ” ฉินหร่านเคลียร์ดันเจี้ยน ไม่สนใจอะไร “เธอชอบเหรอ ไว้อีกสองสามวันฉันจะส่งให้เธอ”

 

 

“ที่แท้การ์ดก็ส่งให้กันได้นี่เอง ดีเลย!” หลินซือหรานตื่นเต้นอยู่ครู่เดียว จากนั้นก็ไปเข้าห้องแล้วขึ้นเตียงนอนหลับ

 

 

ผ่านไปสองนาที ลมหายใจสม่ำเสมอของหลินซือหรานแว่วมา

 

 

ฉินหร่านเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง นิ้วเรียวขยับนิดหน่อย จากนั้นสลับหน้าจออย่างรวดเร็ว

 

 

 

 

ในขณะเดียวกัน

 

 

ต่างประเทศ

 

 

กู้ซีฉือคาบบุหรี่ สบถด่า เขาขับรถเปลี่ยนโรงแรม

 

 

เขาไม่ได้ตั้งใจจะอยู่โรงแรมนี้นานมากนัก หยุดอยู่ห้านาที เขาเตรียมจะทิ้งรถเดินไปที่โรงแรมอีกแห่ง

 

 

แต่ทว่า ตอนที่เขารูดบัตรประชาชน

 

 

สาวสวยหน้าฟรอนต์ก็ยิ้ม ใช้ภาษา F ท้องถิ่นถามเขาว่า “คุณหลี่ เหลือแค่ห้องสแตนดาร์ด…”

 

 

กู้ซีฉือยืนพิงฟรอนต์ กวาดสายตามองรอบๆ พยักหน้าอย่างขอไปที

 

 

พอสาวสวยคนนั้นถามจบ เขาถึงได้ขยับมือ หยิบบัตรประชาชนของตัวเองกลับมา ข้างบนเขียนไว้ว่า ‘กู้ซีฉือ’ ไม่ผิด

 

 

แต่ทำไมชื่อภาษาอังกฤษถึงได้กลายเป็นหลี่ต้าจ้วงไปได้ล่ะ

 

 

เขาไปที่ห้องตัวเองด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่ได้ไปทันที รออยู่หนึ่งชั่วโมง ก็ไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติอะไรเกิดขึ้น

 

 

ถูกตามล่ามาหลายวัน ในที่สุดกู้ซีฉือก็โล่งใจได้สักที

 

 

ชงกาแฟให้ตัวเองถ้วยหนึ่งก่อน

 

 

จากนั้นเอนตัวลงบนโซฟา มือหยิบมือถือขึ้นมาอย่างอ่อนแรง

 

 

กดเปิดวีแชท หารูปโปรไฟล์ของฉินหร่าน ไม่ได้กดโทร.หรือวิดีโอคอล กดส่งข้อความออกไปโดยตรง

 

 

‘เธอใช้ไม่ได้เลยที่รัก ความเร็วของสมาคมแฮ็กเกอร์ใช้ได้จริงๆ ด้วย ฉันหนีการตามล่าได้แล้ว รอฉันเสร็จธุระแล้วจะกลับมา!’

 

 

ฉินหร่านที่ได้รับข้อความฉบับนี้ปิดโน้ตบุ๊ก จากนั้นอ่านหนังสืออีกหลายหน้า ขณะที่เตรียมตัวกำลังจะนอน

 

 

ก็อ่านข้อความของกู้ซีฉือ

 

 

ฉินหร่านหรี่ตา จากนั้นก็พิมพ์ตอบกลับไปด้วยความรังเกียจอย่างมาก ‘ไอ้งั่ง’

 

 

 

 

ทางด้านเมืองหลวง

 

 

คืนนี้เจียงตงเยี่ยก็ยุ่งมากเช่นกัน

 

 

เขานั่งอยู่ในห้องทำงาน ข้างๆ มือมีกาแฟถ้วยหนึ่งวางอยู่ เสียงโทรศัพท์ห้องทำงานดังขึ้น เขาจึงรีบรับสายทันที

