เล่ม 1 ตอนที่ 122 ปรมาจารย์ค่ายกลและการปิดผนึกมิติ

สลับชะตา ชายามือสังหาร

“มิติที่เจ้าเห็นมีขนาดใหญ่เพียงใด” เฟิงจือสิงถาม

ซือหม่าโยวเย่ว์มองไปรอบด้านแล้วพูดว่า “ใหญ่เพียงใดหรือ ข้ามองไม่เห็นจุดสิ้นสุดเลย ทุกหนแห่งล้วนเปิดโล่งไปหมด”

ความตื่นตระหนกของเฟิงจือสิงเปลี่ยนกลายเป็นขนพองสยองเกล้า เขามองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน

ผ่านไปครู่หนึ่ง เห็นเฟิงจือสิงไม่มีการตอบสนอง ซือหม่าโยวเย่ว์จึงลืมตาขึ้นแล้วตะโกนอย่างสงสัย “ท่านอาจารย์”

เฟิงจือสิงสูดลมหายใจเข้าปากลึกแล้วพูดว่า “เอาละ เก็บกลับมาได้แล้ว”

“อ้อ” ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บมือของตนกลับมาพลางเอ่ยว่า “นี่คือสิ่งใดหรือ”

เฟิงจือสิงเก็บหีบกลับมาแล้วพูดว่า “นี่คือของสำหรับทดสอบความสามารถในการสัมผัสรับรู้ห้วงมิติของคนแต่ละคน”

“พลังสัมผัสรู้ต่อห้วงมิติอย่างนั้นหรือ”

เขาให้เธอทดสอบสิ่งนี้ทำไมกัน

“ใช่แล้ว” เฟิงจือสิงพูด “ข้ามิได้บอกไปแล้วหรือว่าจะสอนทักษะอย่างหนึ่งให้กับเจ้า ข้ามิใช่นักหลอมยาจึงมิอาจสอนเจ้าหลอมยาได้ แต่ข้าสอนเจ้าเรื่องค่ายกลได้”

“ค่ายกลหรือ ท่านอาจารย์เป็นปรมาจารย์ค่ายกลอย่างนั้นหรือขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์ตกใจไม่น้อย แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยได้ยินเรื่องที่เขาเป็นปรมาจารย์ค่ายกลมาก่อนเลย

ถึงแม้ว่าเธอจะเคยโดยสารค่ายกลนำส่งมาหลายครั้งแล้ว แต่กลับไม่เคยพบเจอปรมาจารย์ค่ายกลเลย ได้ยินว่าปรมาจารย์ค่ายกลของอาณาจักรตงเฉินนั้นมีน้อยยิ่งกว่านักหลอมยาและนักหลอมวัตถุเสียอีก ตอนแรกที่ได้ยินว่าเฟิงจือสิงเป็นปรมาจารย์ค่ายกล ในดวงตาของเธอก็มีแววเหนือความคาดหมายและความกระตือรือร้นอันมิอาจปิดบังได้มิด

เฟิงจือสิงพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “คิดอยากจะเป็นปรมาจารย์ค่ายกล นอกจากจะต้องการพลังจิตอันแข็งแกร่งแล้วยังจำเป็นต้องมีพลังสัมผัสรู้ห้วงมิติด้วย ในเมื่อเจ้าสำเร็จเป็นนักหลอมยาแล้ว ก็แสดงว่าพลังจิตของเจ้าไม่มีปัญหา ผ่านการทดสอบเมื่อครู่ พลังสัมผัสรู้ห้วงมิติของเจ้าก็ไม่เลวเลย ขอเพียงแค่เจ้าตระหนักรู้ได้มากพอก็ต้องสำเร็จเป็นปรมาจารย์ค่ายกลได้อย่างแน่นอน”

“การสำเร็จเป็นปรมาจารย์ค่ายกลนั้นยากเย็นมากเลยใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“นึกถึงสัดส่วนระหว่างปรมาจารย์ค่ายกลกับนักหลอมยา นักหลอมวัตถุ และนักฝึกสัตว์อสูรดูสิ เจ้าก็จะรู้แล้วว่าการสำเร็จเป็นปรมาจารย์ค่ายกลได้นั้นยากเย็นเพียงใด” เฟิงจือสิงพูด “นักหลอมยาล้วนต้องอาศัยพลังจิตอันแกร่งกล้า แต่สำหรับปรมาจารย์ค่ายกลแล้ว สิ่งนี้เป็นเพียงแค่พื้นฐานเท่านั้น เพราะห้วงมิติคือสิ่งที่ว่างเปล่าและไม่มีตัวตนชนิดหนึ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับมันมิใช่พลังจิต หากแต่เป็นพลังสัมผัสรู้และการตระหนักรู้ ถ้าหากทำสองสิ่งนี้มิได้ ต่อให้พลังจิตแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ก็ไม่มีทางสำเร็จเป็นปรมาจารย์ค่ายกลได้ตลอดกาล”

