ตอนที่ 143 : ความตะลึงของหลี่ว่านเฟิง
มิตินอก 50 อันดับแรกของโลกนั้นคือมิติ 5-7 ดาวที่แข็งแกร่งที่สุด มันไม่ได้รวมมิติ 8-9 ดาวรึมิติ 10 ดาวเอาไว้
ดังนั้นมิติไฟจึงถือว่าเป็นมิติลับ 50 อันดับแรก หรืออาจจะอยู่ 30 อันดับแรกก็ว่าได้ ยังไงซะมันก็เป็นถึงมิติ 6 ดาว ส่วน 10 อันดับแรกนั้นคือมิติ 7 ดาวทั้งหมด ที่มิตินั้นถึงกับมีลูกหลานของสัตว์อสูรในตำนาน หรือสัตว์อสูรแบบกิเลนไฟสวรรค์อยู่
มนุษย์ไม่ได้อ่อนแอที่สุด แต่พวกเขาก็ยังห่างไกลจากคำว่าแข็งแกร่ง แม้แต่โลกปรภพก็ยังมีขนาดใหญ่กว่าดาวโลกหลายเท่า แม้จะรวมผืนดินและมหาสมุทรทั้งหมดก็ยังกว้างใหญ่ไม่เท่ากับโลกปรภพเลย
หวังเย่าได้ตรวจสอบข้อมูลของโลกปรภพและรู้ว่ามันเป็นมิติ 8 ดาว กฎด้านในนั้นแปลกประหลาด พลังงานด้านในเองก็แปลกประหลาดเช่นกัน สัตว์อสูรที่กำเนิดขึ้นมานั้นจึงมีความพิเศษอย่างมาก
นกปรภพที่เขาได้มาจากมิตินั้นมีความสามารถในการควบคุมมิติได้
หวังเย่าครุ่นคิดสักพักและพูดขึ้น “ลุงหลี่ เดี๋ยวผมตรวจสอบให้”
ตอนนั้นเองรถก็จอดตรงหน้าที่พักของหลี่ว่านเฟิง
ที่นี่คือบ้านของน้องชายภรรยาเขา ลวี่เหลียงจง ด้วยการสนับสนุนของเขา จึงทำให้ลวี่เหลียงจงสามารถย้ายมาที่เมืองหัวเซี่ยได้ 10 ปีแล้ว พวกเขาสร้างอำนาจกันได้พอสมควร และถือว่าเป็นชนชั้นกลางของที่นี่
หลังจากที่ลงจากรถแล้ว หลี่ว่านเฟิงก็เรียกอสูรทั้งสองของเขาออกมา หมาป่าบินมีปีกสีดำและแผ่คลื่นพลังอันเย็นชาออกมา อีกตัวนั้นเป็นนกตัวใหญ่
มันเป็นนกสามขา ขาของมันราวกับทองคำที่ยื่นออกมาจากใต้ท้อง บางครั้งก็หดเข้าไป บางครั้งก็งอกออกมา ดูเหมือนว่าขานี่จะมีความสามารถควบคุมมิติได้
“หวังเย่า นาย…ลองตรวจสอบดูมันสิ” หลี่ว่านเฟิงคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้และหัวเราะออกมา
หวังเย่าหรี่ตาและมองไปที่พวกมัน ผ่านไปกว่า 1 นาทีเขาก็หันไปหาหลี่ว่านเฟิงและพูดว่า “ลุงหลี่ ผมรู้ปัญหาของมันแล้ว”
หลี่ว่านเฟิงอึ้งไปทันที การตรวจสอบของหวังเย่านั้นรวดเร็วอย่างมาก นี่มันน่าแปลกใจจริง ๆ
แทนที่จะถามออกมา เขากลับตั้งใจฟังแทน
“พรสวรรค์ของหมาป่าบินนี้ถูกใช้ไปเยอะแล้วแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด มันสามารถวิวัฒนาการต่อได้อีก อืม…อย่างมากมันก็วิวัฒนาการไปถึงระดับสวรรค์ขั้นสูง สำหรับว่าทำไมมันถึงไม่วิวัฒนาการต่อ ปัญหาก็ง่าย ๆ สัญชาตญาณของมันถูกยับยั้งเอาไว้เพราะมันอยู่กับลุงหลี่มานาน จึงทำให้มันสูญเสียสัญชาตญาณของสัตว์ป่าไป”
