บทที่ 120 ไม่อาจหักล้างความทรยศ

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

รัฐเว่ยมีความเด็ดขาดในการแก้ปัญหาต่อกรณีทหารรักษาการณ์ข่มขืนสาวใช้เป็นอย่างยิ่ง นอกเหนือจากคนนั้นที่ตายไปแล้ว คนที่เหลือล้วนถูกจับได้ภายในคืนเดียว อีกทั้งยังโดยห้าม้าแยกศพซึ่งเป็นที่เลื่องลือทั่วหล้า

ผลลัพธ์นี้เป็นไปตามที่ซ่งชูอีคาดการณ์ไว้ รัฐเว่ยมิได้เพียงทำเพื่อนางซ่งชูอี แต่เพื่อเหล่าบัณฑิตใต้หล้า ให้พวกเขาได้เข้าใจว่ารัฐเว่ยเคารพในความสามารถมากเพียงใด

หลายวันที่ผ่านมาซ่งชูอีมิได้มีความเคลื่อนไหวใหญ่กระไร เพียงเพราะอาการบาดเจ็บของจี๋อวี่ยังมิหายดี บัดนี้บาดแผลบนร่างกายของจี๋อวี่โดยทั่วไปหายเป็นปกติแล้ว ซ่งชูอีจึงปล่อยให้เขาพาหนิงยาจากไปก่อน

เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างความรู้สึกต่อต้านแก่ซ่งชูอีและหมิ่นฉือ ทหารรักษาการณ์แห่งรัฐเว่ยจึงมิได้ควบคุมคนอื่นอย่างเข้มงวดนอกเหนือจากสองคนนี้ นี่ทำให้นางสามารถฉวยโอกาสที่จะแยกกันออกไปก่อนได้

ซ่งชูอีเหลือเพียงเจ้าอี่โหลวกับเจียนไว้

เจียนเป็นคนที่ซ่งชูอีเก็บได้จากกองศพในรัฐเว่ย์ เขาพูดน้อยยิ่ง น้อยจนกระทั่งคนที่ไม่รู้จักยังนึกว่าเขาเป็นใบ้ เขาติดตามซ่งชูอีเงียบๆ ราวกับเงาตามตัว หากไม่ระวังก็อาจละเลยเขาไปได้

หยุดอยู่ในรัฐเว่ยเป็นเวลาหนึ่งเดือน บัดนี้เข้าสู่เดือนสี่แล้ว ดอกท้อกลายเป็นแดงและต้นหลิวกลายเป็นสีเขียวทั่วทุกพื้นที่

ด้วยข่าวของ “ทฤษฎีการโค่นรัฐ” แพร่สะบัดมาถึงในพระราชวังเว่ยอ๋อง บัดนี้เว่ยอ๋องจึงเริ่มนั่งไม่ติดที่ เนื้อหาเฉพาะเจาะจงของ “ทฤษฎีโค่นรัฐ” เป็นอย่างไรนั้น แม้แต่แหล่งข่าวผู้สันทัดกรณีเช่นชมรมป๋ออี้ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ ทว่าเพียงแค่ไม่กี่คำนี้ก็กระทบกระเทือนจิตใจของเว่ยอ๋องอย่างสาหัส นี่คือสิ่งที่เขาคิดแม้ขณะหลับฝัน!

