ตอนที่ 142 : โลกสวรรค์
หลี่ว่านเฟิงอึ้งไปสักพัก ก่อนจะเดาออกมา “บางทีหวังเย่าอาจจะเรียกอสูรออกมาแล้วทำแก้วแตกก็เป็นได้”
เพราะในห้องนั่งเล่นนั้นมีกำแพงกั้นกับห้องกินข้าว มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องนั่งเล่นที่หวังเย่าอยู่
“น่าจะเป็นแบบนั้น” เฉี่ยนเจินเฉียนไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก แค่แก้วแตกไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทั้งสองคนจึงนั่งดื่มกันต่อ
แต่ตอนนั้นเองพวกเขาก็ได้กลิ่นเหม็นไหม้ เมื่อหันไปมองก็พบว่าในห้องนั่งเล่นนั้นมีไฟไหม้ เพราะมีควันดำลอยออกมา
“ไฟไหม้งั้นหรือ ? ”
ทั้งสองคนรีบลุกขึ้นและวิ่งเข้าไปทันที
แม้แต่เฉี่ยนเจินเฉียนก็มีสีหน้าหม่นลง “หวังเย่า เด็กนี่ทำอะไรในห้องนั่งเล่นกันแน่ ! ”
หลี่ว่านเฟิงเองก็สีหน้าบิดเบี้ยวไป ถ้าหวังเย่าทำไฟไหม้ขึ้นมา เขาคงเสียหน้าแน่
ทั้งสองคนเข้ามาในห้องนั่งเล่นและพบว่าที่พื้นนั้นมีเศษแก้ว ส่วนโซฟากำลังไหม้อยู่ หวังเย่านั่งนิ่งอยู่ข้าง ๆ โซฟาพร้อมกับเนื้อและเหล้า โดยไม่สนใจโซฟาที่กำลังไหม้อยู่แม้แต่น้อย
บนโซฟาฝั่งตรงกันข้ามนั้นมีมังกรน้อยตัวยาวกว่า 1 เมตรกำลังคำรามใส่หวังเย่าด้วยความโกรธ มันพ่นไฟออกมาแต่ก็ไม่กล้าพ่นไฟใส่หวังเย่า มันจึงได้แต่พ่นไฟใส่อย่างอื่นแทน เช่นพื้น, โซฟา, กำแพงและโต๊ะ
เฉี่ยนเจินเฉียนและหลี่ว่านเฟิงตะลึง มังกรงั้นหรือ ? มังกรนี่มาจากไหนกัน ?
“ผ่านไปไม่ถึง 10 นาที แต่เด็กนี่กลับฟักไข่ออกมาได้จริง ๆ งั้นหรือ ? ” ทั้งสองคนอดไม่ได้ที่จะตะลึงไปตาม ๆ กัน
หวังเย่าได้สติและมองไปยังทั้งสองคน ปากเขายังเคี้ยวเนื้ออยู่ เขาแสดงสีหน้าใสซื่อและพึมพำออกมา “ลุงเฉี่ยนอย่าเข้าใจผิด ผมไม่ได้จุดไฟขึ้นมา ผมไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยเลย”
เฉี่ยนเจินเฉียนยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ถึงหวังเย่าจะไม่ได้เป็นคนเผาที่นี่ แต่ก็เป็นความผิดของหวังเย่าส่วนหนึ่งไม่ใช่รึไง ?
