“พี่อวี๋ รอหลานเอ๋อร์ด้วย โอ๊ย…”
เหนียนซูหลานเดินใกล้เข้ามา ขณะเธอใกล้จะถึงด้านหน้าของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ กลับไม่ระวังเท้าพลิก
หลังเสียงตกใจนั้นของเธอ เห็นเพียงร่างเพรียวอ่อนช้อยไร้กระดูกของเธอ ล้มลงสู่อ้อมกอดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋อย่างพอดิบพอดี
และเหตุการณ์นี้ทั้งหมดตกอยู่ในสายตาของทุกคนอีกครั้ง ทำให้ใจของเล่อเหยาเหยา ไม่รู้เหตุใดคล้ายถูกเข็มทิ่มแทงลงไปจนรู้สึกเจ็บปวด
เพียงเห็นภาพชายหญิงสองคนตรงหน้า ชายหนุ่มหยิ่งยโสหล่อเหลา เด็ดเดี่ยวน่าเกรงขาม
ผู้หญิงเพริศพริ้งบอบบาง งดงามจับตาเหนือผู้ใด!
แสงจันทร์น่าหลงใหล สายลมยามเย็นพัดโชย ภาพตรงหน้านี้จึงคล้ายภาพวาดอันสวยงาม น่าชื่นชมเช่นนี้ ทว่ากลับทำให้เล่อเหยาเหยายิ่งรู้สึกไม่พอใจ
คล้ายกลับมีบางสิ่งถูกหมักบ่มขึ้นในใจ จนส่งกลิ่นเปรี้ยวออกมา
สำหรับความเปรี้ยวในใจของเล่อเหยาเหยา ตงฟางไป๋และหนานกงจวิ้นซีด้านข้างเพียงตกตะลึงเล็กน้อย แต่กับเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เหนียนซูหลานโผเข้ากอดด้วยตนเอง ไม่รู้ตั้งใจหรือไม่ ทว่ากลับทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของเขาตกตะลึงชั่วขณะ คิ้วก็อดขมวดไม่ได้
ทันใดนั้น จึงค่อยๆ ผลักร่างบางในอ้อมกอดออกมา
“ระวัง”
“เอ่อ”
ไม่คิดว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋จะพลันไม่ทะนุถนอมต่อผู้หญิงเช่นนี้ จึงผลักตนออกมา ทำให้ใบหน้างามของเหนียนซูหลานตะลึงชั่วขณะ ก่อนพลันขมวดคิ้วโก่งดุจภาพวาดคู่นั้นแน่น ดวงตากลมโตงดงามคู่นั้นพลันปรากฎหมอกจางขึ้น
“พี่อวี๋”
น้ำเสียงอ่อนโยนละมุนมีเสน่ห์ แฝงด้วยการไม่ได้รับความเป็นธรรม กระตุ้นเย้ายวนใจ
ไม่เพียงชายหนุ่ม แม้ผู้หญิงได้ยินยังหวั่นไหว
ไม่รู้เพราะเธอให้ความสำคัญกับพญายมเกินไปหรือไม่ จึงทำให้เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงเสแสร้งเท่านั้น
แม้เมื่อครู่พญายมจะรับตัวหญิงสาวผู้นี้ไว้ ภาพเหตุการณ์นั้น ทำให้เธอไม่สบายใจ โชคดีที่พญายมรีบผลักเธอออกอย่างรวดเร็ว ช่างดีเสียจริง
พอคิดถึงตรงนี้ ในใจเล่อเหยาเหยารู้สึกดีใจ
ทว่าดีใจได้เพียงไม่นาน เล่อเหยาเหยาต้องตกใจอีกครั้ง
น่าตายนัก พญายมกอดผู้ใดเกี่ยวอันใดกับเธอ!
สถานะสูงศักดิ์ของเขา มีหญิงสาวมากน้อยเพียงใด เขาจะกอดก็กอดไป เหตุใดเธอจึงรู้สึกไม่สบาย ไม่พอใจ!
