ตอนที่ 120 น้องสาวไล่ตาม (รีไรท์)

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

“เจ้าเด็กคนนี้ ในที่สุดก็กลับมาแล้ว ข้าคิดถึงเจ้ามากเหลือเกิน”

หลังกุมมือเล็กของเหนียนซูหลานแน่น ไทเฮายิ้มอย่างอ่อนโยน

เหนียนซูหลานที่ได้ยิน เอ่ยพลางยิ้มแย้มดุจบุปผา

“ไทเฮา หลานเอ๋อร์ก็คิดถึงไทเฮาเพคะ!”

“คิดถึงข้า เหตุใดห้าปีนี้ถึงไม่กลับมาเยี่ยมข้าเลย เด็กน้อย!”

“ไทเฮา หลานเอ๋อร์มิใช่ไม่อยากกลับมา ไทเฮาทรงทราบดีว่าหลานเอ๋อร์ชื่นชอบเต้นระบำ หากเรียนศิลปะที่หอจิงหงยังไม่สำเร็จ กลับมาจะทำให้ไทเฮาหัวเราะเยาะสิเพคะ!”

“เจ้าเด็กคนนี้”

“ไทเฮา อย่าโมโหเลยเพคะ ต่อไป หลานเอ๋อร์สัญญาว่าจะอยู่ข้างกายดูแลไทเฮา เพคะ”

“ฮ่า ๆ”

ไทเฮาและเหนียนซูหลานที่ไม่ได้พบกันมานาน จึงไถ่ถามสารทุกข์กันอยู่ ฮ่องเต้เหลิ่งจวิ้นเทียนเห็นเช่นนั้นก็อดหัวเราะเสียงดังไม่ได้

“ไม่เจอกันห้าปี น้องหลานรูปโฉมยิ่งชวนพิศ กลายเป็นสาวงามเช่นนี้ การเต้นระบำอันน่าตกตะลึงเมื่อครู่ ไม่รู้ดึงดูดใจเหล่าคุณชายไปมากน้อยเพียงใด”

“เสด็จพี่ ท่านอย่าล้อหลานเอ๋อร์เล่นสิเพคะ”

เมื่อได้ยินเหนียนซูหลานเอ่ยอย่างเขินอาย ใบหน้าดูขวยเขินแดงก่ำ ยิ่งมองเธอยิ่งงดงามหยาดเยิ้ม

การปรากฏตัวของเหนียนซูหลาน ฮ่องเต้และไทเฮาต่างสนทนากับเธออย่างเบิกบานใจ ส่วนด้านล่างเริ่มการแสดงเต้นระบำขึ้นอีกครั้ง

ทว่าสายตาของทุกคนเวลานี้ กลับไม่ได้อยู่ที่การแสดงด้านล่าง แต่ต่างมองไปยังหญิงงามข้างกายไทเฮา

โดยเฉพาะเหล่าบุรุษ เพราะสาวงามที่แสนดี ย่อมเป็นที่หมายปองของบุรุษ

อีกทั้งหญิงสาวผู้นี้ รูปโฉมประณีตดุจหยกแกะสลัก อ่อนช้อยน่าประทับใจ สิ่งที่ดึงดูดที่สุดคือดวงตาชวนหลงใหล  กลอกกลิ้งอย่างงดงาม กระตุ้นเย้ายวนใจ

เลือกภรรยาให้ดูที่ศีลธรรม มิใช่สินเดิม แต่หญิงงามกลับสามารถดึงดูดสัญชาตญานดิบของผู้ชายมากขึ้น!

