ตอนที่ 226 กลับไปจะตรวจอย่างช้า ๆ ให้ดู

อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด

ตอนที่ 226 กลับไปจะตรวจอย่างช้า ๆ ให้ดู

“ฉันผิดไปแล้ว ครั้งหน้าฉันต้องพูดเลยว่า…ไม่มีหรอกครั้งหน้า ไม่มีแน่นอน เพราะตอนนี้เขาได้ตายไปแล้ว” เธอค่อย ๆ ปล่อยมือของเขาออก ใบหน้าที่ซีดเซียวของเธอยิ้มอย่างดีใจ “คุณสามีคะ! เลิกงานกันเถอะ!”

เขาเลิกคิ้วอันหล่อเหลาของเขาขึ้น พร้อมหยิบถุงนั้นจากมือของเธอมา “เดี๋ยวกลับไปจะตรวจอย่างช้า ๆ ให้ดู”

“แล้วแต่นาย” ยังไงเธอก็ไม่ได้อะไรอยู่แล้ว

ในระหว่างทางกลับบ้าน เธอพูดถึงหานเซียวอยู่ตลอด ในคำพูดของเขา ผู้หญิงคนนั้นใช่แม่ของเธอหรือเปล่า?

ในความรู้สึกของเธอ แม่ของเธอเป็นแม่บ้านที่ร่ำรวยคนหนึ่ง ชอบไปเดินซื้อของ เล่นไพ่ ทั้งชอบแช่บ่อน้ำพุร้อนและออกไปท่องเที่ยว ส่วนที่เหลือก็คือซื้อกับซื้อ

คนนั้นเข้ามาพัวพันตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?

คุณพ่อจะรู้หรือเปล่า?

เธอตกอยู่ในห้วงความคิดสักพัก จิ่งเป่ยเฉินที่นั่งอยู่ด้านข้างวางโทรศัพท์ลงและหันหน้ามามองเธอที่กำลังนั่งขมวดคิ้วอยู่ จึงขยับเข้าไปใกล้เธอและเอื้อมมือไปโอบกอดเธอ ไม่คิดว่าเธอจะฉวยโอกาสขึ้นมานั่งบนตักของเขาพร้อมมองมาที่เขา

“คิดอะไรอยู่?”

“จิ่งเป่ยเฉิน ฉันว่าแม่ของฉันมีบางเรื่องที่ท่านปิดบังฉันอยู่” ทำไมเธอถึงนึกไม่ออกกันนะ คนที่แตกต่างกันราวกับคนละขั้วทั้งสองคนจะมารู้จักและคบค้ากันได้ยังไง

เขาและหานเซียวไม่ได้สนิทกัน หนำซ้ำยังเจอกันไม่กี่ครั้งจึงไม่ค่อยเข้าใจว่าความหมายที่เธอพูดคืออะไร

“อืม เธอพบอะไรมาบ้าง?” เขาเอ่ยถามเบา ๆ

“ไม่แน่ว่าเธออาจจะรู้จักกับหานเซียว นายไม่รู้สึกว่าแปลก ๆ บ้างเหรอ? ทำไมเธอถึงได้รู้จักกับเขากัน แต่ไหนแต่ไรไม่เคยได้ยินเธอเคยพูดถึงมาก่อนเลยด้วยซ้ำ!” ด้วยเหตุผลพวกนี้ มันทำให้สมองของเธอแทบจะระเบิดเมื่อคิดหาคำตอบเกี่ยวกับมันไม่ได้

“แปลกนะแต่ก็ไม่น่าแปลก ผู้อาวุโสก่อนหน้านั้นเขาอาจจะมีเรื่องเกิดขึ้นเป็นเวลานานแล้วก็ได้” ถ้าหากพวกเขายังคบค้ากันอยู่ละก็ หานเซียวก็จะสามารถหาแม่ของเธอได้ ไม่ใช่ว่าไม่ได้

“ก็จริง” ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะรู้จักกันมาก่อนหน้านี้แล้ว อาจจะตั้งแต่ตอนที่เธอยังไม่เกิดด้วยซ้ำ

ตอนนี้หานเซียวเองก็ตายไปแล้ว เธอไม่มีทางรู้จากปากของเขาได้แน่ว่าหมายความว่าอย่างไร