สวรรค์!
ตนกำลังคิดสิ่งใดกันแน่!
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาอดแอบกัดลิ้นตัวเองไม่ได้ ที่จู่ๆ ตนพลันคิดเรื่องน่าสับสนเช่นนี้ไม่หยุด
ขณะที่เล่อเหยาเหยาสับสน พลันเห็นเหนียนซูหลานร้องขึ้นอย่างเจ็บปวดอีกครั้ง
“โอ๊ย พี่อวี๋ เท้าของหลานเอ๋อร์คล้ายจะพลิก”
พอเหนียนซูหลานเอ่ยอย่างเจ็บปวดจบ ร่างกายก็อ่อนยวบลง ตกอยู่ในอ้อมกอดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋อีกครั้ง
แม้เหนียนซูหลานจะโผเข้ามาในอ้อมกอดอีกครั้ง ทำให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋ขมวดคิ้วชั่วครู่ ทว่าเขายังไม่เคลื่อนไหวใดๆ ยังคงให้เหนียนซูหลานอยู่ในอ้อมกอดอย่างไร้เรี่ยวแรงเช่นเดิม
เรื่องนี้ทำให้เล่อเหยาเหยาที่เห็นเบิกตากว้าง ในใจตกตะลึง
เพราะตั้งแต่รู้จักพญายมมา นี่ยังเป็นครั้งแรกที่มีผู้หญิงที่รู้ถึงสถานะของพญายม และยังกล้าโผเข้ากอดเขา
หรือเธอไม่รู้เรื่องที่พญายมเกลียดชังผู้หญิง นั่นมิใช่ข่าวที่ลือกันมานานแล้วหรือ!
และสิ่งที่ทำให้เล่อเหยาเหยาตกใจอย่างสุดขีดคือ พญายมไม่ได้หลบหลีก และยังรับตัวหญิงสาวผู้นั้นไว้ นี่มัน…
ขณะที่เล่อเหยาเหยาตกตะลึงสุดขีด หนานกงจวิ้นซีที่อยู่ด้านข้าง คล้ายสังเกตถึงความตกตะลึงในใจเล่อเหยาเหยาได้ จนอดเขยิบสองเท้าเข้าไปหาเล่อเหยาเหยา ประชิดที่ไหล่ของเธอ ก่อนเอ่ยเสียงต่ำขึ้น
“ศิษย์พี่ใหญ่แม้จะเกลียดชังสตรี แต่สตรีผู้นี้กลับยกเว้น เจ้ารู้เพราะเหตุใดหรือไม่”
“เพราะเหตุใด”
แม้ปกติจะบาดหมางกับองค์ชายเจ็ด แต่เล่อเหยาเหยาเวลานี้แปลกใจไม่หยุด ในใจทั้งตกตะลึงและรู้สึกหึงหวง
ดังนั้น อดเอ่ยถามอย่างแปลกใจไม่ได้
เมื่อเห็นแววตาตกตะลึงและแปลกใจของเล่อเหยาเหยา หนานกงจวิ้นซีกลับขายตราใบส่งของ[1]ขึ้นมา ไม่เอ่ยออกมาทันที แต่ยิ้มมุมปากอย่างโอ้อวด ก่อนเอ่ยว่า
“หากอยากรู้ว่าเพราะเหตุใด เจ้าต้องขอร้องข้าแล้ว!”
เอ่ยถึงตรงนี้ เห็นเพียงหนานกงจวิ้นซีเลิกคิ้วกระบี่ขึ้นสูง แสดงสีหน้าอวดดีออกมา
แม้แต่ไหนแต่ไรเล่อเหยาเหยากับเขาจะบาดหมางกัน แต่เมื่อเห็นเขามีท่าทางอวดดีเช่นนี้ ช่างคล้ายหนุ่มน้อยแสนซุกซนผู้หนึ่งเสียจริง
เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาจึงชำเลืองมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ รู้ว่าเขาอยากทำอะไร อยากให้ตนอ้อนวอนเขา เพื่อทำให้เขารู้สึกอวดดีหรอกหรือ! เธอไม่ทำแน่!