“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง ถึงว่าเหตุใดจึงแทบไม่เคยได้ยินชื่อปรมาจารย์ค่ายกลในอาณาจักรตงเฉินเลย! ที่แท้การสำเร็จเป็นปรมาจารย์ค่ายกลนั้นก็ลำบากยากเย็นถึงเพียงนี้” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าอย่างเข้าใจ

“ใช่แล้ว ดังนั้นจึงพูดได้ว่าสถานะของปรมาจารย์ค่ายกลนั้นอยู่เหนือกว่าผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ต่างๆ ถ้าหากเจ้าสำเร็จเป็นปรมาจารย์ค่ายกล ยามผู้เชี่ยวชาญศาสตร์อื่นๆ พบเจอเจ้าก็ต้องเคารพนบนอบทั้งสิ้น” เฟิงจือสิงพูด

“หา? ปรมาจารย์ค่ายกลล้ำเลิศถึงเพียงนั้นเชียวหรือ!”

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว” เฟิงจือสิงพูด “ค่ายกลแบ่งได้เป็นหลายประเภท แล้วก็มีประโยชน์ที่หลากหลาย จะมีขนาดใหญ่หรือเล็กก็ได้ ที่ถิ่นของพวกเรานั้นมีเมืองมากมายที่อาศัยค่ายกลในการป้องกันการรุกรานจากภายนอก ค่ายกลนำส่งระหว่างเมืองทุกแห่ง สิ่งเหล่านี้เป็นการพูดในภาพรวมนะ พลังยุทธ์ของนักหลอมยามิได้แข็งแกร่งนัก แต่ค่ายกลป้องกันทำให้เขารอจนกว่าความช่วยเหลือจากผู้อื่นจะมาถึงได้ ค่ายกลลวงทำให้คนที่เข้าสู่ค่ายกลหลงทิศทางได้ ยังมีค่ายกลโจมตีที่เพียงแค่มีคนเข้าไปก็จะถูกพลังที่ค่ายกลสร้างออกมาทำร้าย…”

ซือหม่าโยวเย่ว์ฟังเฟิงจือสิงพูดอย่างน้ำไหลไฟดับ จึงตีปากสองครั้งแล้วพูดว่า “มีค่ายกลมากมายหลายประเภทถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่…”

“ประเภทของค่ายกลมีมากมาย ในภายหน้าเจ้าก็จะค่อยๆ รู้ไปเองแหละ” เฟิงจือสิงพูด “นอกจากนี้ปรมาจารย์ค่ายกลระดับสูงบางคนยังอาจจะหยั่งรู้กลเม็ดเฉพาะตัวของปรมาจารย์ค่ายกลอีกด้วย”

“กลเม็ดอะไรหรือขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามอย่างใคร่รู้

เฟิงจือสิงกวาดสายตามองรอบห้อง เมื่อเห็นเชิงเทียนจึงเอ่ยว่า “เจ้าหยิบเทียนมาจุดไฟสิ”

ซือหม่าโยวเย่ว์เข้าไปหยิบเทียนในเชิงเทียนออกมาจุดแล้ววางลงบนโต๊ะ

เฟิงจือสิงมองเทียนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยว่า “เจ้าลองเป่าเทียนให้ดับดูสิ”

ซือหม่าโยวเย่ว์ก้มตัวลงมาด้านบนเทียนแล้วเป่าลม โดยทั่วไปแล้วการเป่าด้วยระยะทางใกล้ๆ เช่นนี้ เปลวไฟย่อมต้องดับมอดอย่างแน่นอน แต่เปลวไฟบนเทียนเล่มนี้กลับไม่วูบไหวเลยเสียด้วยซ้ำ คล้ายกับว่าเมื่อครู่เธอมิได้เป่าลมเลย

“เอ๊ะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์เป่าอีกครั้งหนึ่ง เปลวไฟบนเทียนเล่มนั้นก็ยังคงไร้ซึ่งความเคลื่อนไหว

“นี่มันเรื่องอันใดกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเฟิงจือสิงแล้วถามขึ้น

เขามิได้ทำอะไรกับมันเลย เหตุใดจึงเป่าไม่ดับเสียทีเช่นนี้เล่า

“เจ้ายื่นมือไปลูบมันดูสิ” เฟิงจือสิงพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์ยื่นนิ้วมือออกไปหมายจะไปแตะเทียนสักครั้งหนึ่งแต่กลับพบว่าดูเหมือนตนจะถูกบางสิ่งสกัดเอาไว้ทำให้สัมผัสเทียนมิได้เลย

“ท่านอาจารย์ นี่มันเรื่องอันใดกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามอย่างประหลาดใจ

“เพราะข้าปิดผนึกมิติรอบๆ เทียนอย่างไรเล่า ดังนั้นเจ้าจึงมิอาจสัมผัสถูกมันได้” เฟิงจือสิงพูดพลางยื่นมือไปสัมผัสมันคราหนึ่ง

ซือหม่าโยวเย่ว์มิได้เก็บมือกลับมาเลย เธอสัมผัสสิ่งกีดขวางนั้นได้อย่างชัดเจน แต่เฟิงจือสิงกลับสัมผัสเทียนได้ตรงๆ เสียนี่!

