บทที่ 119 ตลอดไปคือนานเท่าใด

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยก็จะรอข่าวดี” ซ่งชูอีกล่าว

เว่ยอ๋องกำชับซือโค่วไม่กี่คำ จากนั้นก็ปล่อยให้เขาออกไป

จากนั้นซ่งชูอีก็ทูลลาเช่นกัน

พระราชวังแห่งเว่ยอ๋องแห่งนี้ใช่ว่าใครคิดจะมาก็มา ใครคิดจะไปก็ไปได้ อย่างไรก็ดีบัดนี้รัฐเว่ยเป็นฝ่ายละเลยนางก่อน จึงยังไม่เป็นการดีที่จะซักไซ้ไล่เลียงเกี่ยวกับการเป็นขุนนางในรัฐเว่ยทันที

นอกเหนือจากนี้ เว่ยอ๋องก็ไม่ต้องการรีบมอบตำแหน่งขุนนางชั้นสูงให้กับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ก่อนที่จะดำเนินการนี้ เขาจำเป็นต้องทดสอบนางด้วยตัวของเขาเอง

ครั้นซ่งชูอีกลับมาถึงจวนที่พักก็เห็นว่าไฟภายในห้องสว่างอยู่ ผลักประตูเข้าไป เห็นเจ้าอี่โหลวกำลังนั่งอยู่ใต้แสงไฟตามคาด ถือสมุดไผ่ม้วนหนึ่งอยู่ในมือ เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูก็วางสมุดไผ่ลง

“รีบกลับไปพักผ่อนเถิด” ซ่งชูอีถอดเสื้อคลุมตัวใหญ่ออก เดินเข้าไปในห้อง

“อืม” เจ้าอี่โหลวตอบรับเสียงหนึ่ง ขณะที่ลุกขึ้นกำลังจะออกไป ซ่งชูอีก็โผล่ศีรษะออกมากจากห้องด้านใน “นี่”

เจ้าอี่โหลวหยุดเดิน

ซ่งชูอีเอ่ย “นอนด้วยกัน”

“อืม” เจ้าอี่โหลวพยักหน้า จากนั้นก็หมุนตัวเดินเข้าไปในห้อง

เตียงใหญ่มาก อีกทั้งมีเครื่องนอนสองชุด หลังจากทั้งสองคนต่างปลดเปลื้องเสื้อผ้าและนอนลงแล้ว เจ้าอี่โหลวก็เปิดผ้าห่มของตัวเองพร้อมเอ่ยขึ้น “อย่านอนด้วยผ้านวมสองผืนเลย”

“เพราะเหตุใด?” ซ่งชูอีเหน็บๆ มุมผ้านวมของตัวเอง

เจ้าอี่โหลวกล่าว “ถึงอย่างไรวันรุ่งขึ้นเจ้าก็มาอยู่ในผ้านวมของข้าอยู่ดี”

ซ่งชูอียื่นมือช่วยห่มผ้าให้เขา เอ่ยขึ้น “เจ้าไม่เข้าใจข้อนี้เสียแล้ว เวลาข้าตื่นขึ้นมามักจะมีความวู่วามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าหากข้าทนไม่ไหวลงมือกับเจ้าล่ะ?”

สีหน้าของเจ้าอี่โหลวแดงก่ำอยู่ในความมืดมิด พลิกตัวหันหลังให้นาง กล่าวเสียงเบา “เหตุใดเจ้าถึงได้อันธพาลเช่นนี้”

ซ่งชูอีหาวแล้วพูดว่า “หากไม่อันธพาลก็สูญเสียความอ่อนเยาว์โดยเปล่า”

“ข้ารู้เรื่องของจื๋อหย่าแล้ว” เจ้าอี่โหลวเอ่ย

“หืม…แล้วอย่างไรต่อ?” ซ่งชูอีรู้สึกง่วงนอนเล็กน้อยจึงหลับตาลง ตอบรับด้วยความสะลึมสะลือ

“เจ้าไม่เสียใจแล้วหรือ?” เจ้าอี่โหลวพลิกตัวมามองนาง

ซ่งชูอีจำต้องลืมตาภายใต้แววตาที่เป็นประกายของเขา “ข้าเคยเสียใจเพราะจื๋อหย่างั้นหรือ? ข้ารู้ตั้งแต่เริ่มแรกแล้วว่านางไม่รักดี มิเช่นนั้นจะอยู่ได้จนถึงบัดนี้หรือ?”

