เล่ม 1 ตอนที่ 121 กราบเป็นอาจารย์

สลับชะตา ชายามือสังหาร

ผ่านไปไม่กี่วันก็มาถึงวันเริ่มเข้าชั้นเรียนแล้ว

ในเมื่อล้มเลิกการต่อสู้กับตระกูลน่าหลาน ซือหม่าโยวเย่ว์จึงกลับมายังวิทยาลัย เพียงแค่กำหนดวันให้คนมารับยาวิเศษ

เมื่อกลับมาถึงเรือนพัก ซือหม่าโยวเย่ว์ก็เห็นคนทั้งสี่ยืนอยู่ในลานบ้าน

“อะแฮ่มๆ พวกเจ้ามาทำอะไรกันอยู่ที่นี่น่ะ” เมื่อเห็นพวกเป่ยกงถังแต่ละคนมีสีหน้าถมึงทึงราวกับผู้พิพากษา เธอจึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“บอกมาสิว่าจะให้พวกเราเค้นข้อมูล หรือเจ้าจะสารภาพความจริงออกมาเอง” เว่ยจือฉีพูด

“สารภาพอะไรหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์กะพริบตาปริบๆ

“เจ้าสำเร็จเป็นนักหลอมยาตั้งแต่เมื่อใดกัน พวกเราใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับเจ้ายังไม่เคยค้นพบเลย ถ้าหากมิใช่เพราะเรื่องที่งานเลี้ยงในคราวนี้ เกรงว่าพวกเราก็คงยังไม่รู้ว่าในหมู่พวกเรามีนักหลอมยาขั้นสองอยู่คนหนึ่งด้วย” เป่ยกงถังพูด

เจ้าอ้วนชวีมายังข้างกายซือหม่าโยวเย่ว์แล้วตบบ่าเธอพลางเอ่ยว่า “โยวเย่ว์เอ๋ย คราวนี้มิใช่ว่าข้าไม่ช่วยเจ้าหรอกนะ แต่ข้าคิดว่าหากเจ้าไม่ยอมสารภาพความจริง พวกเขาย่อมไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่!”

“มันเริ่มขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้วน่ะ หลังจากที่เริ่มฝึกยุทธ์ได้เมื่อปีที่แล้วก็ได้สัมผัสกับการหลอมยาเข้าโดยบังเอิญ หลังจากนั้นจึงค่อยๆ ทำเป็นขึ้นมา” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบจมูก “อันที่จริงก็ไม่มีอะไรเสียหน่อย พวกเจ้ามีงานยุ่งกันอยู่ทุกวัน ดังนั้นจึงมิได้สังเกตเห็นข้าน่ะสิ”

“ไม่ว่าอย่างไร เรื่องที่เจ้าปิดบังพวกเราก็เป็นเรื่องจริง เพื่อแสดงความขอโทษ เจ้าต้องทำอาหารมื้อใหญ่เลี้ยงพวกเรา ใช้สิ่งนี้ในการชดเชยให้กับหัวใจที่เจ็บปวดของพวกเรา” โอวหยางเฟยพูดวัตถุประสงค์คราวนี้ออกมาในที่สุด

เอิ่ม…

ซือหม่าโยวเย่ว์มองพวกเขาปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “ได้สิ ไม่มีปัญหา วันนี้ข้าจะทำอาหารมื้อใหญ่เลี้ยงพวกเจ้าเป็นมื้อกลางวันเอง!”

อันที่จริงเธอรู้อยู่แล้วว่าระหว่างพวกเขาทุกคนล้วนมีความลับของตนเอง พวกเขาก็มิได้อยากจะให้เธอบอกความจริงกับพวกเขาจริงๆ หรอก แค่อยากจะแกล้งเธอสักหน่อยเท่านั้นเอง

แต่โชคดีที่การทำอาหารนี้เป็นสิ่งที่เธอถนัดพอดี ดังนั้นการเลี้ยงพวกเขาจึงมิใช่เรื่องยากเย็นแต่อย่างใดเลย

เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์รับปาก ใบหน้าบึ้งตึงของทุกคนจึงค่อยคลายลง

“ข้าอยากกินไก่ผัดเม็ดมะม่วง” โอวหยางเฟยพูด

“ข้าอยากกินปลาต้มเผ็ด” รสนิยมของเป่ยกงถังไม่ธรรมดาเลย

“ของข้าค่อนข้างง่าย อะไรอร่อยก็ทำอันนั้นแหละ” ความต้องการของเว่ยจือฉีดูเหมือนจะง่าย แต่ความจริงแล้วยากที่สุด

“ในเมื่อโยวเย่ว์รับปากแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็ไปจัดการธุระของตัวเองกันก่อน รอเวลากินอาหารกลางวันก็พอแล้ว” เจ้าอ้วนชวีพูด

