บทที่ 118 องค์ชายอั๋งท่านแม่ทัพขงจื้อ

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

จื๋อหย่ามิใช่คนเลวทราม แต่เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางจนเกินไปซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้ในหมู่หญิงสาวชั้นสูงส่วนใหญ่ เพียงแค่อาการของนางค่อนข้างสาหัสก็เท่านั้น อีกทั้งบ่อยครั้งเมื่อคนประเภทนี้ก่อเรื่องก็จะชวนให้น่าโมโหกว่าคนเลวทรามมาก

ซ่งชูอีสอดมือไว้ในแขนเสื้อ ลูบคลำด้ามของดาบสั้นที่อยู่ในแขนเสื้อแผ่วเบา รอจนกระทั่งจื๋อหย่าสงบสติอารมณ์ได้บ้างแล้ว จึงลุกขึ้นจากไปอย่างเงียบๆ

เมื่อออกมานอกห้อง ซ่งชูอีก็เห็นทหารสิบกว่านายอยู่ในลาน ทันทีที่ชายวัยกลางคนในเสื้อคลุมแขนกว้างด้านหน้าสุดเห็นนางออกมา ก็รีบเดินเข้าไปหา “ท่านซ่ง ได้ยินว่าบ่ายวันนี้มีคนกระทำมิดีมิร้ายกับสาวใช้ข้างกายท่าน ไม่ทราบว่า…”

“ได้โปรดช่วยถ่ายทอดคำพูดของข้าน้อยออกไป ว่าข้าน้อยต้องการเข้าเฝ้าเว่ยอ๋อง!” ซ่งชูอีไม่ต้องการพูดมาก หากไม่ทำเรื่องนี้ให้ใหญ่โต เกรงว่ามันก็คงจบลงเท่านี้

ขุนนางผู้นั้นอึ้งไปครู่หนึ่ง รีบเอ่ยขึ้น “หากท่านมีเรื่องอันใดก็คุยกับข้าดีหรือไม่ ข้าจะต้องคืนความยุติธรรมให้แก่ท่านอย่างแน่นอน”

“เว่ยอ๋องกล่าวว่า ให้ข้าน้อยไคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนแล้วจะเข้าเฝ้าเมื่อใดก็ได้มิใช่หรือ? หรือว่าเรื่องนี้ท่านก็สามารถกระทำการแทนได้?” ซ่งชูอีเลิกคิ้วถาม

“คือว่า…” ทั้งๆ ที่รู้ว่านี่เป็นข้ออ้าง เขาก็ยังมิกล้าที่จะรั้งไว้ ทำได้เพียงกล่าวว่า “ข้าจะไปกราบทูลฝ่าบาทเดี๋ยวนี้”

ซ่งชูอีพยักหน้า เข้าห้องหยิบเสื้อผ้าแล้วเข้าห้องอาบน้ำไป

หลังจากนางอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว ไม่นานก็มีคนมาเชิญนางไปที่พระราชวัง

พระอาทิตย์อยู่เหนือท้องฟ้าทางทิศตะวันออก

แสงไฟสว่างไสวทั่วทั้งพระราชวังของเว่ยอ๋อง เสียงพิณดังไม่ขาดสาย บางคราวเหมือนเสียงกวางที่กรีดร้อง บางคราวก็เหมือนเสียงสายน้ำไหล ทักษะของผู้ดีดพิณนั้นเก่งกาจจนน่าทึ่ง

ขันทีผู้หนึ่งนำทางซ่งชูอีผ่านสะพานโค้งจนมาถึงด้านหน้าของพระราชวังที่สร้างขึ้นเหนือน้ำ ครั้นได้ยินเสียงดนตรี นิ้วก็เคาะเป็นจังหวะเบาๆ

“ท่านหวยจินขอเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ!” เสียงเล็กแหลมของขันทีที่หน้าประตูดังขึ้น

ซ่งชูอีจัดกระชับคอเสื้อ ถอดรองเท้าแล้วเดินเข้าไปในท้องพระโรง หยุดยืนห่างจากหน้าพระที่นั่งหนึ่งจั้ง สะบัดแขนเสื้อโค้งคำนับยาวนาน “ถวายบังคมเว่ยอ๋อง”

เว่ยอ๋องมิได้สวมเครื่องศีรษะ อยู่ในเครื่องแต่งกายสีน้ำตาลเข้ม เอนพิงอยู่ที่พักแขน ราวกับเพิ่งตื่นจากความมึนเมา เคาะนิ้วอยู่บนที่พักแขนแผ่วเบา “ได้ยินว่าท่านซ่งคิดได้แล้วหรือ?”

“คิดได้แล้วพะย่ะค่ะ” ซ่งชูอีตอบอย่างตรงไปตรงมา “กระหม่อมตัดสินใจว่าจะไม่อยู่ที่รัฐเว่ย”

เว่ยอ๋องดวงตาเบิกโพลง น้ำเสียงสูงขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ “หลายวันนี้ท่านคิดได้เท่านี้หรือ?”