แน่นอนหวังเย่าช่วยเขาฟักไข่มังกรนี่ออกมา ถึงเขาจะโกรธกว่านี้เป็นร้อยเท่า แต่เขาก็ไม่คิดมากอะไรแล้วในตอนนี้
หลี่ว่านเฟิงขมวดคิ้วด้วยสีหน้าไม่พอใจ “หวังเย่า นี่มันเกินไปแล้ว”
หวังเย่าเถียงกลับไป “ลุงหลี่ ลุงพูดแบบนั้นได้ยังไง นี่ไม่ใช่ความผิดของผม ลุงเฉี่ยนบอกเองว่าให้ผมลองฟักมันดู ผมก็ทำทุกอย่างตามที่ลุงเฉี่ยนสั่ง ผมก็ลองทดสอบและฟักมันออกมา มังกรเพลิงนี่ต่างหากที่เป็นคนเผาที่นี่ ผมควบคุมมันไม่ได้ ลุงเฉี่ยนบอกให้ผมดูมันอย่างเดียว ผมเลยดูมันเผาห้องนี้ยังไงล่ะ”
เฉี่ยนเจินเฉียนยิ้มออกมาอย่างขมขื่น เขาหยุดไม่ให้หลี่ว่านเฟิงพูดต่อ เพราะรู้ว่าหวังเย่าจะป้ายความผิดมาใส่เขาอีก อีกอย่างคือเขาไม่เชื่อว่าหวังเย่าจะไม่มีความสามารถในการดับไฟนี่
“ว่านเฟิงไม่ต้องพูดแล้ว ฉันดูถูกหวังเย่าเกินไป ที่โดนเผาแบบนี้ก็สมควรแล้ว” เฉี่ยนเจินเฉียนยิ้มแห้ง ๆ ออกมาและมองไปที่หวังเย่า “หวังเย่า ฉันดูถูกนายเกินไป ฉันต้องขอโทษด้วย”
เมื่อหวังเย่าได้โอกาส เขาก็กัดไม่ปล่อย “ลุงเฉี่ยน เด็กนี่มันซนจริง ๆ ”
“ไม่ต้องพูดแล้ว ขอบคุณนายจริงๆที่ช่วยฉันฟักไข่มังกรนี่” เฉี่ยนเจินเฉียนพูดขึ้น “ ตามที่ตกลงกันไว้ ฉันจะให้ทักษะพายุสังหาร 6 ส่วนแรกกับนายในราคา 20 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้แล้วฉันจะช่วยนายเรื่องแร่ไฟด้วย”
เมื่อเห็นท่าทีจริงใจของอีกฝ่าย หวังเย่าก็รู้สึกผิดขึ้นมาแต่เมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว เขาจะทำอะไรได้ “ขอบคุณมากลุงเฉี่ยน”
หลี่ว่านเฟิงเห็นแบบนั้นก็ยิ้มแห้ง ๆ ออกมา “ยินดีด้วยที่พี่เฉี่ยนได้อสูรระดับศักดิ์สิทธิ์มา มันยังไม่สายเกินไปนัก พี่รีบทำสัญญากับมังกรเพลิงนี่เถอะ ฉันกับหวังเย่าไม่รบกวนแล้ว”
เฉี่ยนเจินเฉียนพยักหน้าก่อนจะสร้างพายุดับไฟภายในห้องทั้งหมด และส่งลมเข้าไปกักตัวมังกรเพลิงตัวน้อยเอาไว้
“หวังเย่า ฉันจะจัดการเรื่องนี้ภายใน 2 วันแต่ฉันต้องให้นายปกปิดเรื่องนี้เป็นความลับก่อน” เฉี่ยนเจินเฉียนพูดขึ้น
“แน่นอน” หลี่ว่านเฟิงตกลงทันทีก่อนจะลากหวังเย่าออกจากที่นั่นไป
เมื่อเห็นทั้งสองคนกลับไปแล้ว เฉี่ยนเจินเฉียนก็ทนไม่ได้ที่ห้องนั่งเล่นของเขาโดนเผาแบบนี้ เขาได้เรียกแม่บ้านมาทำความสะอาดทันที เขาขังมังกรน้อยเอาไว้โดยไม่สนใจว่ามันจะคำรามออกมาเสียงดังแค่ไหน จากนั้นเขาก็ทำสัญญากับมันทันที
…..