“โยวเย่ว์ เจ้าทำเสร็จแล้วก็มาเรียกพวกเรานะ” เป่ยกงถังพูดจบก็หมุนตัวเดินกลับไปยังห้องของตน

เว่ยจือฉีและโอวหยางเฟยก็จากไปเช่นกัน เหลือเพียงเจ้าอ้วนชวีกับซือหม่าโยวเย่ว์ยืนอยู่ในลานบ้าน

“ใช่แล้ว โยวเย่ว์ อาจารย์เฟิงให้คนมาถ่ายทอดคำพูด บอกว่าหากวันนี้เจ้ามาที่วิทยาลัยให้ไปพบเขาก่อนฟ้ามืดจะดีที่สุด” เจ้าอ้วนชวีพูดจบแล้วจึงจากไป

ซือหม่าโยวเย่ว์อมยิ้มมองพวกเขา อยากกินอาหารที่เธอทำก็พูดมาตรงๆ สิ จะต้องทำให้ยุ่งยากเช่นนี้ทำไมกัน

เมื่อนึกถึงสิ่งที่เจ้าอ้วนชวีพูดก่อนจากไป ดูท่าทางเฟิงจือสิงจะให้เธอไปแก้ต่างเรื่องที่ใช้เขามาเป็นโล่กำบังให้ตนเองกระมัง!

บางทีอาจเป็นเพราะรู้ว่าเขาช่วยตนรักษาความลับได้ ดังนั้นตอนที่ว่านอู๋เฟิงถามขึ้นมา เธอจึงยกเขามาเป็นข้ออ้างโดยสัญชาตญาณ

“เฮ้อ…”

เธอถอนหายใจแล้วเข้าไปในห้องครัวอย่างยอมรับชะตากรรม เธอทำอาหารกลางวันให้ทุกคนเสร็จก่อนค่อยไปพบเฟิงจือสิงแล้วกัน

พอหยิบวัตถุดิบออกมา เจ้าวิญญาณน้อยก็ช่วยเธอจัดเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเธอจึงเตรียมอาหารทั้งโต๊ะเสร็จอย่างรวดเร็ว

ตอนนี้จมูกของทุกคนยังไวกว่าสัตว์อสูรวิเศษเสียอีก เธอยังไม่ทันตะโกนเรียก ทุกคนก็ทยอยมายังห้องครัวแล้วเริ่มต้นกินอาหารกันอย่างรู้งาน

ซือหม่าโยวเย่ว์วางน้ำแกงลงเป็นจานสุดท้าย กับข้าวจานก่อนหน้านี้ถูกพวกเขากินไปเกือบครึ่งแล้ว

เธอตกตะลึงเพราะความรวดเร็วของพวกเขา เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพวกเขามีความสามารถในการต่อสู้สูงส่งถึงขนาดนี้!

ขณะกินอาหาร พวกเว่ยจือฉีก็ถามถึงเรื่องราวของตระกูลซือหม่ากับตระกูลน่าหลาน เมื่อได้ยินเธอบอกว่าพวกเขาทั้งสองฝ่ายสงบศึกกันแล้วต่างพากันตื่นตะลึงอยู่บ้าง

ซือหม่าโยวเย่ว์เองก็มิได้อธิบายอะไรมากมาย มีบางเรื่องที่เธอไม่สะดวกใจจะพูด

ทุกคนล้วนเป็นคนฉลาด เมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นของเธอก็รู้แล้วว่าเธอไม่สะดวกใจ จึงมิได้ถามซักไซ้อะไรต่อไปอีก

กินข้าวกลางวันเสร็จแล้วซือหม่าโยวเย่ว์ก็งุ่นง่านอยู่พักหนึ่งจึงค่อยไปยังห้องทำงานของเฟิงจือสิง

“เข้ามาสิ”

เธอยังไม่ทันเคาะประตูก็มีเสียงลอยมาจากด้านในแล้ว

มือที่จะเคาะประตูเปลี่ยนเป็นผลักประตูแทน พอเข้าไปก็เห็นเฟิงจือสิงที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะ

เดิมทีเฟิงจือสิงนั่งหันหลังให้ประตู เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของเธอจึงหมุนเก้าอี้ที่นั่งอยู่ หันมาประจันหน้ากับเธอ

“อาจารย์เฟิง ท่านหาตัวข้าหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“ใช่แล้ว” เฟิงจือสิงมองซือหม่าโยวเย่ว์โดยมิได้พูดอะไรต่อ

“แค่กๆ เรื่องนี้ ตอนนั้นข้าไม่มีวิธีอื่น จึงได้แต่อ้างถึงอาจารย์น่ะขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์เริ่มต้นสารภาพ

“เหตุใดข้าจึงไม่รู้เลยว่าข้าหลอมยาวิเศษเป็นด้วย นอกจากนี้ยังรับศิษย์ที่ร้ายกาจเช่นเจ้ามาอีกต่างหาก” เฟิงจือสิงเลิกคิ้ว

