บทที่ 728 ปากมากไม่ว่า แต่นี่ยังตามราวีไม่เลิกอีก โดย Ink Stone_Fantasy
ในตึกบ้านพัก สวี่ซูหานกำลังนั่งพิงขอบหน้าต่าง สายตาจดจ้องไปยังทิศทางที่ตั้งของมหาลัยแพทย์ฯ
ความจริง จากมุมที่เธออยู่มองเห็นเพียงอาคารร้างบางส่วน และพื้นที่ป่ารกมากมายเท่านั้น เธอไม่เห็นแม้แต่เงาร่างคนเลยซักคน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะเห็นหลิงม่อกับมู่เฉิน
เธอไม่รู้แม้กระทั่งว่าสองคนนั้นเข้าไปข้างในหรือยัง…
“เรื่องที่หลิงม่อมั่นใจ คงไม่ผิดพลาดหรอก ถ้าหากเขาคาดการณ์ผิด ก็น่าจะกลับมาตั้งแต่ตอนบ่ายแล้ว” ตอนนี้จิตใจของสวี่ซูหานกำลังสับสนวุ่นวายมาก เธอไม่อยากให้หลิงม่อกับมู่เฉินเข้าไปเสี่ยงอันตรายในนั้น แต่ขณะเดียวกันก็หวาดกลัวว่าตัวเองจะกลายพันธุ์เป็นซอมบี้โดยสมบูรณ์ พวกเย่เลี่ยนดูภายนอกไม่ต่างจากคนปกติมากนัก มีเพียงเวลาต่อสู้เท่านั้นที่จะเผยความน่ากลัวของซอมบี้ระดับสูงออกมา แต่กว่าจะมาถึงขั้นนี้ได้พวกเธอต้องวิวัฒนาการมานานขนาดไหนกัน?
ทันทีที่ตัวเธอกลายพันธุ์โดยสมบูรณ์ เธอจะสูญเสียสติสัมปชัญญะไป และไม่อาจควบคุมพฤติกรรมของตัวเองได้
เรื่องบางเรื่อง เมื่อผ่านไปแล้วอาจรู้สึกว่าไม่มีอะไรมาก แต่หากได้รู้และเข้าใจก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้น แรงกดดันทางจิตใจที่จะไดรับก็จะทวีคูณขึ้นทันที…
สวี่ซูหานกระทั่งอดคิดไม่ได้ว่าหากหลิงม่อล้มเหลวล่ะ ถ้าหากเขาไม่สามารถหาวิธีทำให้เธอรักษาสติสัมปชัญญะไว้ได้ จะทำอย่างไรดี?
“ทำได้เพียงภาวนาให้แผนการของหลิงม่อราบรื่นแล้วล่ะ…” สวี่ซูหานจิตใจว้าวุ่น
ในตัวบ้าน ซอมบี้สาวสามตัวต่างคนต่างกำลังยุ่งอยู่กับตัวเอง ถึงแม้หลิงม่อไม่ได้พาพวกเธอไปด้วย แต่ทันทีที่เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น พวกเธอสามคนรวมถึงพวกอวี๋ซือหรานที่ซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ ล้วนเป็นทัพหลังของหลิงม่อ
เย่เลี่ยนยืนอยู่หน้ากระจกขนาดใหญ่บานหนึ่ง ในมือถือตะเกียบไว้หนึ่งด้าม หลังจากจ้องมองมันด้วยสีหน้าเหม่อลอยซักพัก จู่ๆ เธอก็เริ่มโยกตัวซ้ายขวาทันที
เธอไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายเร็วนัก การเคลื่อนไหวของมือก็ช้ามากเช่นกัน ทุกครั้งที่ตะเกียบถูกชี้ไปที่กระจก ล้วนสามารถจับช่องโหว่ที่เกิดขึ้นในขณะเคลื่อนไหวของเธอได้
ทว่าเมื่อความเร็วเพิ่มขึ้น เธอก็เริ่มมีข้อผิดพลาด เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นการฝึกฝนกับตัวเอง มันจึงเป็นเรื่องยากกว่าปกติ
“อ๊ะ…” ขณะเดียวกับที่ตะเกียบถูกชี้ออกไป เย่เลี่ยนก็ชะงักหยุด แล้วมองตัวเองที่ถูกชี้หว่างคิ้วอยู่ในกระจก เธอกระพริบตาปริบๆ เหมือนรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย
“อะ…อีกครั้ง…”
ในตอนที่เย่เลี่ยนแข่งกับตัวเองในกระจก ซย่าน่ากับหลี่ย่าหลินก็ไม่ได้อยู่ว่าง
ในห้องน้ำ ซย่าน่าก็กำลังยืนมองตัวเองอยู่หน้ากระจกเช่นกัน
ณ เวลานี้ดวงตาข้างหนึ่งของเธอเป็นสีดำลึกล้ำ ส่วนอีกข้างเป็นสีแดงเจิดจรัส
บริสุทธิ์และโหดเหี้ยม สงบสุขและกระหายเลือด เมื่อสองบุคลิกรวมเป็นหนึ่งเดียว ภาพที่เห็นจึงดูประหลาดมาก