เมื่อกลับมาถึงบ้าน เธอก็รีบลงจากรถอย่างรวดเร็ว วันนี้พี่เลี้ยงเป็นคนไปรับหยางหยางและหน่วนหน่วนที่โรงเรียนอนุบาลด้วยตนเอง เธอจึงกังวลว่าพวกเขาจะปรับตัวไม่ได้ เพราะงั้นเลยคิดอยากจะกลับบ้านเพื่อถามถึงเรื่องพวกนี้

“แม่จ๋า!” หน่วนหน่วนเห็นเธอเดินเข้ามาจึงรีบเดินตรงไปหาเธอพร้อมกับกินลูกแอปเปิลที่อยู่ในมือ

“เด็กดี วันนี้ไม่ได้ร้องไห้ใช่ไหมคะ แม่จ๋าไม่ได้ไปรับพวกหนู หนูชินแล้วหรือยัง?” เพียงแค่วันแรกเธอก็พูดเรื่องคุ้นชินแล้วงั้นเหรอ?

“เยี่ยมไปเลยค่ะ คุณน้าใจดีมาก” เธอยิ้มพลางหัวเราะตอบรับ

“พี่ชายอยู่ไหนคะ?” เมื่อครู่นี้เธอไม่เห็นแม้แต่เงาของหยางหยาง หรือว่าเขานั้นจะขึ้นไปชั้นบนแล้ว

“พี่ชายเหมือนจะไปออกกำลังกายค่ะ” เธอกัดแอปเปิลอีกหนึ่งคำ สายตาก็พลันเห็นจิ่งเป่ยเฉินถือถุงสีดำใบหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ เธอเอียงคอมองดูด้วยความอยากรู้ “พ่อจ๋า พ่อถืออะไรมาคะ ให้หน่วนหน่วนเหรอคะ?”

“ของเล่นของแม่จ๋าครับ” จิ่งเป่ยเฉินก้มหน้ามองไปที่พวกเธอก่อนจะมองไปที่ชั้นบน

“พ่อจ๋าลำเอียง มีแต่ของเล่นของแม่ ไม่มีของหน่วนหน่วนบ้างเลย” หน่วนหน่วนมองไปที่แผ่นหลังของเขาก่อนจะเบ้ปากพูดขึ้น

ครั้งนี้อันโหรวก็คิดอยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปอีกครั้ง นั่นมันของเล่นของเธอที่ไหนกัน?

“หน่วนหน่วนเล่นของเล่นของตัวเองไปก่อนนะ แม่จ๋ามีเรื่องต้องพูดกับพ่อจ๋า” เธอปล่อยมือของลูกสาวและเดินขึ้นไปชั้นบน เธอก้าวสามขั้นและก้าวสองขั้นขึ้นบันไดไปอย่างเร่งรีบ

เมื่อเข้าไปในห้องก็เห็นจิ่งเป่ยเฉินกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอค่อย ๆ ก้าวเดินอย่างช้า ๆ เป็นธรรมชาติ และพูดขึ้นว่า “ครั้งหน้าช่วยสังเกตถ้อยคำของลูกไว้หน่อยจะได้ไหม?”

“ก็เธอซื้อมันมาเองนี่” กล่าวอีกนัยหนึ่งคือสิ่งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขามากเสียหน่อย

“การกระทำของนายดูเร็วเกินไปหรือเปล่า วันนี้ส่งหยางหยางเข้าไปเรียนเทควันโดแล้วเหรอ?” เธอเดินไปด้านหน้าตู้เสื้อผ้า แต่เธอยังไม่ทันได้ทำอะไรก็ถูกเขาขวางไว้

เธอก้มหน้าก้มตา ก่อนจะมองไปที่แขนแข็งแรงของเขา “นายให้ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ” 

“เธอควรไปอาบน้ำก่อน” เขาก้มหน้ามองเธอและพูดเบา ๆ “ตอนที่ฉันอายุเท่าเขา ก็ไปตั้งหนึ่งปีกว่าเชียวนะ”

“ไม่ใช่อะไรที่จะชื่อเหมือนจิ่งเป่ยเฉินหรอกนะ” เธอถอยไปหนึ่งก้าวพลางมองไปที่ตู้เสื้อผ้า “เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าชุดนั้นที่เพิ่งซักมาได้ไหม”

“เธอไม่ใส่เสื้อผ้าเลยก็ยังได้” เขาไม่ถือสาเรื่องพวกนี้เลยสักนิด กลับมีความสุขมากเสียด้วยซ้ำ

“เหอะ เหอะ” แน่นอนว่าเธอไม่อยาก

เขาหันไปหยิบเสื้อผ้าให้กับเธอและพูดขึ้นว่า “ในฐานะเป็นทายาทแห่งอุตสาหกรรมจิ่ง เขามีหลายสิ่งหลายอย่างที่จะต้องเรียนรู้อีกมาก ซึ่งร่างกายเป็นองค์ประกอบแรกที่ควรจะเรียนรู้ไว้ เธอหวังว่าเขาจะเติบโตเป็นคนอ่อนแอ อ่อนโยน อย่างนั้นเหรอ?”

