บทที่ 117 โทสะของซ่งชูอี

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

“บ่าว…” หนิงยาอ้ำๆ อึ้งๆ

ซ่งชูอีเอ่ยขึ้นเชื่องช้า “พูด”

น้ำเสียงของนางราบเรียบยิ่งทว่ากลับให้ความรู้สึกบีบคั้นอย่างประหลาด หนิงยาตัวสั่นเทาเล็กน้อย ไม่กล้าปิดบัง จึงรีบพูดขึ้น “เพราะพี่หย่าแอบเปลี่ยนเสื้อผ้าของสาวใช้ คิดจะ คิดจะออกไปเจ้าค่ะ”

ซ่งชูอีหลับตาลง ที่จริงเมื่อครู่นางมองเห็นเศษเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นบนพื้นแล้วว่าคล้ายกับเสื้อผ้าของสาวใช้ในจวนรับรอง  เพียงแต่นางคิดว่าจื๋อหย่าอาจมีเหตุผลอะไรบางอย่างที่ทำเช่นนี้ “นางได้บอกหรือเปล่าว่าออกไปทำอันใด?”

หนิงยาเอ่ยว่า “พี่หย่าบอกว่าเบื่อเจ้าค่ะ อยากแอบออกไปเที่ยว”

“เฮอะ เที่ยว?” ซ่งชูอีหัวเราะเบาๆ เสียงหนึ่ง มองไปยังหนิงยาพร้อมเอ่ยขึ้น “เจ้าก็ช่วยนางปิดบังข้า?”

หนิงยาเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ ทั้งๆ ที่นางเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งชูอี ทว่านางสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าซ่งชูอีโมโหแล้ว นางเข่าอ่อน คุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังตึ่ง “นายท่าน หนิงยาสำนึกผิดแล้ว หนิงยาไม่กล้าอีกแล้ว!”

หลายวันมานี้ ซ่งชูอีมักจะปล่อยให้หนิงยาสอนมารยาทให้กับจื๋อหย่าในยามว่าง หากความสัมพันธ์ของทั้งสองคนแน่นแฟ้นขึ้นมาบ้างก็ไม่อาจตำหนิได้ อีกทั้งหนิงยามีจิตใจบริสุทธิ์และไม่จำเป็นต้องสมรู้ร่วมคิดกับจื๋อหย่า

“เงยหน้าขึ้นมา!” ซ่งชูอีเอ่ยเสียงเย็นชา

หนิงยาเงยหน้าขึ้นอย่างขลาดกลัว ดวงหน้างดงามนั้นเต็มไปด้วยคราบน้ำตา ซ่งชูอีจับจ้องสายตาที่นางพยายามหลบเลี่ยงสุดชีวิต “ข้าดีกับเจ้าเกินไปใช่หรือไม่? เจ้าต้องทำความเข้าใจให้ดีว่าใครคือเจ้านายของเจ้า! นี่เป็นโอกาศครั้งสุดท้าย! หากไม่เข้าใจก็ไสหัวไปเสีย!”

ซ่งชูอีสะบัดแขนเสื้อเข้าห้องไป

หนิงยาตกใจจนตัวแข็งทื่ออยู่บนพื้น น้ำตาไหลลงมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ นางสำนึกผิดตั้งแต่ขณะที่จื๋อหย่าขอให้นางช่วยปิดบังแล้ว เพียงแต่นางรู้สึกว่าก็แค่แอบออกไปเที่ยวเท่านั้น เจ้านายก็ใจดีไม่น่าจะเอาผิดกระไร นี่คือผลลัพธ์ที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของนางโดยสิ้นเชิง…

การที่ซ่งชูอีผู้ผ่อนคลายและอ่อนโยนมาโดยตลอดบันดาลโทสะกะทันหัน เป็นเรื่องที่คนทั่วไปยากที่จะทนได้

หลังจากเจ้าอี่โหลวฝึกดาบและอาบน้ำในห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว  ก็กำลังจะเข้าห้องด้วยเนื้อตัวเปียกปอน

“คุณชายเจ้าคะ” หนิงยาคุกเข่าอยู่หน้าประตู ครั้นเห็นว่าเจ้าอี่โหลวมา แววตาก็มีประกายแห่งความหวัง

โดยปกติแล้วเจ้าอี่โหลวไม่สนใจใครทั้งสิ้น ทว่าหนิงยาเป็นสาวใช้ข้างกายซ่งชูอีที่นางสนิทที่สุด เขาจึงหยุดเดิน

“บ่าวทำให้นายท่านขุ่นเคือง คุณชายได้โปรด…ทำให้นายท่านหายโกรธได้หรือไม่ ต่อไปบ่าวมิกล้าทำผิดอีกแล้ว”

หนิงยาอดไม่ได้ที่จะร้องไห้อีกครั้ง ไม่เพียงหวาดกลัวที่ทำให้นายท่านเกรี้ยวกราด แต่ก็เป็นเพราะว่าซ่งชูอีดีกับนางมากจริงๆ สิ่งพื้นฐานจำเป็นทั้งหมดที่นางมีล้วนเป็นสิ่งที่สาวใช้ทั่วไปมิอาจเพลินเพลินได้ อีกทั้งซ่งชูอีโอบอ้อมอารีเสมอมา นางเสียใจและเกลียดชังตัวเองจริงๆ ที่ช่วยจื๋อหย่าปิดบังเรื่องนี้

