บทที่ 121 คนที่รอมาถึงแล้ว

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

เจ้าอี่โหลวมองดูท่าทีนิ่งเฉยของซ่งชูอีก็รู้สึกว่านางเกรี้ยวกราดเข้าจริงๆ แล้ว ซ่งชูอีมักจะด่าคนด้วยความฉุนเฉียว ในทางตรงกันข้ามอาการที่สงบนิ่งทว่าไร้ความเกียจคร้านเช่นนี้ มักจะให้ความรู้สึกว่าเป็นความโกรธเกรี้ยวราวกับสายอัศนีที่ซ่อนตัวอยู่

เจ้าอี่โหลวไม่เคยเอ่ยคำปลอบใจมาก่อน ได้แต่อาศัยช่วงเวลาว่างเร่งรุดการฝึกกระบี่ และรำกระบี่ให้ซ่งชูอีดูทุกคืน อย่างไรก็ดีสิ่งที่ทำให้เขาแอบรู้สึกขุ่นเคืองก็คือไม่ว่าเขาจะพยายามมากเท่าไร ซ่งชูอีก็มักจะมีท่าทางซังกะตาย ทว่าดวงตานางกลับเริ่มเป็นประกายขณะที่ตัวของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ

หลังจากนั้นเจ็ดวัน องค์ชายอั๋งจะต้องมาพูดคุยกับซ่งชูอีทุกวัน ซ่งชูอีสามารถเดาได้ว่าจะต้องเป็นเพราะเว่ยอ๋องรู้สึกว่าบุคลิกสง่างามเช่นองค์ชายอั๋งนี้สามารถเข้าถึงนางได้ง่ายกว่า จากนั้นก็หาโอกาสพูดจาหว่านล้อม ทว่าองค์ชายอั๋งวันๆ เอาแต่คุยเรื่องพิณ การเดินหมาก หนังสือ และศิลปะ ไม่เคยเอ่ยถึงการปกครองเลย

เพื่อเป็นการทดสอบเขา ในระหว่างนี้ซ่งชูอีจึงเอ่ยถึงเรื่องการปกครองโดยไม่ได้ตั้งใจครั้งสองครั้ง ทว่าเขากลับไม่มีทีท่าสนใจเลย

ตอนกลางคืน

หลังจากอาบน้ำแล้ว ซ่งชูอีก็เดินหมากกับเจ้าอี่โหลวภายใต้แสงไฟ ไป๋เริ่นนอนแทะกระดูกแกะอยู่ข้างเท้าของซ่งชูอี

ขณะที่เริ่มเดินหมากในตอนแรก เจ้าอี่โหลวไม่อาจต้านทานการโจมตีของซ่งชูอีได้แม้กระทั่งเวลาหนึ่งถ้วยชาด้วยซ้ำ ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่าจะมีพัฒนาการอันก้าวกระโดดและสามารถต้านทานได้ถึงครึ่งชั่วยามภายในระยะเวลาอันสั้น

ในระหว่างที่เดินหมากกันนั้น ซ่งชูอีสามารถค้นพบพรสวรรค์ในด้านกิจการทหารของเจ้าอี่โหลวได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่เมื่อก่อนเขามิเคยได้สัมผัสกับสิ่งของประเภทนี้ ดังนั้นจึงดูติดขัดเป็นอย่างยิ่ง และซ่งชูอีก็จะชี้นำเป็นครั้งคราว

รูปแบบการเดินทหารของเจ้าอี่โหลวแตกต่างจากหลงกู่ปู้วั่งโดยสิ้นเชิง เขาจะไม่ทุ่มพลังทั้งหมดไปกับการเสริมสร้างรากฐาน หลงกู่ปู้วั่งจะปกปิดจุดแข็งและใช้เวลาของตัวเองเพื่อเสริมสร้างรากฐานและกองทหารอันแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง หมกมุ่นอยู่กับความสุขในการกวาดล้างกองทัพอย่างไม่เหลือซาก ส่วนเจ้าอี่โหลวมีรูปแบบการโจมตีที่ก้าวร้าวยิ่ง เพียงแค่มอบทหารให้เขาหนึ่งนาย ก็จะสู้จนกว่าชีวิตจะหาไม่

“เจ้าแพ้อีกแล้ว!” ซ่งชูอีทิ้งตัวหมาก ตบๆ ไหล่ของเขา “หักห้ามใจเสียเถิด”

เจ้าอี่โหลวสะบัดมือของนางออก ขมวดคิ้วมองดูหมากสุดท้ายบนกระดาน หยิบตัวหมากกลับไปวางที่เดิมทีละก้าวๆ เพื่อหาความผิดพลาดของตัวเอง

ซ่งชูอีเห็นท่าทางที่จริงจังของเขา อดไม่ได้ที่จะถาม “อี่โหลว เจ้าคิดจะนำทัพสู้รบหรือไม่?”