และเมื่อมองหญิงสาวชุดแดงกำลังสนทนาอย่างออกรสกับไทเฮา พร้อมกับฟังการสนทนาของทุกคนรอบกาย เล่อเหยาเหยาจึงค่อยๆ รู้ถึงสถานะของหญิงสาวผู้นี้

เดิมทีหญิงสาวชุดแดงสดใสงามหยาดเยิ้มผู้นี้ คือลูกสาวกำพร้าของน้องชายไทเฮา เพราะน้องชายและน้องสะใภ้ของไทเฮาต่างเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน เหลือไว้เพียงลูกสาวคนเดียว ไทเฮาทรงสงสารเวทนา จึงนำเหนียนซูหลานมาชุบเลี้ยงอยู่ข้างกาย ไม่นานผ่านไปสิบปี ต่อมาเพราะเหนียนซูหลานรักการเต้นระบำ จึงทูลลาไทเฮาไปเรียนเต้นระบำที่หอจิงหง

เมื่อเอ่ยถึงหอจิงหง ว่ากันว่าภายในล้วนปรากฏผู้มีความสามารถขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย เหล่าอาจารย์ต่างเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ ผู้คนที่หลังได้รับการฝึกฝนออกมาจึงล้วนประสบความสำเร็จ

และผู้คนในแคว้น ทุกคนต่างหวังให้บุตรเติบโตเป็นดั่งมังกร หวังให้บุตรีเติบโตเป็นดั่งหงส์ ทุกคนต่างยอมจ่ายเงินจำนวนมาก เพียงให้หอจิงหงรับลูกสาวของตน ให้พวกเธอเข้าไปเรียนศิลปะ หลังจบออกมาพวกเธอก็สามารถกลายเป็นหงส์ท่ามกลางผู้คน

แต่น่าเสียดาย แม้หอจิงหงจะมีชื่อเสียงโด่งดัง ปรากฏผู้มีความสามารถขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย ทว่ามีเงินทองก็มิใช่จะสามารถเข้าเรียนได้

เหล่าผู้คนที่อยากเข้าหอจิงหงนั้น ต่างต้องผ่านการคัดเลือกหนึ่งรอบ โดยการแสดงความเชี่ยวชาญของตนต่อหน้าเหล่าคณะอาจารย์ หากถูกเหล่าอาจารย์เห็นถึงความสามารถ จึงจะถูกรับเข้าเรียน จากนั้นจึงจะได้รับการฝึกฝน

และจากที่ฟังเหนียนซูหลานเอ่ยเมื่อครู่ ทุกคนจึงต่างตกตะลึง

เพราะห้าปีก่อนเธอถูกรับเข้าไปในหอจิงหง จึงไม่แปลกที่การเต้นระบำนั้น จะทำให้ผู้คนต่างตกตะลึงเช่นนี้

เมื่อได้ยินการสนทนาซุบซิบของผู้คนรอบกาย สายตาของเล่อเหยาเหยาจึงอดมองไปยังหญิงสาวชุดแดงที่กำลังสนทนากับไทเฮาอีกครั้งไม่ได้

กลับเห็นว่าหญิงสาวชุดแดงนั้น แม้จะอยู่ข้างกายไทเฮา แต่สายตากลับเหลือบมองมายังพญายมตรงหน้าเธอตลอดเวลา ดูแล้วเหนียนซูหลานน่าจะสนใจในตัวพญายมเป็นแน่

งานฉลองวันประสูติกาลของไทเฮาดำเนินไปจนถึงตอนเย็น หลังจากทุกคนร่วมรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว งานจึงสิ้นสุดลง

หลายวันมานี้เพื่องานเลี้ยงวันประสูติกาลของไทเฮา ทุกคนจึงต่างยุ่งวุ่นวาย โดยเฉพาะเล่อเหยาเหยา

เมื่อยืนอยู่ตลอดทั้งวัน เวลานี้เล่อเหยาเหยาจึงปวดหลังปวดเอว เมื่อเดินฝีเท้าจึงดูผิดปกติ