“เช่นนี้ก็ได้ด้วยหรือ! น่าอัศจรรย์เกินไปแล้ว!” ซือหม่าโยวเย่ว์เคาะสิ่งกีดขวางอันไร้รูปร่างนั้นด้วยสีหน้าสนุกสนาน “แต่สิ่งนี้มีประโยชน์เช่นไรหรือ”

“เมื่อปิดผนึกมิติแล้วผู้อื่นจะเข้าไปในมิติแห่งนี้ไม่ได้ ขณะที่เจ้าต่อสู้กับผู้อื่น ฝ่ายตรงข้ามที่อยู่ภายนอกมิติของเจ้าจะไม่อาจเข้ามาช่วยพวกพ้องข้างในได้ เว้นเสียแต่พวกเขาจะมีทำลายห้วงมิติของเจ้าเสีย นอกจากนี้หากอยู่ภายในห้วงมิติของเจ้า พลังยุทธ์ของอีกฝ่ายจะอ่อนแอลงอย่างมหาศาล ถึงขนาดที่ต่อสู้ข้ามขั้นได้เลยทีเดียว” เฟิงจือสิงอธิบายให้เธอฟัง “ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหากฝ่ายตรงข้ามโจมตีใส่เจ้า แล้วเจ้าปิดผนึกมิติโดยรอบขึ้นมา ก็จะมิอาจทำร้ายเจ้าได้”

“สกัดการโจมตีของผู้อื่นเอาไว้ภายนอกได้หมด เช่นนั้นก็มิได้ร้ายกาจอย่างยิ่งเลยหรือ! ถ้าหากต่อสู้กับผู้อื่น ตอนที่ผู้อื่นโจมตีเข้ามา ข้าก็ปิดผนึกมิติโดยรอบเสีย เช่นนั้นก็เรียกได้ว่าไร้ซึ่งศัตรูแล้วมิใช่หรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า! นี่ก็มีความสัมพันธ์กับพลังยุทธ์ของปรมาจารย์ค่ายกลด้วย” เฟิงจือสิงพูด “ยิ่งปรมาจารย์ค่ายกลมีความสามารถในการหยั่งรู้ห้วงมิติสูง ความสามารถในการปิดผนึกมิติจึงจะทวีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้ สิ่งนี้ก็เหมือนกับการฝึกยุทธ์นั่นแหละ ยิ่งความสามารถแข็งแกร่ง ห้วงมิติที่ผนึกขึ้นมาจึงจะยิ่งทนทาน ต้านทานการโจมตีได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ขนาดของห้วงมิติที่ผนึกขึ้นมาก็แตกต่างกันเพราะพลังยุทธ์ที่แตกต่างกันด้วย ปรมาจารย์ค่ายกลบางคนผนึกได้ขนาดเท่าห้องห้องหนึ่ง แต่บางคนกลับผนึกได้ขนาดเท่ากำปั้นเท่านั้นเอง”

“ถ้าหากตระหนักรู้การปิดผนึกมิติ เช่นนั้นก็คงร้ายกาจอย่างยิ่งเลยทีเดียว!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“กลเม็ดอื่นๆ ของปรมาจารย์ค่ายกลที่ร้ายกาจกว่าการปิดผนึกมิติก็คือการเคลื่อนย้ายมิติ ที่ร้ายกาจขึ้นอีกหน่อยก็คือการสลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นทักษะใดล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานของการหยั่งรู้ห้วงมิติทั้งสิ้น” เฟิงจือสิงพูด “ที่ข้าพูดเรื่องเหล่านี้กับเจ้า เพียงแค่อยากจะบอกถึงสถานะของปรมาจารย์ค่ายกลที่โลกแห่งนี้ให้เจ้ารู้ รวมทั้งทิศทางที่เจ้าต้องพยายามต่อไปในภายหน้าอีกด้วย”

“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า ในใจยกย่องปรมาจารย์ค่ายกลมากยิ่งขึ้น

“ข้ามีตำราเริ่มต้นค่ายกลอยู่กับตัวสองเล่ม เล่มหนึ่งคือความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับค่ายกล อีกเล่มหนึ่งคือคำอธิบายค่ายกลประเภทต่างๆ ในนั้นมีคำอธิบายประกอบจากข้าเองอยู่บางส่วนด้วย อ่านไปแล้วคงไม่เปลืองแรงมากนักหรอก” เฟิงจือสิงหยิบหนังสือสองเล่มออกมาให้ซือหม่าโยวเย่ว์ “เหมือนกับที่บอกไว้ก่อนหน้านี้นั่นแหละ ถ้าอยากสำเร็จเป็นปรมาจารย์ค่ายกล เจ้าก็ต้องไปหยั่งรู้ความเร้นลับของห้วงมิติด้วยตัวเอง ตำราค่ายกลนี้ก็อยู่บนพื้นฐานของสิ่งนี้นี่แหละ”