“แล้วยังไง ? ฉันต้องปล่อยมันกลับไปที่ป่างั้นหรือ ? ” หลี่ว่านเฟิงถามออกมาด้วยสีหน้าหม่นหมอง
“ถูกต้องแล้ว” หวังเย่าพยักหน้าด้วยท่าทีจริงจัง “อาณาเขตของหมาป่าบินคือท้องฟ้า ลุงหลี่พยายามปล่อยให้มันบินอยู่ในท้องฟ้า ตราบใดที่ทวงสัญชาตญาณของตัวเองกลับมาได้ พลังงานที่เหลือก็จะถูกดูดซับ ร่างกายของมันมีพลังงานหลงเหลืออยู่เป็นจำนวนมากแต่มันก็ปนเปื้อน มีแค่ให้มันจัดการกับร่างกายตัวเองเท่านั้นถึงจะทำให้มันวิวัฒนาการต่อได้”
“แล้วถ้ามันหนีไปล่ะ ? ” หลี่ว่านเฟิงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา
นี่คือปัญหาที่ผู้ใช้อสูรกังวลมากที่สุด เพราะหากอยู่ห่างจากสัตว์อสูรของตัวเองมากเกินไป พลังของสัญญาก็จะอ่อนแอลงไปด้วย หากบินอยู่ในรัศมีหมื่นเมตร หลี่ว่านเฟิงคงไม่กังวลเพราะพลังจิตของเขาแข็งแกร่งอย่างมาก ทำให้พลังสัญญานั้นแข็งแกร่งขึ้นไปด้วย แต่หากให้หมาป่านี่บินไกลออกไปอีก พลังของสัญญาก็จะอ่อนแอลง จากนั้นหมาป่าก็อาจจะหนีไปจริง ๆ ก็ได้
แต่มันมีทางแก้ไขอยู่ บางทีคนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่หวังเย่านั้นมีระบบอยู่ เป็นธรรมดาที่เขาจะรู้วิธีแก้ไขเรื่องเหล่านี้
ทางที่ดีที่สุดแน่นอนว่าต้องเพิ่มความภักดีของอสูร
แม้ว่าหมาป่าตัวนี้จะทำสัญญากับหลี่ว่านเฟิงมากว่า 10 ปีและเหมือนจะเชื่อฟังอย่างมากแต่ความภักดีของมันไม่ได้มากมายอะไรเลย
เพื่อจะจัดการกับเรื่องนี้ ระบบจึงได้บอกวิธีแก้ไขออกมาซึ่งก็คือการบังคับเพิ่มความภักดีของมันหรือพัฒนาความเชื่อใจ
หวังเย่ายิ้มออกมาก่อนจะโบกมือแล้วพูดขึ้น “ไม่ เรื่องนั้นไม่มีปัญหาผมสามารถเพิ่มระดับความภักดีของมันได้”
เมื่อหวังเย่าพูดจบ ร่างของหมาป่าบินก็มีแสงสีทองส่องประกายออกมา จากนั้นท่าทีของมันก็ดูเคารพมากกว่าเดิม แววตาของมันดูกระจ่างขึ้นด้วย
“ลุงหลี่ ลุงปล่อยมันไปได้เลย มันจะกลับมาในวันพรุ่งนี้ ลุงเชื่อผม” หวังเย่ายิ้มออกมาด้วยความมั่นใจ “หากลุงหลี่ไม่สบายใจ งั้นผมจะใช้แร่ไฟเป็นหลักประกัน”
หลี่ว่านเฟิงกัดฟันแน่นและพูดขึ้น “แร่ไฟก็เท่านั้น ถ้ามันไม่กลับมา ฉันเชื่อว่านายจะชดเชยอย่างอื่นให้กับฉัน อย่างมังกรน้อย ฮ่าฮ่า”