เวลานี้พวกเขาเดินตามทุกคนออกจากตำหนักหลงเทียน

รถม้าได้จอดรออยู่ที่นอกวัง

กลางดึกทุกคนต่างง่วงอย่างมาก จึงคิดเพียงอยากกลับไปพักผ่อน

แสงจันทร์คืนนี้งดงามอย่างยิ่ง

เห็นเพียงจันทร์กระจ่างอยู่บนท้องฟ้า ดวงจันทร์กลมโตนั้น คล้ายกับจานที่สามารถเรืองแสงได้ สว่างจับใจคนเช่นนี้

แสงจันทร์ขาวนวลนั้น ปกคลุมไปทั่วพื้นดินอย่างอ่อนโยน ทำให้พื้นดินดูงดงามชวนหลงใหลเพิ่มมากขึ้น

สายลมตอนดึกที่พัดเอื่อย ทำให้คนรู้สึกเย็นสบาย

แม้ตำหนักหลงเทียนจะโอ่อ่าหรูหรา แต่หรูหราเกินไป จนทำให้คนลืมเลือนความเป็นจริง ไม่อาจสู้ความงดงามของแสงจันทร์ได้!

เมื่อสูดหายใจรับอากาศที่สดชื่นเข้าไป เล่อเหยาเหยากลับรู้สึกว่าตนเริ่มหิวอีกครั้ง

ขณะที่เดินตามหลังพวกพญายม มองเห็นพวกเขาก้าวเดินไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว ตนจึงทำได้เพียงลูบหน้าท้อง เดินติดตามอยู่ด้านหลัง

แม้เมื่อครู่เธอจะเจริญอาหาร แต่นั่นเป็นการชิมเพียงเล็กน้อย ดังนั้นตอนนี้จึงเริ่มหิวขึ้นอีกครั้ง

“จ๊อกๆ” เสียงประหลาดดังขึ้นออกมาจากท้องของเล่อเหยาเหยาไม่หยุด ก่อนที่เธอจะค่อยๆ รู้สึกว่าหมดแรง ยิ่งก้าวเดินยิ่งไร้เรี่ยวแรง

ทั้งหิวทั้งเหนื่อยล้าเสียจริง

ขณะเล่อเหยาเหยาคิดในใจ ตงฟางไป๋ที่อยู่ด้านหน้าพลันหยุดฝีเท้าลง อาจเป็นเพราะรับรู้ถึงความผิดปกติของเล่อเหยาเหยา จึงอดเอ่ยถามไม่ได้ว่า

“น้องเหยา เป็นอันใดไปหรือ!”

เสียงนุ่มลึกของตงฟางไป๋ในค่ำคืนที่น่าหลงใหล ดูราวกับสุราชั้นดีที่หมักไว้นานปีถูกเปิดขึ้น ทำให้คนฟังลุ่มหลง

สำหรับตงฟางไป๋ เล่อเหยาเหยาล้วนไม่เคยปิดบังสิ่งใด ดังนั้นจึงเห็นเล่อเหยาเหยาลูบหน้าท้อง พลางเอ่ยอย่างเกรงใจกับตงฟางไป๋ว่า

“ฮ่า ๆ พี่ไป๋ ข้าหิว”

เล่อเหยาเหยาพลางพูด พลางใช้ดวงตากลมโตคู่นั้นจ้องไปยังตงฟางไป๋

ท่าทางแฝงความน่าสงสารหลายส่วนนั้น คล้ายกับสุนัขตัวน้อยที่หิวโหย มองเจ้าของตนตาละห้อย ให้เจ้าของมอบอาหารให้แก่มัน ช่างน่ารักเสียจริง

เห็นเช่นนั้น ตงฟางไป๋อดหัวเราะ ก่อนเอ่ยขึ้นไม่ได้ว่า

“เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราไปทานมื้อดึกที่โรงเตี๊ยมหลูอวี้กันเถิด พอดีข้าเองก็หิวเช่นกัน!”

“ฮ่า ๆ พี่ไป๋เยี่ยมจริงๆ !”