“ก็ไม่ใช่หรอก ฉันแค่หวังว่าเขาจะเติบโตขึ้นมาอย่างมีความสุขสมวัยก็เท่านั้นเอง”

“เขาต้องดีใจมากแน่ ไม่เชื่อก็รอให้เขากลับมาแล้วถามเขาดูสิ” จิ่งเป่ยเฉินยื่นเสื้อผ้าที่อยู่ในมือให้กับเธอ ก่อนจะเดินไปที่ข้างหน้าเพื่อช่วยเธอปลดกระดุมออก

เธอจำได้ว่าก่อนหน้านั้นเขาพูดว่าอยากจะตรวจสอบ นั่นคือเธอต้องยืนอยู่กับที่นิ่ง ๆ รอรับชะตากรรมจากเขา เคลื่อนไหวไม่ได้ราวกับตัวเองเป็นหุ่นเชิด

แต่เมื่อเสื้อผ้าของเธอค่อย ๆ หลุดออก มือทั้งสองของเธอก็จับไปมาทั่วตัว ร่างกายของเธอสั่นสะท้านเบา ๆ “หนาว!”

ในวินาทีต่อมาเธอก็ถูกเขาดึงเข้ามาในอ้อมแขน ก่อนจะพาเดินไปที่ห้องอาบน้ำ เธอเพิ่งจะพูดเมื่อครู่นี้ ทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้?

และไม่ใช่ว่าเธอต้องอาบน้ำงั้นเหรอ? ทำไมเขาต้องถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกด้วย?

จะทำเป็นอาบน้ำแบบนกเป็ดน้ำ[1]อย่างนั้นเหรอ เธอไม่ได้ต้องการมันเลยแม้แต่นิดเดียว

“ของขวัญที่เธอซื้อมาให้ คิดอยากจะลองพอดี” คำพูดที่เอ่ยอย่างนุ่มนวลดังขึ้นที่ข้างหูของเธอ

เธอต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ถึงได้ซื้อของเหล่านั้นกลับมา

หาเรื่องใส่ตัว หาเหาใส่หัวชัด ๆ [2]!

“ไม่ได้ ต้องรีบไปกินข้าวนะ!” เธอที่แช่อยู่ในอ่างอาบน้ำเอ่ยปฏิเสธขึ้น

“ก็ได้”

“……”

ภายในห้องค่อนข้างเก็บเสียงได้ดีเลยทีเดียว ซึ่งในอ่างอาบน้ำเองก็กันเสียงได้ดีเช่นกัน เธอไม่ได้ยินแม้แต่เสียงของหน่วนหน่วนที่เรียกพวกเขาอยู่ที่ประตูเลยด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเธออาบน้ำเสร็จก็ได้ลงไปกินข้าวด้วยกัน แต่ก็พบว่าหยางหยางและหน่วนหน่วนหลับไปแล้ว

เธอเหลือบมองไปยังคนที่กำลังกินข้าวอย่างหรูหราอยู่ฝั่งตรงข้ามหลายครั้งหลายครา ก่อนจะได้รับรอยยิ้มที่ดูมีความหมายของเขากลับมา “ของขวัญที่เธอให้ฉันมา ช่างเป็นที่น่าพึงพอใจมาก”

“ยินดีค่ะ” เธอก้มหน้าลงกินข้าวต่อ คืนนี้เธอจะต้องฟื้นฟูพลังงานให้เต็มที่ เพราะพรุ่งนี้ต้องไปที่บริษัทโอวหยางกรุ๊ป