หลังจากนั้นเขาก็ได้ทำการสื่อสารกับหมาป่า “แกไปเถอะ บินไปเท่าที่แกต้องการ แค่กลับมาในวันพรุ่งนี้และอย่าทำร้ายมนุษย์ก็พอ เข้าใจรึเปล่า ? ”
หมาป่านิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะกระพือปีกแล้วพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลี่ว่านเฟิงพลันหดหู่ขึ้นมา
หวังเย่าไม่ได้สนใจอีกฝ่ายและพูดต่อ “สำหรับนกปรภพนี่ ทางแก้ของมันค่อนข้างยากเพราะมันอยู่ที่นี่ มันจะวิวัฒนาการช้ากว่าปกติ เหมือนสำนวนสุภาษิตที่ว่า โตมาในสภาพแวดล้อมแบบไหน คนก็จะมีนิสัยเป็นแบบนั้น ดังนั้นเมื่อมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างเช่นนี้จึงทำให้มันไม่สบายตัวนัก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางแก้ซะทีเดียว”
หลี่ว่านเฟิงได้ยินแบบนั้นก็ตาเป็นประกายขึ้นมาก่อนจะถามขึ้น “ยังไง ? ”
หวังเย่าจึงพำพัมออกมา “วิธีบ้าน ๆ ”
เมื่อพูดจบ หวังเย่าก็ชี้ไปที่นกปรภพและพูดขึ้น “วิวัฒนาการ”
แค่ชี้นิ้วออกไป หลี่ว่านเฟิงก็ต้องตะลึง เมื่อพบว่าตัวของนกปรภพนั้นกลับมีแสงสีทองส่องประกายออกมา มันได้วิวัฒนาการขึ้นมา !
แสงสีทองนี้ส่องประกายขึ้นมาติด ๆ กันจากตัวนกปรภพโดยที่นกปรภพนั่นไม่ได้ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย
เลเวล 64, 65…..68
มันถึงกับเพิ่มเลเวลได้ในคราวเดียว ถ้าหลี่ว่านเฟิงไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง เขาก็คงไม่เชื่ออย่างแน่นอน เขาตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก
หลี่ว่านเฟิงได้สติกลับมาและมองหวังเย่าอยู่สักพัก จากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกและพูดขึ้น “นายทำได้ยังไง ? มันน่าทึ่งจริงๆ ฉันไม่คิดเลยว่านายจะมีทักษะของเทพเซียนได้”
โลกนี้ก็มีตำนานของพวกเทพเซียนอยู่เช่นกัน
หวังเย่าไม่กล้ายอมรับว่าทักษะนี้คือทักษะของเทพ จริง ๆ แล้วเขาแค่ใช้ค่าประสบการณ์มากมายที่นกปรภพสะสมเอาไว้ก็เท่านั้น
ผู้ดูแลมีหน้าที่ต้องคอยวิวัฒนาการและเพิ่มระดับให้กับสัตว์อสูร เพราะมีสัตว์อสูรมากมายที่ไม่ได้ถูกชี้แนะ ดังนั้นจึงมีพลังงานในตัวเหลืออยู่เป็นจำนวนมากที่ยังไม่ถูกดึงไปใช้
บทบาทของระบบคือการใช้พลังงานเหล่านั้นเป็นค่าประสบการณ์แล้วบังคับให้พวกมันวิวัฒนาการภายใต้เงื่อนไขต่าง ๆ
“ลุงหลี่ นี่แค่ทักษะเล็กน้อย มันไม่ใช่ทักษะของเทพเซียนแต่อย่างใด” หวังเย่าอธิบายออกมา