ด้วยนิสัยของเขา ความจริงรักษาความลับไม่ได้เป็นที่สุด ดังนั้นเล่อเหยาเหยาจึงเบ้ริมฝีปากแดง ก่อนหันไปเอ่ยด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“องค์ชายเจ็ดไม่พูดก็ช่างเถิด บ่าวไม่อยากฟังแล้ว!”
“เจ้า!”
เมื่อได้ฟังประโยคนี้ของเล่อเหยาเหยา หนานกงจวิ้นซีกลับโมโหขึ้นมา
เดิมทีเขายังจะคิดกลั่นแกล้งบ่าวตัวเล็กนี้ เพราะหาโอกาสที่บ่าวตัวเล็กจะไม่รู้เช่นนี้ไม่ง่าย คิดไม่ถึง ‘เขา’กลับเอ่ยเช่นนี้ออกมา
เห็นเช่นนั้น หนานกงจวิ้นซีแม้จะโมโห แต่บางครั้งกลับอยากรู้อย่างมาก
ตอนนี้เล่อเหยาเหยาบอกว่าไม่อยากฟัง เขากลับอดใจเอ่ยออกไปไม่ได้ ดังนั้นจึงเอ่ยขึ้นอยู่ด้านข้างว่า
“พูดออกไปคงไม่เป็นไร เดิมทีนี้ก็มิใช่ความลับอันใด ความจริงสตรีผู้นี้คือเพื่อนเล่นวัยเยาว์ของศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่ใหญ่รู้จักกับเธอตั้งแต่เด็ก ต่อมาศิษย์พี่ใหญ่ไปร่ำเรียนกับอาจารย์อยู่บนเขาเทียนซาน สตรีผู้นี้ก็ไปร่ำเรียนที่หอจิงหง ว่าไปแล้วตอนเป็นเด็กของศิษย์พี่ใหญ่ นอกจากองค์ฮ่องเต้แล้วก็ไม่มีผู้ใดยอมเล่นกับเขา ประการแรกคือเพราะเสด็จแม่ของศิษย์พี่ใหญ่ไม่อนุญาตให้เด็กอื่นเข้าใกล้เขา ประการที่สองคือนิสัยของศิษย์พี่ใหญ่เงียบขรึม ไม่พูดจา เด็กผู้อื่นจึงคิดว่าน่าเบื่อหน่าย จึงไม่ชื่นชอบเล่นกับศิษย์พี่ใหญ่ มีเพียงสตรีผู้นี้ที่ยินยอมเล่นกับศิษย์พี่ใหญ่ ดังนั้นเธอกับศิษย์พี่ใหญ่จึงผูกพันกัน ย่อมต่างจากผู้อื่น”
จากคำพูดของหนานกงจวิ้นซี เล่อเหยาเหยาจึงตระหนักได้ทันที
เดิมทีพญายมภายนอกดูดีเลิศ ทว่าตอนเด็กกลับโดดเดี่ยวเช่นนี้
ยังมีเหนียนซูหลานผู้นี้เล่นกับพญายมมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นตอนนี้จึงไม่หวาดกลัวพญายมเช่นนี้ ส่วนพญายมปฏิบัติต่อเธอคล้ายแตกต่างออกไป
พอคิดถึงตรงนี้ กระทั่งเล่อเหยาเหยาเองก็ไม่รู้ตัวว่าในใจตนหึงหวงเพียงใด
เวลานี้ได้ยินเหนียนซูหลานที่อยู่ในอ้อมกอดเหลิ่งจวิ้นอวี๋เอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า
“พี่อวี๋ ข้าเจ็บเท้าเหลือเกิน เช่นนั้น…”
“ไป๋ เจ้ามาดูเท้าให้นางหน่อยเถิด”
เหนียนซูหลานยังเอ่ยไม่จบ ก็ได้ยินเหลิ่งจวิ้นอวี๋เอ่ยกับตงฟางไป๋ขึ้น