จื๋อหย่ามิใช่คนที่รู้บุณคุณคนเช่นจื่อเฉา อีกทั้งด้วยอุปนิสัยของนางเช่นนั้น หากส่งเข้าไปในพระราชวัง คาดว่าเพียงไม่กี่วันก็จะไม่เหลือแม้กระทั่งซากด้วยซ้ำ ในพระราชวังนั้น หากไม่ฉลาดนับว่าไม่ใช่ปัญหาเท่าใดนัก คนที่ทนงตนว่าฉลาดต่างหากที่จะต้องจบชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงมิได้

“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ที่เจ้าโกรธก็เพราะหนิงยา?” เจ้าอี่โหลวถาม

ความง่วงเข้าจู่โจมซ่งชูอีอีกครั้ง นางเอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้าน “คงใช่กระมัง”

ภายในห้องเงียบสงบลง เจ้าอี่โหลวมองดูแสงจันทร์ที่สาดส่องอยู่บนใบหน้าของซ่งชูอีจากนอกหน้าต่าง ผิวขาวดุจหยกของนางคล้ายเปล่งแสงจางๆ นางมิได้มีใบหน้าที่งดงามนัก อย่างไรก็ดีไม่ว่าจะเป็นเวลาที่นางพูดถึงการครอบครองใต้หล้าอย่างกะตือรือร้น หรือตอนที่เย้าเล่นด้วยความเกียจคร้าน หรือแม้กระทั่งตอนที่ด่าทอคนด้วยความโกรธเคือง…ล้วนดูมีชีวิตชีวาเหลือเกิน

ผ่านไปเนิ่นนาน เจ้าอี่โหลวพูดขึ้น “ข้าจะไม่มีวันหักหลังเจ้าตลอดไป”

คำตอบที่เขาได้รับคือเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของซ่งชูอี

มองนางเงียบๆ ครู่หนึ่ง เจ้าอี่โหลวเปลี่ยนท่า นอนลงและหลับตา ขณะที่กำลังจะหลับนั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงแหบแห้งเล็กน้อยดังขึ้น “ตลอดไปคือนานเท่าใด?”

เจ้าอี่โหลวครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “ไม่รู้ว่านานเท่าใด ทว่าจนวันตายแน่นอน”

“เช่นนั้นข้าก็รู้แล้วว่านานเท่าใด” เสียงของซ่งชูอีเจือปนรอยยิ้ม

“เจ้ารู้หรือว่าข้าจะมีชีวิตนานเท่าใด?” เจ้าอี่โหลวเอ่ยด้วยความประหลาดใจ

ซ่งชูอีหัวเราะเอ่ย “ข้านับนิ้วดูแล้ว แปดสิบปี”

เจ้าอี่โหลวก็หัวเราะเช่นกัน “ถ้าหากว่าไม่แม่นเล่า?”

“เจ้าสามารถอยู่ข้างกายข้าได้ตลอดไป หากไม่แม่นก็คิดบัญชีกับข้าได้” ซ่งชูอีกล่าว

เจ้าอี่โหลวถาม “ถ้าหากว่าแม่นเล่า?”

“เจ้าสามารถอยู่ข้างกายข้าได้ตลอดไป หากแม่นก็ต้องขอบคุณข้าอย่างงาม” ซ่งชูอีกล่าว

เจ้าอี่โหลวพยักหน้า เอ่ยขึ้น “มีเหตุผล ทว่าเจ้าจะขายข้าหรือไม่?”

เพี๊ยะ! ซ่งชูอีเอื้อมมือตบหน้าผากของเขาทีหนึ่ง “เลิกพูดจาไร้สาระเช่นนี้ได้แล้ว ข้าจะรอจนครบแปดสิบปีเพื่อพิสูจน์ว่าการทำนายดวงชะตาของข้าผู้แซ่ซ่งนั้นแม่นยำ!”

“มือยังหนักจริงๆ” เจ้าอี่โหลวนวดคลึงหน้าผาก บ่นพึมพำ

“ใครสั่งให้มารดาเจ้าสมควรถูกตีเล่า!” ซ่งชูอีพูดอย่างคลุมเครือ มุมปากกลับยกทำมุมยิ้มเล็กน้อย

สำหรับซ่งชูอีแล้ว ผู้ที่สามารถละทิ้งตำแหน่งองค์จวินและใช้ชีวิตพเนจรกับนางได้ สองชาตินี้รวมกันก็มีเจ้าอี่โหลวหนึ่งคน อีกทั้งยังเป็นหนุ่มรูปงามที่หาได้ยากยิ่งในใต้หล้า ซ่งชูอีคิดไปคิดมาก็ทำได้เพียงถอนหายใจ ในที่สุดสวรรค์เมตตาข้าผู้แซ่ซ่งแล้ว!

และนางจะหวงแหนความรักดังกล่าวอย่างยิ่งยวดแน่นอน

นางหลับฝันหวานตลอดทั้งคืน

ขณะที่ซ่งชูอีลืมตาในเช้าวันรุ่งขึ้น ก็พบว่าตัวเองกำลังอยู่ในผ้านวมของเจ้าอี่โหลวจริงๆ

ใบหน้าเจ้าอี่โหลวแดงก่ำ เอ่ยด้วยเนื้อตัวแข็งทื่อ “เอามือของเจ้าออกไป!”