ตอนที่รู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์เป็นนักหลอมยาขั้นสอง เขาเองก็ประหลาดใจไม่น้อยเช่นกัน ต่อให้อยู่ที่เบื้องบนก็ยังพบเห็นผู้ที่มีพรสวรรค์มากกว่าเธอได้ยากยิ่้ง

เมื่อนึกถึงว่าท่านอาจารย์ใหญ่กลับมาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงให้ฟัง แล้วถามเขาว่าได้รับซือหม่าโยวเย่ว์เป็นศิษย์จริงหรือไม่ หลังจากที่เขาตกใจแล้วจึงช่วยเธอปั้นเรื่องโกหก

“ท่านอาจารย์มีตัวตนอันเป็นปริศนา ทั้งยังมีสถานะสูงส่ง คนทั่วไปย่อมไม่กล้ามาถามท่านอยู่แล้วว่าท่านหลอมยาเป็นหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ดังนั้นถึงแม้ว่าข้าจะพูดไปก็คงไม่มีใครมาหาเรื่องท่านหรอก นอกจากนี้ท่านยังเป็นที่เคารพนับถือ หากพูดว่าท่านสอน ทุกคนก็คงเชื่อกันหมด”

“เช่นนั้นเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะช่วยเจ้าโกหก” เฟิงจือสิงรู้สึกขบขันอยู่ในใจ ก่อนหน้านี้เด็กสาวผู้นี้ยังระมัดระวังตัวกับตนเป็นอย่างยิ่งอยู่เลย เหตุใดตอนนี้จึงเชื่อมั่นในตัวเขาเช่นนี้ได้เล่า

“สัญชาตญาณน่ะสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์ตอบไปอย่างสัตย์จริง

“เอาล่ะ นับว่าสัญชาตญาณของเจ้าไม่ผิดก็แล้วกัน” เฟิงจือสิงพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์แย้มยิ้มพลางเอ่ยว่า “เช่นนี้ก็แปลว่าท่านอาจารย์ยอมช่วยข้าโกหกแล้วสินะ”

เฟิงจือสิงไม่ตอบ เพียงแต่พูดว่า “ในเมื่อคนนอกล้วนคิดว่าเจ้าเป็นศิษย์ของข้าแล้ว เช่นนั้นข้าก็ควรสอนอะไรเจ้าบ้าง”

“ท่านอาจารย์จะสอนอะไรข้าอย่างนั้นหรือ”

เฟิงจือสิงหยิบหีบใบหนึ่งออกมาแล้วพูดว่า “เจ้าเข้ามานี่สิ”

ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่รู้แน่ชัด แต่ก็ยังเดินเข้าไปอย่างว่าง่าย

“วางมือของเจ้าลงบนหีบแล้วหลับตา บอกข้ามาว่าเจ้ามองเห็นสิ่งใด” เฟิงจือสิงวางหีบลงบนโต๊ะพลางเอ่ยขึ้น

ซือหม่าโยวเย่ว์ส่งเสียงอ้อแล้ววางมือลงบนหีบ หลังจากนั้นจึงหลับตาลง

หีบใบนี้คล้ายจะมีแรงดึงดูดชนิดหนึ่งอยู่ เธอรู้สึกวิงเวียนหัวหมุน จากนั้นก็รู้สึกราวกับว่าตนอยู่ในสถานที่อีกแห่งหนึ่ง

“บอกข้ามา เจ้ามองเห็นสิ่งใดหรือ” น้ำเสียงอันเต็มไปด้วยแรงดึงดูดของเฟิงจือสิงดังขึ้นรอบกาย

“ไม่เห็นอะไรเลย มีเพียงความมืดอันไร้ที่สิ้นสุดเท่านั้น ทั่วทุกหนแห่งมีเพียงความมืดมิด” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“เจ้ารับสัมผัสต่อไปอีกสักครู่หนึ่งสิ ตอนนี้ยังไม่เห็นอะไรเลยอยู่อีกหรือไม่” เฟิงจือสิงถามอีก

ซือหม่าโยวเย่ว์รวบรวมสมาธิรับสัมผัสอีกครั้ง บริเวณโดยรอบที่เดิมทีมืดสนิทมีแสงสว่างปรากฏขึ้นมาเต็มไปหมด แสงดาวจุดแล้วจุดเล่าปรากฏขึ้นรอบตัวเธอ

เธอมองความเปลี่ยนแปลงรอบตัวอย่างตกตะลึงแล้วพูดอย่างไม่กล้าเชื่ออยู่บ้าง “ข้า… ข้ารู้สึกเหมือนพาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางจักรวาลเลย รอบกายล้วนเต็มไปด้วยแสงดาวดวงเล็กดวงน้อย ช่างงดงามเหลือเกิน…”

เฟิงจือสิงได้ฟังคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วร่างกายก็สั่นสะท้านในทันใด