หมิ่นฉือเก็บเนื้อเก็บตัวเป็นอย่างมากในหลายวันนี้ แทบจะไม่โผล่หน้าออกมาเลย บางครั้งเมื่อพบซ่งชูอีก็ชักสีหน้า เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สามารถไถ่ถอนหนังสือคืนมาได้

นี่มันแน่นอนอยู่แล้ว หนังสือเหล่านั้นของหมิ่นฉือล้วนเป็นของสะสมล้ำค่า เป็นสิ่งที่หาได้ยาก ครั้นถูกวางอยู่ในร้านหนังสือ ก็จะถูกยื้อแย่งเพื่อเอากลับไปซ่อนไว้ที่บ้านทันที หากเขาหามันกลับมาได้จึงจะเป็นเรื่องแปลก

ซ่งชูอีรู้สึกเบื่อหน่าย สั่งให้คนนำแผ่นไม้ไผ่เปล่าๆ เข้ามา หยิบมีดและเริ่มแกะสลักเป็นตัวอักษร สิ่งที่แกะสลักนั้นก็คือเนื้อหาในหนังสือเหล่านั้นของหมิ่นฉือ

ครั้นลมพัดผ่าน ดอกซิ่งฮวาในลานก็โปรยปรายดุจหิมะ

ซ่งชูอีแกะจนเหนื่อยแล้ว ยืดๆ คอขึ้น เห็นว่ามีชายวัยกลางคนในชุดสีม่วงอ่อนลายปักสีเงินผู้หนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นซิ่งฮวาไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร พกพิณคันหนึ่ง ผมสีดำปล่อยสยาย ยิ้มอย่างสง่างาม

“ถวายบังคมฝ่าบาท” ซ่งชูอีลุกขึ้นโค้งคำนับ

“ท่านไม่ต้องมากพิธี” องค์ชายอั๋งเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า “จู่ๆ เข้ามารบกวนเช่นนี้ ได้โปรดท่านอย่าถือสา”

“ฝ่าบาทมาด้วยตนเอง นับเป็นเกียรติของหวยจิน เชิญเข้ามานั่งด้านในเถิด” ซ่งชูอีกล่าว

มีรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าขององค์ชายอั๋ง “ด้านนอกอากาศดี นั่งกันที่เฉลียงเถิด ตอนนี้กำลังแกะตัวอักษรอยู่หรือ?”

องค์ชายอั๋งวางพิณลง สะบัดแขนเสื้อแล้วคุกเข่าลงตรงข้ามโต๊ะตัวเล็ก

“ครั้งนี้มาด้วยความเร่งด่วน มิทันได้พกหนังสือบางเล่ม ฉะนั้นจึงอาศัยช่วงที่ยังจำได้แกะมันออกมา” ซ่งชูอีม้วนเก็บใบไผ่พร้อมพูดขึ้น

“ข้าเห็นว่าท่านมีอิสระเสรีเช่นนี้ คิดว่าฝีมือการดีดพิณก็คงเป็นเช่นเดียวกัน ฉะนั้นจึงมารบกวนอีกครั้ง” องค์ชายอั๋งกล่าวพลางวางพิณลงบนโต๊ะ

เขาคลั่งไคล้ในเสียงดนตรี สิ่งที่เขารักมิใช่ความแม่นยำในท่วงทำนอง แต่กลับเป็นความรู้สึกที่อยู่ในบทเพลง ยกตัวอย่างเช่นเสียงพิณของผู้ที่รักอิสระนั้นย่อมแตกต่างจากผู้ที่อยู่ในกรอบระเบียบอย่างสิ้นเชิง

ซ่งชูอีกลับไม่บ่ายเบี่ยง หันพิณไปยังทิศทางตรงกันข้าม วางปลายนิ้วลงพลันเข้าสู่บทเพลงทันที

บทเพลงนั้นคือ “สุ่ยเซียนเชา” ตำนานเล่าว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของป๋อหยาและเป็นผลงานอันเลื่องชื่อของเขาอีกด้วย

เสียงเพลงไหลรินออกมาจากปลายนิ้วของซ่งชูอีอย่างเชื่องช้า รำพึงรำพันอ้อยอิ่ง จังหวะอ่อนโยนบางเบา ราวกับกำลังเดินลึกเข้าไปในแม่น้ำอันกว้างใหญ่และหุบเขาลึก เหมือนกับว่ามันสามารถพาผู้คนออกจากโลกได้ในพริบตา