 

 

“สัญญาณขาดไปอีกแล้วเหรอ” เจียงตงเยี่ยวางถ้วยกาแฟลงแล้วหรี่ตา “พวกคุณบอกว่าใกล้จะได้ตัวแล้วไม่ใช่เหรอ”

 

 

ทางนั้นตอบมาประโยคหนึ่ง

 

 

เจียงตงเยี่ยลุกขึ้น ยืนอยู่ข้างบานหน้าต่าง มองวิวกลางคืนของเมืองปักกิ่ง สุดท้ายก็ถอนหายใจยาว “แกไม่รับโอกาสไว้ ครั้งนี้ท่านเจวี้ยนอาจจะไม่ลงมือให้เบาะแสพวกเราอีกแล้วก็ได้”

 

 

ผ่านไปครู่ใหญ่ เจียงตงเยี่ยก็ก้มหน้าจัดปกเสื้อ “รอสิ้นเดือนแล้วกัน งานแซยิดของผู้เฒ่า ท่านเจวี้ยนน่าจะกลับมา ฉันค่อยคุยกับเขาต่อหน้า”

 

 

เขากดตัดสาย ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วโทร.หาลู่จ้าวอิ่ง

 

 

โทร.หาต่อกันถึงสามสาย

 

 

เพิ่งหลับสนิทก็ถูกคนรบกวน การตอบโต้ที่จริงแท้ที่สุดที่ลู่จ้าวอิ่งมีให้เขาก็คือบล็อกเขา

 

 

 

 

วันต่อมา วันเสาร์

 

 

วันนี้ไม่มีเรียน มีแค่คาบเรียนด้วยตัวเอง

 

 

แต่เช้า นักเรียนห้องเก้ามาไม่ครบ

 

 

ฉินหร่านก็ไม่เข้าคาบเรียนด้วยตัวเองเหมือนกัน ห้องพยาบาลก็ไม่มีใคร เธอไปหาลู่จ้าวอิ่งที่คฤหาสน์ในเมืองของเฉิงเจวี้ยนโดยตรง

 

 

เมื่อคืนลู่จ้าวอิ่งก็ตื่นเต้นมาทั้งคืน เพิ่งนอนหลับตอนตีหนึ่งตีสอง ตอนเช้าจึงตื่นสาย

 

 

ตอนที่ฉินหร่านมาถึง มีแค่เฉิงเจวี้ยนที่นั่งอยู่ข้างบานหน้าต่าง กำลังอ่านหนังสืออยู่หน้าดอกไม้กองหนึ่ง

 

 

แพขนตาลู่ลงน้อยๆ นิ้วมือพลิกกระดาษอย่างสบายๆ

 

 

ฉินหร่านเหลือบมองไปครู่หนึ่ง

 

 

เป็นหนังสือที่เริ่มเหลืองแล้ว

 

 

…ข้างบนมีอักษรภาพเป็นกอบเป็นกำ

 

 

“ผู้บัญชาการเฉียนมีธุระกับเธอเหรอ” หางตาเห็นฉินหร่าน มือของเขานิ่งไป เอนตัวพิงข้างหลังอย่างเกียจคร้าน ชี้ไปฝั่งตรงข้ามให้เธอนั่งลง

 

 

พ่อบ้านเฉิงยกชาสองถ้วยเข้ามา

 

 

ของเฉิงเจวี้ยนเข้มมาก

 

 

ของฉินหร่านจางจนเห็นสีชาจางๆ

 

 

ฉินหร่านพบว่าโซฟาของบ้านเฉิงเจวี้ยนนุ่มสบายอย่างมาก เธอยกถ้วยชาขึ้น “มาหาลู่จ้าวอิ่ง”

 

 

ขณะที่กำลังพูด ลู่จ้าวอิ่งก็ลงมาจากชั้นบน ท่าทางเหมือนกำลังคุยโทรศัพท์กับใครอยู่

 