เมื่อได้ยิน เล่อเหยาเหยาพลันเอ่ยพร้อมยิ้มดุจบุปผาขึ้นทันที

รอยยิ้มกว้างนั้นจ้องเขม็งไปที่ตงฟางไป๋

คิดไม่ถึง หนานกงจวิ้นซีที่ด้านหลังได้ยินบทสนทนาของพวกเขา อดร้องตะโกนขึ้นไม่ได้ว่า

“อะไรนะ! เจ้าหิวอีกแล้ว เจ้าเป็นสุกรหรือ ใยถึงทานมากเช่นนี้!”

“เอ่อ”

เมื่อได้ยินหนานกงจวิ้นซีเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ เอ่ยว่าตนเป็นสุกร เล่อเหยาเหยาจึงโมโหจนตาเบิกกว้าง

“บ่าวมิใช่สุกร นั่นเป็นเพราะช่วงนี้บ่าวกำลังเจริญเติบโต จึงย่อมทานมากเป็นธรรมดา อีกทั้งหากบ่าวเป็นสุกรจริง องค์ชายเจ็ดเคยเห็นสุกรที่น่ารักเช่นบ่าวมาก่อนหรือไม่!”

“ชิ เจ้าน่ารักหรือ!”

เมื่อได้ยินเล่อเหยาเหยาเอ่ยอย่างเป็นปกติเช่นนี้ หนานกงจวิ้นซีอดส่งเสียง ชิ อย่างดูถูกออกมาไม่ได้

“หลงตัวเองให้น้อยหน่อย!”

“บ่าวมีค่ามากพอให้หลงตัวเองนะ!”

ก่อนจ้องเขม็งหนานกงจวิ้นซีแวบหนึ่ง พลันหันใบหน้าเล็กที่เดิมทีเต็มไปด้วยความโมโหเป็นยิ้มแย้มดุจบุปผา เอ่ยกับตงฟางไป๋

“พี่ไป๋ ข้าน่ารักหรือไม่!”

“ฮ่าๆ น้องเหยาย่อมน่ารักแน่นอน!”

เมื่อเห็นใบหน้าเล็กยิ้มแย้มดุจบุปผาของเล่อเหยาเหยา ดวงตางามกลมโตงามแปลกประหลาด และเปี่ยมด้วยความเจ้าเล่ห์หลายส่วน

“ฮ่า ๆ” เมื่อได้ยินเล่อเหยาเหยาจึงหัวเราะออกมา

“ยังคงเป็นพี่ไป๋ที่พูดความจริง ดังนั้นข้าจึงชื่นชอบพี่ไป๋ที่สุด!”

อันที่จริงเล่อเหยาเหยาในใจมีสิ่งใด พลันหลุดปากออกมา

คิดไม่ถึง หลังเธอเอ่ยประโยคนี้จบ กลับตกใจเมื่อเห็นสายตาดุดันที่มองมายังตน ทำให้เธออกสั่นขวัญแขวน

เมื่อมองตามสายตาดุดันนั้นไปเห็นพญายมเคร่งขรึมไม่พูดจา เล่อเหยาเหยาสับสนในใจ

พญายมเป็นอันใดอีกแล้ว!

เธอคล้ายไม่ได้ยั่วโมโหเขา! เหตุใดจึงทำหน้าเย็นชากับเธอตลอดทั้งคืน!

ช่างเป็นคนที่เข้าใจยากเสียจริง!

เล่อเหยาเหยาที่สับสนในใจ กลับไม่รู้เลยว่าทั้งหมดที่ตนทำให้พญายมโมโห นั้นเป็นเพราะประโยคเมื่อครู่

‘เขา’ เอ่ยว่า ‘เขา’ ชื่นชอบตงฟางไป๋หรือ!

สวรรค์!

เขาทราบดี!

หรือเขาเทียบกับตงฟางไป๋มิได้!

หรือเขาปฏิบัติติต่อ ‘เขา’ยังดีไม่พอ!

