บทที่ 135 ข้าขอมอบดอกเบญจมาศให้ท่านเซียน

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน

บทที่ 135 ข้าขอมอบดอกเบญจมาศให้ท่านเซียน
เดิมทีผู้มีวาสนาคนนั้นจะไปขอบคุณเสิ่นเทียน ก่อนจะเอาโชคลิขิตกลับบ้านไปฝึกฝนอย่างสบายใจ แต่เมื่อได้ฟังเรื่องราวที่หลิวไท่อี่เล่าให้ฟังแล้วเขาก็เข้าใจในทันที

ระดับจิตใจเขาสูงขึ้นเพราะหลิวไท่อี่

สหายท่านนี้พูดถูกต้องที่สุด!

ท่านเซียนมีคุณธรรมสูงส่งองอาจห้าวหาญ แม้จะสวมหน้ากาก ในตัวก็ยังแผ่กระจายเสน่ห์น่าประหลาด มีเอกลักษณ์เช่นนี้ได้ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนสูงส่งนอกโลก

มิหนำซ้ำ แม้แต่ศิษย์อัจฉริยะของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์พวกนั้นยังแย่งกันมาประจบอยู่ข้างท่านเซียน จากตรงนี้จะเห็นว่าความสามารถของท่านเซียนเหนือชั้นอย่างยิ่ง มากพอจะสร้างความตกตะลึงกับโลก!

คนอื่นเขาขอเทพไหว้พระก็ไม่แน่ว่าจะศักดิ์สิทธิ์เลย ทั้งยังต้องถวายเงินค่าธูปที่มากพออีก แต่ตอนนี้ท่านเซียนช่วยข้าหาสมบัติเจอเจอะเช่นนี้ หากข้าเอาสมบัติไปเลย ไม่แสดงออกอะไรสักนิด นั่นคงจะเสียมารยาทเกินไปหน่อย

และที่สำคัญที่สุดคือมันเป็นอย่างที่สหายหลิวว่าไว้ วันนี้เจ้าไม่แบ่งโชคลิขิต วันหน้าก็จะไม่มีโชควาสนาของเจ้า!

จะกินโชคลิขิตครั้งนี้คนเดียวหรือแสดงความจริงใจที่มากพอแล้วจากนี้ผูกวาสนากับท่านเซียนต่อ

การเลือกนี้ สำหรับคนที่มีสติปัญญาแล้วเลือกไม่ยากเลย

เมื่อนึกถึงตรงนี้ ผู้มีวาสนาคนนั้นพลันรีบเดินไปหน้าแผงลอยของเสิ่นเทียน ถุงเก็บของโกโรโกโสในมือเขาเปล่งแสงสายหนึ่ง ก่อนดอกเบญจมาศวิญญาณครองคู่หลายสิบดอกจะพากันร่วงมา

ผู้มีวาสนาคนนั้นโค้งตัวให้เสิ่นเทียนด้วยความจริงใจ “ท่านเซียนชี้แนะโชคลิขิตให้ข้า ข้าซาบซึ้งใจยิ่งนัก ข้าได้ฟังสหายหลิวอธิบายมาแล้ว ท่านเซียนมีคุณธรรมสูงส่งไม่ขอสิ่งตอบแทน แต่ข้าจะให้ท่านเซียนเหนื่อยเปล่ามิได้

ผลที่ผู้เยาว์ได้มาจากที่ท่านเซียนชี้แนะคือดอกเบญจมาศวิญญาณครองคู่เก้าสิบหกดอก ข้ายินดีจะมอบให้ท่านเซียนครึ่งหนึ่ง”

เสิ่นเทียนมองดอกเบญจมาศวิญญาณครองคู่ที่ผู้มีวาสนาเทบนโต๊ะแล้วก็พูดด้วยความจนปัญญา “ไฉนต้องลำบากด้วย”

เบญจมาศวิญญาณครองคู่เป็นพืชที่มีฤทธิ์ยาหลอนและชาค่อนข้างอ่อน ใช้หลอม ‘ยาน้ำพลอดรักยืนยาว’ ได้