องค์ชายอั๋งประหลาดใจเล็กน้อย ไม่ช้าก็หลับตาลงปล่อยให้ตัวเองดื่มด่ำไปกับมัน นิ้วเคาะเป็นจังหวะน้อยๆ

หมิ่นฉือกลับมาจากด้านนอกพอดี ครั้นได้ยินเสียงเพลงก็อดไม่ได้ที่จะหยุดเดิน มองไปยังซ่งชูอีที่กำลังบรรเลงพิณ

สายฝนแห่งกลีบดอกไม้โปรยปรายคั่นกลาง ซ่งชูอีสวมชุดธรรมดาสีฟ้าอ่อน ผมสีดำถูกมัดไว้ครึ่งหนึ่ง หลับตาลงราวกับว่ากำลังเพลิดเพลินไปกับการเดินท่องภูเขาและแม่น้ำด้วยเสียงเพลง

เพลงหนึ่งจบลงแล้ว

องค์ชายอั๋งอดไม่ได้ที่จะปรบมือ “ท่านช่างเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง! ความหมายในบทเพลงกว้างไกลนัก คนทั่วไปยากที่จะเข้าถึง!”

“ฝ่าบาทชมเกินไปแล้ว กระหม่อมเพียงบรรเลงตามอำเภอใจเท่านั้น ไม่เชี่ยวชาญในบทเพลงเลยจริงๆ” ซ่งชูอีกล่าวความจริง นางไม่เคยคิดที่จะพึ่งพาทักษะทางศิลปะนี้เพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง ที่เรียนรู้มาก็มิได้มีประโยชน์มากนัก สามารถเล่นเพียงงูๆ ปลาๆ ซึ่งขัดเกลาจิตใจยามเบื่อเป็นใช้ได้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ต้องการทักษะโด เร มี ฟา ซอลเทือกนี้

องค์ชายอั๋งผู้มีความช่ำชองในดนตรี ย่อมฟังออกเป็นธรรมดา ทว่านี่ก็คือจุดที่เขาชอบ “ไร้การปรุงแต่ง อีกทั้งเป็นธรรมชาติ หวนคืนสู่ขั้นพื้นฐานต่างหากจึงจะจับใจผู้คนอย่างแท้จริง”

“ฮ่า” ซ่งชูอีหัวเราะเอ่ย “ฝ่าบาทคงได้กินเนื้อกวางและอุ้งเท้าหมีที่ปรุงอย่างระมัดระวังจนเคยชิน ครั้นได้ชิมเนื้อกระต่ายจึงรู้สึกว่าสดใหม่กระมัง”

องค์ชายอั๋งกล่าว “ท่านมีความเป็นธรรมชาติเช่นนี้ ไม่ควรถูกกักขังอยู่ในที่แห่งนี้จริงๆ”

คำพูดนี้ค่อนข้างน่าสนใจ สามารถตีความได้ว่า รีบตกลงรับใช้รัฐเว่ยแล้วแสดงความสามารถโดยเร็วเถิด หรืออาจพูดได้ว่า รัฐเว่ยระแวดระวังเจ้าขนาดนี้ ช่างทำไม่ถูกจริงๆ

ไม่ว่าจะเป็นความหมายใด ตามการคาดเดาต่างๆ แล้ว ซ่งชูอีคิดว่าจะเป็นอย่างหลัง องค์ชายอั๋งมีความคับข้องใจต่อเว่ยอ๋อง และก็มิได้ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจให้กับรัฐเว่ยอย่างแน่นอน จึงไม่น่าจะมาพูดจาหว่านล้อม