เมื่อกลับมาที่รถ หลี่ว่านเฟิงก็เอาบุหรี่ขึ้นมาสูบและพูดขึ้น “หวังเย่า ระดับผู้ดูแลของนายสูงจริง ๆ งั้นหรือ ? ”
หวังเย่ารู้ว่าหลี่ว่านเฟิงจะถามอะไรอยู่แล้ว เพราะคนที่เจอเรื่องแบบนี้ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องตกตะลึง
“บางทีพรสวรรค์ของผมอาจจะสูง แม้แต่ตัวผมเองก็ไม่รู้ว่าขีดจำกัดของมันอยู่ที่ขั้นไหน” หวังเย่าพูดขึ้น แม้จะฟังดูหลงตัวเองไปบ้างแต่มันก็น่าจะเป็นแบบนั้นจริง ๆ
หลี่ว่านเฟิงขมวดคิ้วอยู่ชั่วครู่และมองไปที่หวังเย่าโดยไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมา
สุดท้ายเขาก็พูดขึ้น “ความสามารถของนายนั้นพิเศษ มันสามารถสร้างตำนานขึ้นมาได้มากมาย แต่ฉันยังหวังว่านายจะใช้ความสามารถนี้อย่างระมัดระวัง ไม่อย่างงั้นมันจะสร้างปัญหาตามมา”
“ผมเข้าใจแล้ว เรื่องลุงเฉี่ยนครั้งนี้ ผมผิดเอง ผมจะระวังให้มากกว่านี้” หวังเย่าพยักหน้า
หลี่ว่านเฟิงเห็นแบบนี้ก็เบาใจขึ้นมาก่อนจะพูดขึ้น “หวังเย่า จริง ๆ แล้วฉันเองก็เจอกับปัญหามา ฉันอยากให้นายช่วย”
“ลุงหลี่ว่ามาได้เลย”
“ฉันทำสัญญากับอสูร 5 ตัว เสือไฟขนทองตายไปแล้ว อินทรีย์สามตาโดนลอบโจมตีได้รับบาดเจ็บมาอย่างสาหัสและสุดท้ายมันก็ตายไป ล่าสุดฉลามเต่าดาบของฉันก็เพิ่งจะตาย“
“ ตอนนี้ฉันเหลืออสูรอยู่แค่ 2 ตัวซึ่งก็คือหมาป่าบินระดับสวรรค์ที่อยู่กับฉันมามากกว่า 10 ปี มันพัฒนามา 2 ครั้งจากระดับทอง เดาว่าพรสวรรค์ในการเติบโตของมันคงหมดแล้ว มันไม่อาจจะพัฒนาต่อได้”
“อีกตัวคือนกปรภพระดับสวรรค์ขั้นสูง เพราะมาจากโลกอื่น มันจึงไม่อาจจะปรับตัวกับโลกนี้ได้ ดังนั้นเลเวลของมันจึงเพิ่มขึ้นช้า ฉันต้องพามันกลับไปที่มิติของมันทุก ๆ ปี ฉันทำสัญญากับมันมา 10 ปีแล้ว แต่ตอนนี้มันเลเวลแค่ 63 เอง”
“ฉันอยากให้นายช่วยตรวจสอบอสูรทั้งสองตัวของฉันได้รึเปล่า ? ” หลี่ว่านเฟิงกลั้นหายใจด้วยสีหน้าคาดหวัง
โลกปรภพที่เขาพูดถึงนั้นเป็นโลกอีกใบที่มีขนาดใหญ่
มนุษย์บนโลกใบนี้ที่เขาอยู่ มักจะตั้งชื่อให้กับมิติอื่นๆ เพื่อความสะดวกในการเรียก
มิตินอกตั้งแต่ระดับ 1-4 ดาวจะถูกเรียกว่ามิติลับ เช่น มิติลับภูเขาเขาวัว 2 ดาว, มิติลับเทือกเขาหินโม่ 3 ดาว, มิติลับภูเขาจานน้อย 4 ดาว เป็นต้น
มิตินอกตั้งแต่ 5-7 ดาวนั้นจะถูกเรียกตามความพิเศษของมัน เช่น มิติไฟ 6 ดาว, มิติมืด 6 ดาว
ส่วนมิติระดับ 8-9 ดาวนั้นจะถูกเรียกว่าโลก เช่นโลกปรภพ มันเป็นมิตินอกระดับ 8 ดาว
สำหรับมิติ 10 ดาวแล้ว ทั้งจักรวาลมีอยู่แค่ 3 แห่ง มันเป็นมิติระดับสูง ซึ่งถูกเรียกว่าโลกสวรรค์ แบ่งเป็น ‘โลกมังกรสวรรค์’, ‘โลกนรกสวรรค์’และ‘โลกเทพสวรรค์’
โลกสวรรค์ทั้งสามแห่งนี้ไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นยังไง ไม่มีใครรู้รายละเอียดของมัน เพราะทั้งโลกนั้น นอกจากหัวหน้าผู้ตรวจสอบแล้ว ก็ไม่มีใครเคยเข้าไปสำรวจมัน
เพราะแค่คลื่นพลังของมิตินั้น พวกเขาก็ต้องถอยกลับมาเพราะกลัวจะทำให้ตัวตนที่น่ากลัวของมิติทั้งสามตื่นขึ้น