 

“หนีไปได้อีกแล้วเหรอ งั้นคุณก็ช่วยตัวเองไปเถอะ ผมไม่กล้าถามแล้ว” เขากดตัดสายขณะที่พูด เดินมาทางทั้งคู่ “ฉินเสี่ยวหร่าน มาเช้าขนาดนี้เชียวเหรอ”

 

 

พ่อบ้านเฉิงยกอาหารเช้ามาให้เขา

 

 

“เจียงตงเยี่ยน่ะ” ลู่จ้าวอิ่งดื่มน้ำผลไม้คำหนึ่ง “เขาถูกคนตัดหน้า จับตัวไม่ได้ ให้ฉันมาถามนาย”

 

 

เขามองเฉิงเจวี้ยนแวบหนึ่ง

 

 

มือของเฉิงเจวี้ยนวางอยู่ตรงขอบโต๊ะ หรี่ตา พูดเสียงเรียบเฉย “ถามฉันจะมีประโยชน์อะไร”

 

 

ลู่จ้าวอิ่ง “…”

 

 

พ่อบ้านเฉิงเสิร์ฟไข่ดาวไม่สุกให้ลู่จ้าวอิ่ง เห็นทั้งสองคนคุยกันไม่เลี่ยงฉินหร่านเลยสักนิด

 

 

ก็อดมองฉินหร่านหลายทีไม่ได้

 

 

“ไม่สิ เบื้องหลังของกู้ซีฉือต้องมีบิ๊กบอสคอยคุ้มกะลาหัวแน่นอน” ลู่จ้าวอิ่งกัดไข่ดาว พูดนิ่งๆ ว่า “แต่ไม่รู้ว่าเป็นใครนี่แหละ”

 

 

มือของฉินหร่านนิ่งไป

 

 

พอลู่จ้าวอิ่งกินไข่ดาวหมดแล้ว ก็มองฉินหร่าน “เจียงตงเยี่ยเป็นเพื่อนกับฉันมาตั้งแต่เด็ก เป็นหมอเหมือนกัน มหาลัยพวกเราสามคนเรียนแพทย์หมดเลย แต่ตอนนี้เขากำลังถูกบังคับให้รับช่วงต่อบริษัท”

 

 

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ลู่จ้าวอิ่งก็เหลือบมองเฉิงเจวี้ยน

 

 

เฉิงเจวี้ยนกำลังพลิกหนังสืออย่างผ่อนคลาย

 

 

ลู่จ้าวอิ่งหัวเราะ มือวางอยู่ข้างถ้วย เงยหน้าขึ้น “ถ้าไปเมืองหลวง ฉันจะพาเธอไปเจอเขา ตอนนี้เขาชอบเธอมาก อยากมาที่อวิ๋นเฉิงแต่ถูกท่านเจวี้ยนห้ามไว้”

 

 

พ่อบ้านเฉิงมองฉินหร่านอีกครั้ง สีหน้าเคร่งขรึม

 

 

“แล้วก็ กู้ซีฉือคนนั้น…” ลู่จ้าวอิ่งเดาะลิ้น “เป็นผู้มีอิทธิพลเหมือนกัน ไม่พูดกับเธอแล้ว ฉันก็ไม่รู้ข้อมูลละเอียดของเขาเหมือนกัน พูดไปเธอก็ไม่รู้จัก จริงสิ เธอมาแต่เช้าทำไม”

 

 

“…อ้อ” ฉินหร่านเบนสายตา นิ่งไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าจะพูดด้วยน้ำเสียงแบบไหน “เอาของมาให้นาย”

 

 

“ของอะไรน่ะ” ลู่จ้าวอิ่งเงยหน้าขึ้นอย่างแปลกใจ

 

 

ฉินหร่านล้วงในกระเป๋าอย่างเชื่องช้าอยู่นาน กว่าจะล้วงของที่บางมากคล้ายโบรชัวร์ออกมา