ซ่งชูอีกล่าวเรียบๆ “เดิมทีกระหม่อมต้องการตั้งใจพักรักษาบาดแผล คิดว่าเมื่อบาดแผลหายดีแล้วค่อยใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน อย่างไรเสียหากได้เป็นขุนนางในรัฐเว่ยก็นับว่าเป็นเกียรติสูงยิ่งในฐานะบัณฑิตผู้หนึ่ง”

สีหน้าของเว่ยอ๋องดูดีขึ้นมาเล็กน้อย ถ้อยคำของซ่งชูอีเปลี่ยนไปกะทันหัน เอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “ทว่าวันนี้ที่จวนรับรอง คิดไม่ถึงว่าจะมีทหารรักษาการณ์บังคับขืนใจสาวใช้ของกระหม่อม! นี่คือวิธีที่รัฐเว่ยปฏิบัติต่อบัณฑิตเยี่ยงข้าเช่นนั้นหรือ?”

เสียงพิณหยุดชะงักทันที

เว่ยอ๋องก็นั่งตัวตรง ถามด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?”

“ไฉนเลยกระหม่อมจะกล้าพูดเล่น?” ซ่งชูอีเอ่ย

“ไปเรียกซือโค่วเข้ามา!” เว่ยอ๋องคำรามกะทันหัน ทุกคนในท้องพระโรงต่างเงียบงันเพราะความกลัว

ขันทีรีบวิ่งพรวดออกไป

เงียบงันอยู่เนิ่นนาน เสียงสง่างามข้างกายก็ดังขึ้น “เรื่องนี้อาจมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ท่านซ่งได้โปรดนั่งรอสักครู่ รอจนเสนาบดีกรมอาญาสืบสวนเรื่องนี้จนกระจ่าง เพื่อป้องการการเข้าใจผิด”

ซ่งชูอีมองไปยังผู้พูด มีพิณวางอยู่บนโต๊ะด้านหน้าของคนผู้นั้น ดูจากหน้าตาแล้วอายุเพียงราวๆ สามสิบปี สวมชุดจีนสีม่วงเข้มปักด้วยผ้าไหมสีทอง ใบหน้าหล่อเหลา สีหน้าอบอุ่น มีพลังที่สามารถทำให้จิตใจผู้คนอื่นสงบลงได้

ซ่งชูอีลอบเดาอยู่ในใจว่าผู้นี้น่าจะเป็นองค์ชายอั๋ง เขาเป็นท่านแม่ทัพลัทธิขงจื้อผู้หนึ่ง ว่ากันว่ามีความเชี่ยวชาญในจังหวะดนตรี ไม่เพียงมีทักษะการดีดพิณที่ยอดเยี่ยม แต่ยังสามารถประพันธ์บทเพลงได้ และได้รับความยกย่องอย่างสูง ถ้าหากเป็นเขาจริงๆ ในความเป็นจริงก็น่าจะอายุสี่สิบกว่าแล้ว กล่าวได้ว่าวันเวลาแห่งความสุขนั้นหล่อเลี้ยงจิตใจคนได้อย่างดีโดยแท้

“ท่านซ่งเชิญนั่ง” เว่ยอ๋องผ่อนคลายอารมณ์โกรธพร้อมเอ่ย ภายในจวนรับรองแห่งนครหลวงยังเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ อีกทั้งยังทิ่มแทงเขาซึ่งหน้า จะให้เขาเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน! เขาจะต้องนำตัวผู้บงการมาหั่นเป็นหมื่นชิ้นจึงจะสามารถกู้เศษหนึ่งในหมื่นของใบหน้าเขากลับคืนมาได้!

“ขอบพระทัยเว่ยอ๋อง” ซ่งชูอีนั่งคุกเข่าลงบนที่นั่งที่องค์ชายอั๋งจัดหามาให้

“ท่านรู้เรื่องดนตรีหรือไม่?” องค์ชายอั๋งหันมาเริ่มบทสนทนากับซ่งชูอีเพื่อลดบรรยากาศอันตึงเครียด

“เพียงเล็กน้อย” ซ่งชูอีมีความรู้สึกดีๆ ต่อท่านแม่ทัพขงจื้อผู้นี้ เขากับพระเชษฐาของเขาซึ่งก็คือเว่ยอ๋องมีอุปนิสัยที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง หากเทียบเว่ยอ๋องเป็นผู้น้อย เช่นนั้นองค์ชายอั๋งก็คือสุภาพบุรุษ เขายึดถือความเมตตา คุณธรรม มารยาทและความเชื่อใจ อีกทั้งเขายังเป็นแม่ทัพผู้นำกองทหารเข้าสู่สงคราม หากอยู่ในยุคชุนชิวจะต้องเป็นที่สรรเสริญทั่วหล้าอย่างแน่นอน ทว่านี่คือยุคจั้นกั๋ว เป็นยุคสมัยที่สนับสนุนการฉ้อโกง พฤติกรรมเช่นเขานี้ทำได้เพียงถูกวางไว้อยู่บนหิ้งสูงเพียงเพื่อการชื่นชมเท่านั้น