ซ่งชูอีจึงรู้ตัวว่ามือข้างหนึ่งของตัวเองกำลังคว้าในจุดที่ไม่ควร อดไม่ได้ที่จะเคลื่อนไหวอุ้งมือ หัวเราะฮ่าๆ แล้วกระโดดลงมาจากบนเตียง

“ซ่งหวยจิน!” เจ้าอี่โหลวคำรามด้วยความโมโห กระโดดลงมาจากเตียงเพื่อไล่จับนาง

ทั้งสองคนส่งเสียงเอะอะ มือข้างหนึ่งของเจ้าอี่โหลวคว้าหน้าอกของซ่งชูอีโดยไม่ได้ตั้งใจ

เงียบสงัดไปชั่วขณะ แววตาต่างจับจ้องไปยังตำแหน่งที่มือของเจ้าอี่โหลวสัมผัสหน้าอกของนาง

“ฮ่า!” ซ่งชูอีหลุดขำ มองดูการแสดงออกของเจ้าอี่โหลวนับตั้งแต่ปฏิกิริยาตอบสนองอันขวยเขิน สู่ความประหลาดใจที่ค้นพบว่าคว้าไม่โดนอะไรเลยนั้นตลกมากจริงๆ อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปที่เป้ากางเกงพร้อมเอ่ย “มาๆ พวกเรามาแลกกันดูเถิด”

“ใครจะอยากดู!” เจ้าอี่โหลวชักมือกลับ ไปหยิบเสื้อผ้าแล้วสวมใส่ทีละตัว

วันนี้ซ่งชูอีอารมณ์ดีอย่างยิ่ง หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จแล้วก็ไล่เจ้าอี่โหลวให้ไปฝึกดาบ ตัวเองหยิบชุดหมากรุกมาวางไว้ใต้เฉลียงเพื่อเล่นคนเดียว อีกทั้งยังสั่งการลงไป ว่าไม่จำเป็นต้องดูแลหนิงยาเป็นพิเศษ ให้นางกินและอาศัยเหมือนกับบ่าวคนอื่นๆ

“ท่าน” เสียงเรียกของผู้หญิงที่อ่อนแอเล็กน้อยดังขึ้น

ซ่งชูอีไม่เงยหน้าก็รู้ว่าเป็นจื๋อหย่า จึงเอ่ยขึ้น “นั่งสิ”

จื๋อหย่าคุกเข่าลงตรงข้ามซ่งชูอี พูดว่า “ได้โปรดท่านปล่อยบ่าวไปเถิด!”

“เจ้าต้องการจะหนี เพราะมาจากหัวใจของเจ้าเอง หรือเพราะว่ามีคนยุยงเจ้า?” ซ่งชูอีก้มหน้าวางหมากสีขาวตัวหนึ่งลงบนกระดานหมาก

“ไม่มี” จื๋อหย่าเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ไม่มีคนยุยงเจ้าค่ะ”

“เจ้าต้องการจะไปก็ไปได้ทุกเมื่อ” ในที่สุดซ่งชูอีก็เงยหน้าขึ้นมามองนาง “ก่อนจะไป ข้าขอเตือนด้วยความหวังดี”

จื๋อหย่าค้อมตัวเอ่ย “ได้โปรดท่านชี้แนะ”

“ในโลกที่กว้างใหญ่นี้ ผู้คนก็เหมือนมด การเคารพตนเองและการรักตนเองเป็นสิ่งสำคัญ ทว่าบางทีก็อย่าคิดว่าตัวเองสำคัญจนเกินไป มิฉะนั้นเจ้าจะรู้สึกว่าคนทั้งโลกปฏิบัติไม่ดีต่อเจ้า” ซ่งชูอียิ้มน้อยๆ “ยังมีอีกคำแนะนำหนึ่ง ในตอนนี้จื่อเฉาคงมิได้มีชีวิตที่ง่ายนัก หากคิดที่จะยืดหยัดอยู่ในพระราชวังฉินก็คงไม่ง่ายขนาดนั้น ถึงเจ้าไปก็คงช่วยอะไรมิได้มาก ในทางกลับกันจะทำให้นางฟุ้งซ่าน หากเจ้าปรารถนาต่อพี่สาวเจ้าด้วยใจจริง ก็ไม่ควรไปในเวลานี้”

มือของจื๋อหย่าที่วางอยู่บนหน้าตักจับกระโปรงแน่น มิได้ตอบ

เงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ซ่งชูอีเงยหน้าเอ่ย “ว่าเยี่ยงไร ยังมีอะไรรึ?”

“ไม่มีเจ้าค่ะ” จื๋อหย่าลุกขึ้นทันที กลับเข้าห้องเก็บข้าวของ

หลังจากซ่งชูอีเรียกให้คนส่งนางออกไปจากจวนรับรองแล้วก็เรียกจี้ฮ่วนเข้ามา สั่งกำชับว่า “ตามนางไป หลังจากออกจากนครแล้ว หากนางมุ่งหน้าไปยังฉินก็ฆ่าเสีย เรื่องนี้สำคัญยิ่ง ห้ามพลาดเด็ดขาด”