เพราะตงฟางไป๋เป็นหมอ ยังมีฝีมือล้ำเลิศ ดังนั้น ตอนนี้ให้เขาดูอาการของเธอจึงถือว่าดีที่สุด
ทว่าเหนียนซูหลานที่ได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ กลับอดตะลึงชั่วขณะไม่ได้
“เรื่องนี้…”
“ไป๋เป็นหมอ เมื่อเท้าเจ้าบาดเจ็บ ก็ให้เขาดูหน่อยเถิด”
หลังเหลิ่งจวิ้นอวี๋เอ่ยเสียงขรึมจบ เดิมทีคิดปล่อยมือจากเหนียนซูหลาน ทว่าหลังเขากวาดดวงตาเย็นชาครู่หนึ่ง เห็นเล่อเหยาเหยาด้านข้างมีสีหน้าไม่พอใจ ดวงตาเย็นชาอดเป็นประกายไม่ได้ มือที่เดิมทีหมายจะผลักเหนียนซูหลานออกไป กลับรวบตัวเธอเขามาในอ้อมกอด
“อ๊ะ พี่อวี๋”
สำหรับการกระทำที่ไม่คาดฝันของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ หลังจากเหนียนซูหลานหายตกตะลึง ก็พลันรู้ว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋คิดทำสิ่งใด สองแก้มจึงอดแดงก่ำไม่ได้
ดวงตาคู่งามมองใบหน้าเด็ดเดี่ยวของเหลิ่งจวิ้นอวี๋อย่างเหนียมอาย
ริมฝีปากแดงทาด้วยชาด ค่อยๆ โค้งขึ้น
เหลิ่งจวิ้นอวี๋ไม่มองใบหน้าเล็กที่ขวยเขินดีใจของเหนียนซูหลาน เพียงอุ้มเธอขึ้น จากนั้นนำตัวเธอไปวางลงที่เก้าอี้ที่อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ด้านข้าง
“ไป๋ ดูอาการให้นางเถิด”
“อืม ได้”
สำหรับท่าทางของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ตงฟางไป๋เพียงตะลึงไปชั่วขณะ พลันได้สติอย่างรวดเร็ว รีบเข้าไปดูอาการบาดเจ็บบนเท้าของเหนียนซูหลาน
ไม่นาน จึงเอ่ยปากขึ้นว่า
“เพียงข้อเท้าพลิกเท่านั้น อาการไม่หนัก เพียงทายา พรุ่งนี้ก็หายเป็นปกติ”
หลังตรวจอาการบาดเจ็บบนเท้าของเหนียนซูหลาน ตงฟางไป๋เอ่ยขึ้นตามความจริง
เมื่อได้ยิน เหลิ่งจวิ้นอวี๋พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนพลันกวาดสายตาเย็นชาชั่วขณะ มองไปยังเด็กสาวสองคนด้านหลังเหนียนซูหลาน
“พวกเจ้าพาคุณหนูกลับไปเถอะ”
“เพคะ”
สำหรับคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เด็กสาวสองคนนั้นรู้ถึงสถานะของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ จึงพลันย่อกายต่อเขาอย่างนอบน้อม ก้มหน้ารับคำขึ้น
หลังเอ่ยประโยคนี้จบ เหลิ่งจวิ้นอวี๋เดิมทีคิดหมุนตัวจากไป คิดไม่ถึงกลับรู้สึกตึงที่ชายเสื้อ