“อืม” คิ้วของเจ้าอี่โหลวขมวดกันเล็กน้อย ตอบรับเสียงเบา แล้วเดินเข้าห้องไป

ภายในห้องมืดมิด เจ้าอี่โหลวมองดูซ่งชูอีกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะ รวบแขนเสื้อมองกระดานหมาก แน่นิ่งราวกับรูปปั้นหิน

เจ้าอี่โหลวไม่เคยปลอบคนมาก่อน ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ข้าฝึกกระบวนท่าในตำราได้หมดแล้ว ข้าจะแสดงให้เจ้าดู”

พูดจบ เห็นว่าซ่งชูอีไม่ขยับเขยื้อน ก็ยังหาไม้จิ้มไฟแท่งหนึ่งทำเป็นดาบและเริ่มร่ายรำ เจ้าอี่โหลวมีพละกำลังมาก ด้วยไม้จิ้มไฟแท่งเดียวก็สามารถร่ายรำได้งดงามราวกับพยัคฆ์

เขาร่ายรำจบรอบหนึ่ง เห็นว่าซ่งชูอียังคงนิ่งเฉย ก็ร่ายรำอีกรอบหนึ่ง

เมื่อร่ายรำมาถึงรอบที่หก อิริยาบทเก้ๆ กังๆ ของเขาในตอนแรกก็พริ้วไหวราวกับสายน้ำ ซ่งชูอีจึงหันหน้าไปเล็กน้อย ขมวดคิ้ว “สะบัดจนเหงื่อเต็มตัวข้าหมดแล้ว อย่าหมุนไปหมุนมา หมุนจนข้าเวียนหัว”

“เจ้าไม่โกรธแล้ว?” เจ้าอี่โหลวเอ่ยถาม

ซ่งชูอีมองดูใบหน้าหล่อของเขาที่อาบไปด้วยเหงื่อ เพราะว่าเพิ่งออกกำลังกายเสร็จ กล้ามเนื้อทั้งตัวโปดนูน ดวงตาสีดำคู่นั้นล้ำลึก อดไม่ได้ที่จะก่อให้เกิดจินตนาการ

เมื่อครู่นั้นซ่งชูอีมิได้โกรธเลย เพียงแต่กำลังครุ่นคิดถึงปัญหาบางอย่าง อีกทั้งเมื่อเห็นว่าการร่ายรำดาบของเจ้าอี่โหลวนั้นแข็งทื่อเล็กน้อยแต่ก็มิได้พูดกระไร เพราะครั้นเห็นสีหน้ามุ่งมั่นของหนุ่มงามแล้ว จะให้นางกล่าวความจริงออกมาได้เยี่ยงไร

ซ่งชูอีลุกขึ้นเดินเข้าไปหาเจ้าอี่โหลว ยื่นมือกอดเขา “ไม่โกรธแล้ว”

พูดจบ ก็ถือโอกาสเอื้อมมือลูบคลำเอวและสะโพกของเขา

เจ้าอี่โหลวใบหน้าหม่นหมอง ทว่ากลับมิได้ผลักนางออก

“ข้าจะไปเยี่ยมจื๋อหย่า” ซ่งชูอีกอดอยู่สักพัก ปล่อยเขาพร้อมเอ่ยขึ้น

“อืม” เจ้าอี่โหลวตอบรับเสียงหนึ่ง ทำได้เพียงไปอาบน้ำอีกรอบ

ทั้งสองออกมาพร้อมกัน คนหนึ่งไปที่ห้องอาบน้ำ อีกคนหนึ่งไปยังห้องของจื๋อหย่า ซ่งชูอีเห็นว่าหนิงยายังคงคุกเข่าอยู่ที่หน้าประตูก็มิได้ใส่ใจ

แม้นซ่งชูอีจะมิได้ถือสาเอาความหนิงยาด้วยเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ทว่าหลายวันนี้นางจะไม่แสดงสีหน้าดีๆ ให้นางเห็นเป็นอันขาด ไม่ว่าการทรยศจะเล็กหรือใหญ่ วันนี้นางเพียงช่วยจื๋อหย่าปิดบังเรื่องหลบหนี หากไม่สั่งสอนสักหน่อย ไม่แน่ว่าวันต่อมาอาจจะช่วยคนอื่นหยิบมีดมาแทงนางก็ได้

นางจะไม่ลงโทษโดยการโบยตีอะไรเทือกนี้ เพราะว่านางชอบปู้ยี่ปู้ยำหัวใจของคนอื่นมากกว่า