องค์ชายอั๋งเห็นหมิ่นฉือที่อยู่ไม่ไกล พยักหน้าน้อยๆ

หมิ่นฉือค้อมคำนับ แล้วเดินเข้าไปในห้อง

องค์ชายอั๋งคุยกับซ่งชูอีครู่หนึ่ง ทันทีที่หัวข้อหนึ่งเริ่มขึ้น ทั้งสองก็ควบคุมตัวเองไม่ได้เหมือนสายน้ำที่ไหลเชี่ยว สุดท้ายก็ยกโต๊ะออกแล้วจับเข่าคุยกัน

น้ำชาถูกเปลี่ยนไปหลายกาแล้ว จนกระทั่งฟ้าใกล้สาง องค์ชายอั๋งจึงยกพิณจากไปอย่างไม่ใคร่เต็มใจนัก

ซ่งชูอีดื่มน้ำคำสุดท้ายแล้วคิดในใจ องค์ชายอั๋งมาเพียงเพื่อคุยเล่นเท่านั้นจริงหรือ?

ซ่งชูอีคิดถึงความเป็นไปได้หลายอย่าง อย่างไรก็ตามในความเป็นจริง นางเพียงแต่เคยชินกับการมองปัญหาด้วย

สายตามืดมนเท่านั้น ในใจรู้เป็นอย่างดีว่าองค์ชายอั๋งไม่ใช่คนเล่นตุกติก

วันรุ่งขึ้น

ในที่สุดจี้อฮ่วนก็นำศีรษะของจื๋อหย่ากลับมา

ซ่งชูอีมองดูเด็กสาวที่เคยมีชีวิตตรงหน้า กลับกลายมาอยู่ในสภาพน่าสยดสยองเช่นนี้ หลับตาลงเล็กน้อย “นำไปฝังเถิด”

“ขอรับ” จี้ฮ่วนตอบรับ

เหตุผลที่ซ่งชูอีไว้วางใจปล่อยให้จี้ฮ่วนไป เพราะรู้ว่าเขาไม่มีหญิงงามอยู่ในสายตา ไม่ว่าจะสวยแค่ไหนเขาก็สามารถลงมือได้ นับประสาอะไรกับจื๋อหย่าที่ไม่ว่าจะดูเยี่ยงไรทั้งรูปลักษณ์และอุปนิสัยล้วนไม่บรรลุสิ่งที่เขาเรียกว่า “คนงาม” เลย

“เจ้าสั่งคนไปฆ่านางหรือ?” เจ้าอี่โหลวเห็นจี้ฮ่วนมัดถุงสัมภาระ กล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจ

“แค่ฆ่าคนมีอะไรน่าประหลาดใจเชียว?” ซ่งชูอีคลำหาผ้าสะอาดออกมา เช็ดคราบเลือดที่เปื้อนโต๊ะ

เจ้าอี่โหลวกล่าว “แต่ว่านาง…ติดตามเจ้ามานานแล้วมิใช่หรือ?”

หรือว่าความรักต่อกันก็ไม่มีเลยเช่นนั้นหรือ? แน่นอนเจ้าอี่โหลวรู้ว่าการฆ่าคนมิใช่เรื่องใหญ่กระไร เขาต้องการจะถามเรื่องนี้ต่างหาก

“คนคนนี้มีจิตใจโหดเหี้ยม หากไว้ชีวิตนางจะกลายเป็นภัยคุกคากที่ซ่อนเร้นเป็นแน่ ส่วนความรักต่อกันนั้นไม่สามารถหักล้างการทรยศได้” ซ่งชูอีโยนผ้าไปอีกทาง

หลังจากจื๋อหย่าถูกข่มขืนแล้วก็ไร้ซึ่งความอ่อนแอหมดหนทางดังผู้หญิงทั่วไป สิ่งที่นางแสดงออกมาคือความอัปยศอดสูและความเคียดแค้นชิงชัง พลังประเภทนี้น่ากลัวยิ่ง ซ่งชูอีจะไปที่รัฐฉินในภายภาคหน้า นางไม่อาจปล่อยให้คนประเภทนี้ไปก่อกวนก่อนเป็นอันขาด