เจ้าอี่โหลวหยุดชะงักครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “หากเจ้าไป ข้าก็จะไป”

“ชิ ร่างกายของข้าเยี่ยงนี้ ไปรบรนหาที่ตายรึ!” ซ่งชูอีเข้าใจข้อดีและข้อเสียของตัวเองเป็นอย่างดี จะให้นางออกไปรบก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เพียงแต่ไม่อาจนำทัพ ทักษะการยิงธนูอันน้อยนิดของนางนั้น รับไม่ได้แม้แต่คันธนูธรรมดาด้วยซ้ำ “ข้าถามว่าในใจของเจ้าอยากหรือไม่?”

“ไม่อยาก ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไม่ดีหรือ?” เจ้าอี่โหลวไม่เคยคิดจะเอาชีวิตของตัวเองเข้าสู่การต่อสู้ มีเพียงเวลาที่เข้าตาจนเท่านั้น จึงจะกลายเป็นสัตว์เดียรัจฉานกระหายเลือด

ซ่งชูอีเหลือบมองกระดานหมากครู่หนึ่ง ในใจรู้ดีว่าเขาไม่เคยค้นพบสิ่งที่ซ่อนอยู่ในเลือดเนื้อของตัวเองเลย ทว่าเช่นนี้ก็ดี อย่างน้อยนางก็สามารถรับประกันได้ว่าเขาจะไม่จบชีวิตด้วยความเจ็บปวด

“ท่าน” จี้ฮ่วนเคาะประตู

“เข้ามา” ซ่งชูอียืดตัวตรง

จี้ฮ่วนผลักประตูเข้ามาด้วยความเร่งรีบ เมื่อมาถึงข้างกายซ่งชูอีก็กล่าวเสียงกระซิบ “มีคนต้องการพบท่าน”

ในที่สุดคนที่นางรอคอยก็มาถึงแล้ว! ซ่งชูอีไม่ถามว่าเป็นใคร เอ่ยว่า “ให้เขาเข้ามา”

จี้ฮ่วนลอบมองนางด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ตอบรับทันที “ขอรับ”

ซ่งชูอีขยี้ๆ ผม นวดคลึงใบหน้า ทำตัวโทรมๆ

ไม่ช้าจี้ฮ่วนก็พาสาวใช้คนหนึ่งเข้ามาในห้อง สาวใช้คนนี้มีดวงหน้าสมส่วน ไม่มีจุดเด่นกระไร เพียงแต่ดูแล้วรูปร่างสูงใหญ่เล็กน้อย

หลังจากนางเข้ามาในห้อง หลังจากกวาดสายตาไปที่ไป๋เริ่นแล้วก็มองมาที่ซ่งชูอี

“คารวะท่าน” สาวใช้กำหมัด เสียงหยาบกระด้างนั้นชวนให้สะดุ้งโหยง

ซ่งชูอีคิดในใจว่ามิน่าล่ะ หากเป็นผู้หญิงจริงๆ จะไม่มีทางมองไม่เห็นเจ้าอี่โหลวอย่างแน่นอน

“เชิญนั่ง” ซ่งชูอีกล่าว

สาวใช้คนนั้นก็ไม่ปฏิเสธ คุกเข่าลงในตำแหน่งที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากซ่งชูอี เอ่ยจุดประสงค์ที่มาด้วยเสียงกระซิบทันที “ข้าน้อยเป็นสายลับของรัฐฉิน ฝ่าบาทมีจดหมายถามถึงท่านว่ายังจำสัญญาสามปีให้หลังได้หรือไม่ ในช่วงเวลาที่ไม่ปกติเช่นนี้ หากสัญญายังคงมีอยู่ ท่านได้โปรดออกจากรัฐเว่ยไปสู่รัฐฉินกับข้าน้อยเถิด”

“ได้” ซ่งชูอีเอ่ย เรื่องสัญญาสามปีให้หลัง มีเพียงนางกับอิ๋งซื่อสองคนเท่านั้นที่รู้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นตัวปลอม

นางไม่อ้อยอิ่งเลยแม้แต่น้อย จนทำให้สายลับอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หลังยามจื่อ (เที่ยงคืน) ข้าน้อยจะมารับท่าน ได้โปรดท่านเตรียมตัวด้วย ข้าน้อยขอลา”

“ช้าก่อน” ซ่งชูอีเรียกเขา

สายลับผู้นั้นหยุดชะงัก ซ่งชูอียัดกาน้ำชาใส่มือเขา “เชิญเถิด”

สายลับเข้าใจในทันที ในเมื่อเขาก็แต่งตัวเป็นสาวใช้แล้วซ่งชูอีก็อยากให้เขาแต่งให้ครบองค์ประกอบ

รัฐเว่ยกับรัฐฉินทำสงครามต่อกันไม่หยุดหย่อน ซ่งชูอีได้คาดการณ์เอาไว้แล้วว่าจะต้องมีสายลับของรัฐฉินในรัฐเว่ย ถึงอย่างไรนางก็ไม่รีบร้อน ยืดเวลาออกไป รอให้สายลับของรัฐฉินแทรกซึมตัวเข้ามา ในเมื่อมีคนพาหลบหนี เหตุในนางจะต้องเสียเวลาและความพยายามของตัวเองให้ลำบากด้วยเล่า!