กล่าวอีกนัยหนึ่ง นี่คือความประพฤติที่ถูกกำจัดไปตามกาลเวลา ซ่งชูอีมีเพียงความรู้สึกดีๆ ต่อเขาเท่านั้น

“ถ้าเช่นนั้นท่านดีดสักเพลงเป็นไร?” องค์ชายอั๋งยิ้มเอ่ย

จะต้องพูดว่ารอยยิ้มขององค์ชายอั๋งนั้นน่าหลงใหลเป็นอย่างมาก ในความสง่างาม ความอบอุ่นและความเป็นมิตรนั้นแฝงด้วยความเป็นธรรมชาติจางๆ ทำให้ผู้คนยากที่จะปฏิเสธคำเชิญของเขา

“กระหม่อมมิบังอาจดีดพิณต่อพระพักตร์องค์ชาย” ทว่าซ่งชูอีกลับยังปฏิเสธ

“ท่ายซ่งโปรดวางใจ ข้าจะต้องมีคำอธิบายแก่ท่านในเรื่องนี้” เว่ยอ๋องเห็นว่าซ่งชูอีปฏิเสธองค์ชายอั๋งก็รู้ว่านางอารมณ์ไม่ดีและไม่เต็มใจที่จะพูดคุยเรื่องนี้

เดิมทีองค์ชายอั๋งเพียงต้องการผ่อนคลายบรรยากาศเท่านั้นและเพื่อทำความรู้จักกับซ่งหวยจินเสียหน่อย ในเมื่อนางไม่ยินยอม เขาก็จะไม่ฝืนใจ จากนั้นจึงถามเรื่องอื่น “ได้ยินว่าท่านเป็นศิษย์สำนักเต๋า? ไม่ทราบว่าอาจารย์คือท่านใด”

“องค์ชายอั๋งได้โปรดให้อภัย ในชีวิตนี้หวยจินไม่เคยเอ่ยนามอาจารย์” ขอเพียงรู้นามอาจารย์และสำนัก ก็สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาได้ ซ่งชูอีเดาว่าบัดนี้สำนักเต๋าไม่มีชื่อของนางอีกต่อไปแล้ว และเพราะว่านางไม่ต้องการดึงสถานะอื่นมาปิดบังตัวตนอีก

องค์ชายอั๋งถูกปฏิเสธติดต่อกันถึงสองครั้งก็มิได้ถือโทษ ทว่าสีหน้าของเว่ยอ๋องกลับเริ่มมืดมน ลอบด่าอยู่ในใจ ‘เด็กเมื่อวานซืนคนนี้ช่างไร้มารยาทเสียจริง!’

“ฝ่าบาท ซือโค่วมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีรายงาน

“รีบให้เขาเข้ามา” เว่ยอ๋องเอ่ย

“พะย่ะค่ะ” ขันทีรับคำสั่งแล้วออกไป

ไม่ช้า ก็มีชายชราวัยห้าสิบกว่าผู้หนึ่งเดินเข้ามาอย่างว่องไว ฝีเท้ามีความยุ่งเหยิงเล็กน้อย แต่ลักษณะท่าทางยังแข็งแรงมาก

หลังจากเขายืนอย่างมั่นคงแล้วก็ค้อมคำนับ “ถวายบังคมฝ่าบาท”

“ตามสบาย” เว่ยอ๋องหันไปทางซ่งชูอี “ได้โปรดท่านซ่งเล่าเรื่องนี้ให้ซือโค่วฟังด้วย”

ซือโค่วเป็นชื่อของเจ้าหน้าที่กรมอาญา เป็นตำแหน่งทางการสูงสุดในการบริหารเรือนจำ เว่ยอ๋องให้เขารับผิดชอบเรื่องนี้ด้วยตนเอง เห็นได้ชัดว่าให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

ซ่งชูอียืดตัวตรงแล้วค้อมคำนับซือโค่ว “วันนี้พลบค่ำ มีทหารรักษาการณ์หกนายบังคับขืนใจสาวใช้ผู้ติดตามข้าในจวนรับรอง พวกเขาได้รับบาดเจ็บจากคมดาบและสัตว์เลี้ยงของข้าขณะที่หลบหนี”

การที่สาวใช้ถูกขืนใจมิใช่เรื่องใหญ่กระไรเลย ทว่าซ่งชูอีเป็นบัณฑิตผู้มีความสามารถ อีกทั้งเรื่องนี้ยังเกิดขึ้นในจวนรับรอง หากบอกว่าเบาบางก็เพราะละเลยในการป้องกัน หากบอกว่าหนักหนาก็เพราะเป็นการดูถูกศักดิ์ศรีของบัณฑิต

“ท่านซ่งวางใจ ข้าจะจับตัวคนร้ายมาให้ได้ภายในสามวัน” ซือโค่วกล่าวอย่างเคร่งขรึม ในเมื่อซ่งชูอีได้ทำพวกเขาเหล่านั้นบาดเจ็บ หากคิดจะจับก็มิใช่เรื่องง่ายหรอกหรือ? เพียงแค่ตรวจดูบาดแผลก็เป็นอันใช้ได้แล้ว