ปัญหาคือยาชนิดนี้ใช้สำหรับคู่รักที่ชีวิตคู่สั่นคลอน เจ้าให้ข้ามาเยอะเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน

เมื่อนึกถึงตรงนี้ ใบหน้าเสิ่นเทียนใต้หน้ากากดำมืดแล้ว เขาเอ่ยนิ่งๆ ว่า “ข้าไม่ต้องการเบญจมาศวิญญาณพวกนี้”

ผู้มีวาสนาคนนั้นมองไม่เห็นใบหน้าเสิ่นเทียนก็คิดว่าเขากำลังบ่ายเบี่ยง “ท่านเซียนไม่ต้องเกรงใจ ถ้าไม่ได้ท่านเซียนชี้ทางให้ ข้าคงไม่มีทางได้ดอกเบญจมาศวิญญาณเยอะขนาดนี้ นี่เป็นสิ่งที่ท่านควรได้”

เสิ่นเทียนหน้าดำมืดยิ่งกว่าเดิม เขาสงสัยว่าเจ้านี่กำลังดูถูกตน “ข้าไม่ต้องการจริงๆ”

ผู้มีวาสนาคนนั้นพูดโน้มน้าว “ท่านเซียน น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ เอง ท่านไม่ต้องเกรงใจ”

เสิ่นเทียนอยากจะร้องไห้

พูดให้ชัด ใครเขาเกรงใจกัน

ข้าต้องการสิ่งนี้หรือ

เจ้าเล่นตลกแล้ว!

……

“ช่างเถอะ ในเมื่อเป็นน้ำใจจากเจ้า ข้าก็จะรับไว้”

เสิ่นเทียนเก็บเบญจมาศวิญญาณครึ่งหนึ่งเข้าแหวนเวหาอย่างเย็นชา คิดว่าจากนี้จะหาโอกาสขายทิ้ง

ผู้มีวาสนาคนนั้นถอนหายใจโล่งอก ถือว่าได้มอบเบญจมาศวิญญาณพวกนี้ให้ท่านเซียนตามที่สหายหลิวแนะนำแล้ว

ตามคำอธิบายของสหายหลิว แบบนี้น่าจะผูกชะตาต่อสำเร็จ ได้กอดต้นขาท่านเซียนต่อแล้ว!

เมื่อนึกถึงตรงนี้เขาก็ถามเสิ่นเทียนอย่างเฝ้ารอคอย “ท่านเซียน ช่วยชี้แนะแนวทางต่อไปได้หรือไม่”

พอได้ฟังผู้มีวาสนาถาม เสิ่นเทียนก็มองหมอกวิญญาณที่หมุนม้วนอยู่ไกลๆ ก่อนจะมองเหนือศีรษะเขาอีกที ตอนแรกผู้มีวาสนาคนนี้มีวงรัศมีสีเขียวอ่อน แต่เมื่อได้รับโชคลิขิตจากการชี้แนะของเสิ่นเทียน ทำให้ยกระดับเป็นสีเขียวเข้มแล้ว

ดวงชะตาระดับนี้ เสิ่นเทียนไม่คิดว่าให้อยู่ในเมืองเล็กหมอกลับแลจะเป็นทางเลือกที่ฉลาดนัก

ก่อนมองเบญจมาศวิญญาณครองคู่ที่เจ้านี่ให้มา ถึงประโยชน์ของดอกไม้นี่จะทำให้เขาปวดไข่ อีกทั้งเขายังรู้ว่าเจ้านี่ให้เบญจมาศมามีเป้าหมายไม่บริสุทธิ์ใจ แต่ต้องบอกว่าเขาใจอ่อนแล้ว

ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเด็กหนุ่มสามดี[1]ที่ได้รับการศึกษาในด้านคุณธรรมจริยธรรมมา

เมื่อคิดได้ดังนั้นเสิ่นเทียนก็มองผู้มีวาสนาคนนั้นอย่างเย็นชา “เจ้าอยากฟังจริงๆ รึ”

ผู้มีวาสนาคนนั้นตาเป็นประกายก่อนรีบพูด “ขอให้ท่านเซียนชี้แนะด้วย ข้าจะตั้งใจฟังอย่างดีเลย”