“แล้วฉันต้องมอบของขวัญให้กับเธอด้วยไหม?” จู่ ๆ เขาก็เอ่ยถาม

“ไม่ต้อง ฉันไม่ได้ขาดอะไรทั้งนั้น” ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าของขวัญที่เขาพูดนั้นหมายถึงอะไร แต่ก็พอเดาได้ตามสัญชาตญาณว่าของขวัญที่เขาจะให้นั้นมันไม่ใช่ของขวัญทั่ว ๆ ไปแน่

“งั้นก็ช่างมัน ไว้รอเธออยากได้อะไรก่อนก็ได้ แล้วค่อยบอกฉัน” เขาพูดอย่างเกียจคร้าน

“ค่ะ ประธานจิ่ง” เธอยิ้มตอบกลับไป

คนที่อยู่ตรงข้ามค่อย ๆ เปลี่ยนสีหน้าทันที “อันโหรว!”

เธอตอบกลับโดยไม่เงยหน้าแต่อย่างใด “จิ่งเป่ยเฉิน นายจะให้ฉันกินข้าวไหม อย่าเรียกฉันนักสิ คนกำลังหิว ๆ อยู่นะ!”

“เธอก็กินไป ค่อย ๆ กินล่ะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อน ๆ มองดูเธอก้มหน้าก้มตากินข้าว ไม่ว่าจะโกรธแค่ไหนแต่ก็กลับหายไปเสียแล้ว  

เธอเรียกเขาว่าจิ่งเป่ยเฉินมักเป็นอะไรที่คุ้นชิน แต่เรียกประธานจิ่งก็ยิ่งคุ้นชินกับมันมากเช่นกัน แต่การเรียกเขาแบบนี้ที่บ้านนั้นดูยังไงก็รู้สึกไม่ค่อยน่าพอใจอยู่เล็กน้อยจริง ๆ นั่นแหละ  

ส่วนการเรียกว่าสามี ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะเรียกตอนที่เธอนั้นออดอ้อนเสียมากกว่า

เช้าวันรุ่งขึ้นเธอตรงไปยังบริษัทกลุ่มโอวหยางกรุ๊ป ก่อนหน้านั้นจิ่งเป่ยเฉินมองดูเธออย่างห่วง ๆ แต่หลังจากนั้นก็ส่ายหน้าไปมาและพูดว่า “ฉันจะไปกับเธอเอง”

“ไม่ได้!” เธอรีบปฏิเสธทันที “จะทดสอบเขาละก็ ถ้าขืนนายไป เขาก็ต้องระวังตัวสิ”

เมื่อเขาครุ่นคิดอยู่สักพักก็รีบพูดด้วยท่าทีที่เคร่งขรึม “ฉันรู้ แต่ถ้าหากทำลายมันไปเลยน่าจะง่ายกว่าหรือเปล่า”

“เดิมทีนายก็คิดแบบนั้นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ไม่อย่างนั้นจะซื้อสกุลเห่อมาทำไมกัน โอวหยางลี่ไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร นายก็วางใจเถอะ!” เธอปลอบโยนเขาและก็ปลอบโยนตัวเองไปด้วย ก่อนจะออกไปทำเรื่องนี้ด้วยตัวเอง  

ที่หน้าประตูบริษัทโอวหยางกรุ๊ป เธอได้พบกับเหลียวเว่ยอีกครั้งหนึ่ง พวกเธอเกิดมาเพื่อตอบโต้และทะเลาะกันหรือยังไง?

เหลียวเว่ยเหลือบมองมาที่เธอ ก่อนจะเดินเข้ามาหาเธอด้วยรอยยิ้มจาง ๆ “เธอมาคุยเรื่องธุรกิจอีกแล้วเหรอ?”

“ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นคุณนายโอวหยางคิดว่าฉันกับประธานโอวหยางจะมาพูดคุยธุระส่วนตัวกันอย่างนั้นเหรอ?” เธอยิ้มอย่างเย็นชา ก่อนจะก้าวเท้าของเธอเข้าไปในลิฟต์

…………………………………….

[1] นกเป็ดน้ำแมนดาริน เป็นสัตว์รักเดียวใจเดียว ถ้าคู่ของตนตายไป นกเป็ดน้ำจะตรอมใจตายเช่นเดียวกัน ถ้าสองคำนี้รวม ๆ กันแล้วก็เป็นอาบน้ำแบบนกเป็ดน้ำ คู่รักช่วยกันอาบน้ำ ขัดหลัง ทำอะไรบางอย่างด้วยกันนั่นเอง

[2] รนหาเรื่องเดือดร้อนรำคาญมาใส่ตน