หนิงยาลังเลครู่หนึ่ง รีบตามหลังซ่งชูอีไป

“ไม่ต้องตามข้า ข้าเกลียดบ่าวผู้ทรยศ!” ซ่งชูอีเอ่ยเย็นชา

นางไม่แม้แต่ปรายตามองหนิงยาด้วยซ้ำ ยื่นมือผลักประตูห้องของจื๋อหย่า

สำหรับซ่งชูอีแล้ว จื๋อหย่าเป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น นางจะจงรักภักดีต่อตนหรือไม่นั้นล้วนไม่ใช่สิ่งสำคัญ เพราะว่าหากไม่จงรักภักดีก็ยังสามารถใช้ประโยชน์ได้ ทว่าซ่งชูอีวางแผนที่จะเลี้ยงหนิงยาเป็นสาวใช้ข้างกาย จึงจะต้องไม่มีการทรยศแต่อย่างใด

บัดนี้จื๋อหย่าตื่นแล้ว ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้าก็อดที่จะตัวสั่นมิได้ หันหน้าไปมองผู้ที่มาเยือน เห็นว่าเป็นซ่งชูอีแล้วก็รู้สึกผ่อนคลายลงไปมาก

ซ่งชูอีมองเห็นการเปลี่ยนแปลงดังนี้ก็ยิ้มเยาะในใจ ทว่ากลับถามด้วยสีหน้าราบเรียบ “ไม่ทราบว่าแม่นางจื๋อหย่าเตรียมจะออกจากที่นี่เพื่อไปที่ใด? เหตุถึงไม่บอกกล่าวเล่า ข้าน้อยจะได้จัดคนไปส่งเจ้า”

จื๋อหย่าประหลาดใจ หันมองนางอย่างรวดเร็ว เม้มริมฝีปากแน่น ความอาฆาตแค้นวูบผ่านแววตา

ซ่งชูอีรู้ว่านางกำลังเคียดแค้นที่ถูกหนิงยาหักหลัง จากนั้นก็นั่งลงบนเตียง มีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้า “แม่นางจื๋อหย่ากำลังโกรธหนิงยาหรือ? เจ้าได้โปรดอย่าลืมว่านางเป็นสาวใช้ของข้าผู้แซ่ซ่ง ไม่ใช่ของเจ้ากงซุนจื๋อหย่า อย่างไรเสียก็บอกจุดหมายปลายทางเถิด ไม่แน่ว่าข้าผู้แซ่ซ่งสามารถยื่นมือช่วยเจ้าได้”

ซ่งชูอีเรียกชื่อด้วยความเย็นชาเช่นนี้ ทำให้จื๋อหย่าอกสั่นขวัญแขวน ทว่าในเมื่อความคิดที่จะออกไปถูกเปิดโปง นางก็จะไม่ปิดบังอีก ยิ้มเย็นชาเอ่ย “ข้าคิดจะไปหาพี่สาว ท่านช่วยชีวิตพวกข้าสองพี่น้อง ข้าขอบคุณท่านจากใจจริง ทว่าคราวก่อนท่านถวายพี่สาวของข้าให้กับฉินกง ใครจะรู้ว่าบัดนี้ถูกกักตัวอยู่ในเว่ย ท่านจะถวายข้าให้กับเว่ยอ๋องหรือไม่! ข้าไม่ต้องการ ดังนั้นจึงหนีไป”

“ฮ่า เจ้านี่นับว่ามีแผนการไม่น้อย” ซ่งชูอีหัวเราะครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “เจ้ารู้จักฮูหยินสวินหรือไม่? นางเป็นผู้หญิงที่เว่ยอ๋องโปรดปรานที่สุด ว่ากันว่าดวงตาราวสายธารแห่งสารทฤดู ดวงหน้าดุจดอกท้อ งดงามปานดอกชบา สง่างามคล้ายดอกฮุ่ยหลัน เป็นสตรีที่งดงามที่สุดในใต้หล้า แม้แต่พี่สาวของเจ้าก็ยากที่จะเทียบเคียง”

ความหมายในคำพูดนี้ ก็คือเว่ยอ๋องผู้ที่คุ้นเคยกับความสวยงามจะไม่มองสตรีที่มีรูปลักษณ์เช่นเจ้าดอก หากจะถวายก็เป็นการถวายเปล่า!

ดวงตาของจื๋อหย่ามีความขมขื่น ทันใดนั้นก็ปิดหน้าและร่ำไห้ แม้นการเสียบริสุทธิ์จะไม่ใช่เรื่องใหญ่กระไรนัก ทว่าผู้ที่พรากพรหมจรรย์ของนางนั้นสกปรกและหยาบโลนเกินไป! ความเจ็บปวดของร่างกายส่วนล่างถลำลึกลงไปยังก้นบึ้งของหัวใจตลอดเวลา ความรู้สึกขยะแขยงเมื่อครู่เอ่อล้นขึ้นมาฉับพลัน

นางเกลียดชังเหลือเกิน ถ้าหากซ่งชูอีอธิบายให้ชัดเจนเร็วกว่านี้เสียหน่อย นางก็คงไม่ตกต่ำถึงเพียงนี้!

ซ่งชูอีนับว่าเข้าใจนิสัยใจคอของจื๋อหย่าได้เป็นอย่างดี มองนางร้องไห้อยู่เงียบๆ ในใจพลางคิดว่าควรจะจัดการเยี่ยงไรดี