จึงเห็นเพียงเหนียนซูหลานยื่นมือดึงชายเสื้อของเขาไว้ ใบหน้าเล็กงดงามนั้น ขมวดคิ้วเข้มแน่น ดวงตาสดใส มองดูแล้วแฝงด้วยความไม่เป็นธรรมเจ็ดส่วน แง่งอนสามส่วน
“พี่อวี๋ เท้าของข้าบาดเจ็บ พี่อวี๋ไปส่งข้าได้หรือไม่”
น้ำเสียงอ่อนโยนละมุนมีเสน่ห์ และท่าทางงดงามอ่อนหวานนั้น แม้นักบวชได้เห็น เลี่ยงที่จะหวั่นไหวไม่ได้
แต่สำหรับการอ้อนวอนของหญิงสาว เหลิ่งจวิ้นอวี๋กลับเพียงเม้มริมฝีปากกระจับแน่น ไม่เอ่ยสิ่งใด
ทว่าดวงตาเย็นชาเรียบเฉยคู่นั้น กลับมองใบหน้าเล็กน่าสงสารของหญิงสาวอยู่เงียบๆ
เมื่อพญายมไม่พูดจา ในใจของหญิงสาวก็เริ่มกังวลขึ้น สายตาที่มองเหลิ่งจวิ้นอวี๋ยิ่งดูอ้อนวอนมากขึ้น
ดวงตางดงามคู่นั้น แววตาเป็นประกายงดงาม ทำให้ความงดงามของเธอแฝงด้วยความอ่อนช้อยหลายส่วน งดงามจนทำให้ใจของผู้คนเป็นห่วงเป็นใย
ความจริงขณะที่เหนียนซูหลานกังวลใจ ยังมีบางคนที่ในใจเริ่มกังวลขึ้นมาด้วยเช่นกัน
และคนผู้นั้น คือเล่อเหยาเหยา!
หลังเห็นหญิงสาวผู้นี้พลันปรากฏตัวขึ้น ทำทุกอย่างกับพญายมอย่างกล้าหาญ ไร้ความหวาดกลัวเช่นนี้ และยังประจบ ออดอ้อน เสแสร้งทำตัวน่าสงสารต่อหน้าพญายมไม่หยุด
ส่วนพญายมคล้ายจะปฏิบัติต่อเธอ มองเธอแตกต่างจากผู้อื่น
อันที่จริง หากวันนี้เปลี่ยนเป็นหญิงสาวผู้อื่นโผเข้ากอดเขาเช่นนี้ เกรงว่าเขาคงพลันผลักออกมา จนล้มอยู่บนพื้นไปแล้ว!
แต่ผู้หญิงคนนี้กลับแตกต่างออกไป
เธอคือเพื่อนเล่นวัยเยาว์ของเขา ผูกพันกันมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นเมื่อเธอเจ็บข้อเท้า เขาจึงต้องอุ้มเธอ ปกป้องเธอ
เวลานี้ผู้หญิงคนนี้อ้อนวอนอย่างน่าสงสารเช่นนี้ เกรงว่าพญายมก็คงหวั่นไหวเช่นกัน!
เป็นไปได้หรือ!
พญายมเป็นไปได้หรือ!
ยิ่งคิด ใจเล่อเหยาเหยาราวกับรู้สึกไม่สบาย หวาดกลัวขึ้นมา
กระทั่งเธอไม่รู้ว่าสีหน้าตนเต็มไปด้วยความกังวล
ดวงตาสดใสคู่นั้น เปี่ยมไปด้วยความร้อนใจและหวาดระแวง
แม้เธอจะไม่รู้ถึงสีหน้าของตนเอง แต่บางคนกลับรับรู้ได้ และคนผู้นี้คือเหลิ่งจวิ้นอวี๋!
………………………………………………………………..
[1] ขายตราใบส่งของ หมายถึงการอุบเรื่องที่สำคัญหรือน่าสนใจที่สุดเอาไว้ แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายรออย่างกระวนกระวาย