เสิ่นเทียนถอนหายใจ “ช่างเถอะ ข้าก็เสี่ยงโดนสวรรค์แว้งกัดเผยความลับสวรรค์ไปเสี้ยวหนึ่งแล้ว เจ้า ตั้งใจฟังให้ดี”

ผู้มีวาสนาคนนั้นรีบตั้งหูขึ้น ดวงตาเต็มไปด้วยความเฝ้ารอคอย

เสิ่นเทียนกล่าว “จงอย่างแสวงหาอำนาจมากเกินไป จงอย่ารับโชควาสนามากเกินไป โชคชะตาของเจ้ายังอ่อน ได้โชคลิขิตนี้ก็เพียงพอแล้ว ถ้าใจละโมบไม่รู้จักพอ ตามหาสมบัติในที่ราบหมอกลับแลต่อ อาจจะเจอกับหายนะ ที่นี่อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ถ้าเจ้าเชื่อข้า เก็บเบญจมาศแล้วก็ไปเสียเถอะ!”

เสิ่นเทียนพูดจบก็เห็นว่าผู้มีวาสนาคนนั้นหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย

ท่านเซียนบอกว่าโชคชะตาของข้ายังอ่อน มันหมายความว่าอย่างไรกัน

หรือว่าข้าให้เบญจมาศท่านเซียนไม่พอหรือ

หรือว่าคุณภาพของเบญจมาศพวกนั้นยังไม่ดีพอหรือ

ต้องบอกว่าผู้มีวาสนาหนุ่มคนนี้กำลังสับสน

เสิ่นเทียนมีสติปัญญาสูงมาก เห็นสีหน้าเขาแล้วก็เข้าใจในทันที

ก็ใช่ ความเย้ายวนของโชคลิขิตในโลกบำเพ็ญเซียนสูงยิ่ง จะไปตัดใจง่ายๆ ได้อย่างไร

มีคำกล่าวว่า ‘ผู้บำเพ็ญเซียนต้องแย่งชิงกับสวรรค์’ คนนั้นทำใจกลับไปไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติ

ช่างเถอะ ใครใช้ให้เจ้าเป็นผู้มีวาสนาของข้ากัน อีกทั้งยังรู้จักตอบแทนคุณเอาของขวัญมาให้อีกล่ะ!

เสิ่นเทียนจึงถอนหายใจเบา ก่อนหยิบยันต์ระเบิดอัสนีสิบแผ่นมาจากแหวนเวหา “เจ้าโง่ๆ ช่างเถอะ! ในเมื่อเจ้าทำใจทิ้งโชคลิขิตในที่ราบแห่งนี้ไม่ได้ ก็บุกฝ่าไปเองเลย! เก็บยันต์อัสนีพวกนี้ไว้กับตัวแล้วกัน”

เสิ่นเทียนพูดพลางเสกยันต์อัสนีแผ่นหนึ่งในยันต์สิบแผ่นออกมากลางอากาศ ก่อนจะจุดชนวนกลางอากาศ

“ถ้าเจออันตรายที่ไม่อาจต้านทานไหว บางทียันต์อัสนีพวกนี้อาจจะช่วยให้เจ้ามีชีวิตรอดได้บ้าง”

บึ้ม!

เสียงระเบิดดังสนั่น ทำให้ผู้มีวาสนาคนนั้นหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง “มีอานุภาพแข็งแกร่งมาก”

พึงรู้ไว้ว่าเขาอยู่แค่ระดับสร้างฐานตอนต้น อานุภาพยันต์ระเบิดอัสนีนี่กลับเทียบเท่ากับตอนปลาย หรือก็คือพลังทำลายล้างของยันต์ระเบิดอัสนีทุกแผ่นมากพอจะสังหารเขาได้หลายคน

ผู้มีวาสนาไม่ใช่คนโง่ เขารู้ว่าในตลาดมียันต์ระเบิดอัสนีระดับสูงสุดเช่นนี้น้อยมาก ราคายังสูงมากด้วย