ทว่าการดำเนินการของชาวฉินนั้นรวดเร็วกว่าที่นางคิดไว้มาก สามารถแฝงตัวเข้ามาในจวนรับรองที่มียามรักษาการณ์คุ้มกันอย่างแน่นหนาภายในระยะเวลาไม่ถึงสองเดือน อีกทั้งยังเปิดทางไว้ให้ การทำงานเรียบร้อยและหมดจดเช่นนี้ ช่างเป็นรูปแบบของอิ๋งซื่อโดยแท้

หลายวันมานี้ ซ่งชูอีก็ไม่สามารถติดตามข่าวสารของรัฐฉินได้เช่นกัน ไม่รู้ว่าปัญหาที่เหลืออยู่ของซางจวินได้ถูกจัดการไปถึงขั้นไหนแล้ว

“จัดของให้ระวังด้วย” ซ่งชูอีกล่าว

จี้ฮ่วนตอบรับเสียงหนึ่ง แล้วเดินออกไป

ที่จริงก็ไม่มีกระไรให้พกพามากนัก ข้าวของส่วนตัวทั่วไปของซ่งชูอีล้วนไม่สำคัญ มีเพียงจวี้ชางอันหนักอึ้งเท่านั้นที่ไม่สามารถทิ้งไปได้

ซ่งชูอีลากกล่องที่บรรจุจวี้ชางออกมาจากใต้เตียง ใช้ผ้าปูเตียงห่อเอาไว้แล้วส่งให้เจ้าอี่โหลวพร้อมเอ่ย “เจ้าแบกมันเอาไว้”

เจ้าอี่โหลวมองดูกล่องขนาดมหึมานี้ ขมวดคิ้วเอ่ย “ป่านนี้แล้วยังจะพกของใหญ่เพียงนี้อีกหรือ?”

“สิ่งนี้ยกให้เจ้า มารดาเจ้าเอ๊ยจะแบกหรือไม่!” ซ่งชูอียัดของใส่อกเขาด้วยอารมณ์ไม่ใคร่ดีนัก

“ให้ข้าหรือ?” สีหน้าของเจ้าอี่โหลวเปี่ยมด้วยความยินดี วางของลงบนเตียงทันที เปิดออกดูว่ามันคืออะไร

ครั้นเปิดกล่องออก จวี้ชางสีดำมืดข้างในเผยออกมาให้เห็น มันนอนแน่นิ่งอยู่ในกล่อง พลังงานอันแข็งแกร่งถูกปลดปล่อยออกมาตามธรรมชาติและดึงดูดสายตาของเจ้าอี่โหลวทันที

เจ้าอี่โหลวก็เหมือนกับผู้ชายทั่วไปที่ชอบอาวุธ ซ่งชูอีได้เลือกสรรดาบที่ตรงกับความต้องการของเขาอย่างพอดิบพอดี เขาไม่ชอบดาบที่มีน้ำหนักเบา แม้จะสะดวกในการใช้งานทว่ามันให้ความรู้สึกไม่สมจริง จวี้ชางเล่มนี้ราวกับสร้างมาพิเศษเพื่อเขาโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะมองมองจากมุมไหนก็ไร้ข้อติแม้แต่น้อย

“ดาบนี่ถูกหล่อเมื่อใด?” เจ้าอี่โหลวชอบจนวางไม่ลง

“ข้าจะรู้ได้เยี่ยงไร?” ซ่งชูอีจัดของที่จะต้องนำไปเรียบร้อยแล้ว นอนลงในชุดคลุม

เจ้าอี่โหลวข่มความรู้สึกที่อยากลองดาบเอาไว้ ถูตัวดาบครั้งแล้วครั้งเล่าภายใต้แสงตะเกียงน้ำมัน “ดาบเล่มนี้มีน้ำหนักดีจริงๆ เห็นทีข้าต้องฝึกกำลังแขนให้มากกว่านี้แล้ว”

“อืม”

“จะต้องแพงมากกระมัง?”

“อืม”

“ซื้อตั้งแต่เมื่อใด?”

ซ่งชูอีลืมตาแล้วกล่าวด้วยความหงุดหงิด “ให้ตายเถอะเจ้าพูดจบแล้วหรือยัง นอน!”

เจ้าอี่โหลววางดาบเข้าไปในกล่องอย่างอดเสียมิได้ หลังจากมัดเรียบร้อยแล้วจึงนอนลงบนเตียง โน้มตัวเข้าไปหา

ซ่งชูอีโดยไม่รู้ตัว “หวยจิน หลังจากที่คลาดกันเพราะถูกฝูงหมาป่าไล่ล่า เจ้าออกตามหาข้าใช่หรือไม่?”