แต่เขากลับคิดจากวังอ๋องไป ตอนนี้ยังเอ่ยว่า ‘เขา’ชื่นชอบตงฟางไป๋!

น่าชังนัก!

ยิ่งคิด ในใจเหลิ่งจวิ้นอวี๋ยิ่งโมโหมากขึ้น สองมือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อค่อยๆ กำแน่นขึ้น จนเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ เขายังไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด

สำหรับกลิ่นอายเย็นชาที่พลันกระจายออกมาจากตัวพญายม ไม่เพียงเล่อเหยาเหยาที่รับรู้ได้ กระทั่งตงฟางไป๋และหนานกงจวิ้นซีที่อยู่ด้านข้างต่างรับรับรู้ถึงมัน

“อวี๋ ท่านเป็นอันใดหรือ”

“ใช่ ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านไม่เป็นไรนะ!”

สำหรับการเปลี่ยนแปลงของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ตงฟางไป๋และหนานกงจวิ้นซีที่สนิทสนมกับเขามาหลายปี ย่อมสังเกตเห็นได้ จึงพลันเอ่ยถามอย่างห่วงใยขึ้น

สำหรับคำพูดของตงฟางไป๋และหนานกงจวิ้นซี เหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงกัดกระพุ้งแก้มแน่น พลันเอ่ยอย่างเย็นชาขึ้น

“ไม่เป็นอันใด”

“เช่นนั้นศิษย์พี่ใหญ่ พวกเราไปโรงเตี๊ยมหลูอวี้กันเถิด!”

แม้จะรู้อารมณ์ของเหลิ่งจวิ้นอวี๋คล้ายผิดปกติ แต่เขาไม่เอ่ยออกมา เดิมทีคนอื่นก็ไม่รู้ว่าเขากำลังโมโหสิ่งใด ดังนั้นหนานกงจวิ้นซีจึงไม่เอ่ยถามให้มากความ คิดเพียงเมื่อบ่าวตัวเล็กนี้หิว เขายังนอนไม่หลับ ก็ไปนั่งเล่นที่โรงเตี๊ยมหลูอวี้สักครู่!

ทว่าหนานกงจวิ้นซีเพิ่งเอ่ยจบ เหลิ่งจวิ้นอวี๋ยังไม่ทันได้เอ่ยตอบ พลันมีเสียงอ่อนหวานดังมาจากด้านหลังของพวกเขา

“พี่อวี๋ รอก่อน”

เสียงอ่อนช้อยที่ดังขึ้น แฝงด้วยความดีใจเจ็ดส่วน ประหลาดใจสามส่วน ทำให้คนที่ได้ยินรู้ว่าคนที่มานั้นดีใจเพียงใด

เมื่อเสียงอ่อนช้อยนั้นดังขึ้น พวกเล่อเหยาเหยาทุกคนต่างตกตะลึงชั่วขณะ ก่อนพลันหันมองไปยังที่มาของเสียงนั้น

เห็นเพียงแสงจันทร์ขาวใส โคมไฟสวยงามถูกจุดขึ้น มีเงาร่างอ่อนหวานแช่มช้อย ราวกับผีเสื้องดงามตัวหนึ่งกำลังเดินเร่งรีบมาทางนี้

เห็นเพียงหญิงสาวผู้นี้ อายุน่าจะประมาณสิบเจ็ดปี รูปโฉมงดงามดุจหยกเปล่งประกาย ผิวขาวชุ่มชื้น ชุดสีแดงสุภาพอ่อนโยนนั้น ทำให้เธอดูราวกับดอกกุหลาบสีแดงที่เบ่งบานยามค่ำคืน งดงามสดใสกว่าผู้ใดเช่นนี้!

และคนผู้นี้ มิใช่ผู้ใด คือเหนียนซูหลานที่กำลังรีบร้อนไล่ตามเหลิ่งจวิ้นอวี๋มา!

……………………………….