แม้จะไหว้วานให้คนที่มีเส้นสายไปซื้อในสำนักเซียนแกร่งกล้า ก็ต้องจ่ายศิลาวิญญาณมากกว่าสามร้อยก้อนกระทั่งมากกว่านั้น

ถ้าไม่มีเส้นสาย แต่ไปซื้อในตลาดปกติ ถึงขนาดต้องจ่ายศิลาวิญญาณสี่ร้อยถึงห้าร้อยก้อนเลยทีเดียว

กล่าวได้ว่าถ้าจะซื้อยันต์อัสนีสิบแผ่นของท่านเซียนต้องใช้ศิลาวิญญาณสามถึงห้าพันก้อนเลย

เวลานี้ระดับความเชื่อมั่นในคำพูดของเสิ่นเทียนในใจผู้มีวาสนาพลันสูงขึ้นไม่น้อย

ถึงอย่างไรเอกลักษณ์ของท่านเซียนก็เหนือธรรมดา อีกทั้งยังหยิบยันต์อัสนีระดับสูงสุดออกมาสิบแผ่นได้สบายๆ

คนระดับนี้ ไฉนต้องมาหลอกระดับสร้างฐานตอนต้นตัวจ้อยอย่างข้าด้วย!

ดอกเบญจมาศที่ข้าให้ท่านเซียนไปอาจจะไม่เท่าราคายันต์อัสนีด้วยซ้ำ

……

ผู้มีวาสนาพยักหน้า “ท่านเซียนสั่งสอนอย่างจริงใจ ข้าจะจดจำไว้ ในอีกหลายวันจากนี้ข้าจะไม่เข้าที่ราบแล้ว”

เขาตัดสินใจแล้วว่าสองสามวันนี้ขายเบญจมาศแล้วจะไปฝึกฝนในเมืองหมอกลับแล

ด้านหนึ่งก็เพื่อปิดด่านบำเพ็ญทะลวงสร้างฐานตอนกลาง อีกด้านก็เพื่อดูเหตุการณ์จากนี้

ท่านเซียนบอกว่าที่นี่อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แบบใดกันแน่

ความอยากรู้อยากเห็นคือนิสัยโดยธรรมชาติของมนุษย์ เขาจึงตัดสินใจจะอยู่ดูในเมืองหมอกลับแล ถึงอย่างไรเมืองหมอกลับแลก็มีการป้องกันที่แข็งแกร่งมาก แม้แต่ผู้สูงศักดิ์ระดับดวงจิตดรุณยังมีไม่ต่ำกว่าสิบคน

แค่อยู่ในเมืองหมอกลับแล ต่อให้ที่ราบหมอกลับแลเกิดอันตรายอะไรขึ้นมาก็ไม่เป็นไรหรอกกระมัง!

ผู้มีวาสนากอดความคิดนี้ไว้ในใจ หลังจากมอบเบญจมาศให้เสิ่นเทียนแล้วก็บินไปยังเมืองหมอกลับแล

เสิ่นเทียนมองแผ่นหลังหนุ่มคนนั้นพลางยิ้มปลื้มใจ

ที่ราบหมอกลับแลต้องมีอะไรแปลกๆ แน่ แต่เขาถูกลิขิตไว้ว่าไม่มีทางพูดโน้มน้าวได้ทุกคน

ช่างเถอะ ตามโชคชะตาแล้วกัน

ถ้าเป็นผู้มีวาสนากับข้า เอ่ยคำเดียวก็เข้าใจ

ถ้าไม่ฟัง ให้ยันต์อัสนีสิบแผ่นไปก็ถือว่าให้ความเมตตาถึงที่สุดแล้ว

……

จะว่าไป ถ้าเจ้านั่นเจออันตรายแล้วใช้ยันต์ระเบิดอัสนีเทพสวรรค์หนีรอดมาได้จริงๆ จะถือเป็นผลดีในการโฆษณาขายยันต์ระเบิดอัสนีด้วย!

คิดได้ดังนั้น เสิ่นเทียนก็อดยกนิ้วโป้งให้ตัวเองมิได้

ข้านี่มันฉลาดจริงๆ

…………………….

[1] สามดี หมายถึงสุขภาพดี การเรียนดี ทำงานดี