แต่สิ่งที่ซย่าน่าเห็นในกระจก กลับเป็นตัวเองสองคน คนหนึ่งคือเฮยน่าซอมบี้ชนชั้นสูงที่แท้จริง ส่วนอีกคนคือร่างดวงจิตน่าน่า บุคลิกสองบุคลิกนี้รวมกันอยู่ในร่างกายของเธอ แต่ขณะเดียวกันก็แยกตัวกันเป็นอิสระ ตอนนี้เฮยน่ายืนอยู่ข้างหน้า น่าน่าอยู่ข้างหลัง แต่ลำตัวของทั้งสองกลับหลอมรวมกันเป็นหนึ่ง
“ตอนแรกก็สับสนวุ่นวายไปหมด ต่อมาก็กลืนกินซึ่งกันและกัน จนสุดท้ายก็แยกตัวออกจากกัน แล้วมาตอนนี้กลับกลายไปเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง…” ซย่าน่ามองเงาสะท้อนในกระจก แล้วพูดพึมพำกับตัวเอง “แต่การหลอมรวมนี้เป็นเพียงขั้นแรกเท่านั้น ถึงไม่มีใครเห็นก็แล้วไป แต่ในสายตาของพี่หลิงเราจะต่างอะไรกับพวกสามหัวหกแขนกันล่ะ…”
เธอใช้มือล้วงเข้าไปในกระเป๋าหยิบถุงถนอมอาหารออกมา สิ่งที่อยู่ข้างในคือไวรัสนางพญาของเจ้าซอมบี้หัวโต
“ของสิ่งนี้เราจะกินครั้งเดียวหมดก็ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอาจได้รับผลกระทบจากเชื้อไวรัสของอีกฝ่าย และถูกทำลายสมดุลในร่างกาย จนทำให้เชื้อไวรัสในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน…” ซย่าน่าเข้าใจทฤษฎีเหล่านี้เป็นอย่างดี ซอมบี้สัตว์ป่าไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ ขอเพียงเป็นก้อนเหนียวหนืดหรือไวรัสนางพญาพวกมันล้วนกลืนกิน ดังนั้นถึงได้กลายพันธุ์จนมีรูปร่างประหลาดและพิลึกพิลั่นกันอย่างนั้น
“เฮ้อ จะคิดมากไปทำไมนะ ไม่แน่มันอาจทำให้ฉันมีปีกขึ้นมาก็ได้…” จู่ๆ เฮยน่าในกระจกก็ยิ้มประหลาดขึ้นมา เธอเป็นซอมบี้ที่แท้จริง ไม่ว่าจะกลายร่างไปเป็นอย่างไรเธอย่อมรับได้ ขอแค่ได้วิวัฒนาการสูงขึ้นอีกหนึ่งระดับก็พอ
ไม่ได้!” ร่างดวงจิตน่าน่าโวยวาย “จะให้ฉันเป็นมนุษย์นกหรือไง?! ล้มเลิกความคิดนั้นไปได้เลย!”
“มนุษย์นกอะไรกัน! เขาเรียกนางฟ้าตกสวรรค์ต่างหากเล่า เป็นคนเสียเปล่า ไม่มีศิลปะเอาซะเลย…” เฮยน่าแค่นเสียง
ร่างดวงจิตน่าน่ากลอกตาขาว “น้อยๆ หน่อย! เธอจะว่าฉันอย่างนั้นทั้งๆ ที่เราใช้ความทรงจำร่วมกันเนี่ยนะ!” เธอเหลือบมองไวรัสนางพญาในมือตัวเอง แล้วบอกว่า “วิวัฒนาการของฉันในตอนนี้พัฒนาไปในด้านพลังจิตอย่างเห็นได้ชัด และเกี่ยวข้องกับการแยกบุคลิกด้วย พวกเราแยกตัวออกจากกันอย่างเป็นอิสระแล้ว ความเป็นไปได้ที่จะกลับมาหลอมรวมกัน 100% มีไม่มาก แต่ไม่ว่าสุดท้ายจะกลายพันธุ์ไปเป็นแบบไหน อย่างไรมันก็ต้องเป็นผลดีกับเราแน่นอน”
“ชิ…” เฮยน่ากลอกตาขาว พวกเธอเป็นร่างเดียวกัน แต่สีหน้าเดียวกันพอถูกแสดงออกมาโดยอีกบุคลิกกลับดูแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“ชิอะไรยะ! ตอนที่วิวัฒนาการครั้งที่แล้ว ฉันยังไม่ลืมเรื่องที่เธอใช้มือซ้ายหยิกแก้มขวาฉันนะ!” ร่างดวงจิตน่าน่าโวยวาย
“หึหึ จะเอาอีกไหมล่ะ! จะว่าไปแล้วเป็นคนคนเดียวกันแท้ๆ แต่ทำไมฉันอีกคนถึงได้เชยเฉิ่มอย่างนี้นะ…”
“นี่ พูดอย่างกับว่าตัวเองดีเด่อะไรนักหนาอย่างนั้นแหละ…”
เถียงกันก็ส่วนเถียงกัน แต่ทั้งสองกลับไม่ได้หยิกแก้มกันขึ้นมาจริงๆ
ความรู้สึกที่มาจากร่างกาย ทั้งสองบุคลิกล้วนรับรู้ร่วมกันทั้งหมด ความจริงไม่ว่าจะใช้มือข้างไหนหยิกแก้มฝั่งไหน ก็เหมือนกันทั้งนั้น…
“ใจเย็นหน่อยเถอะ ค่อยๆ กลืนกินไปดีกว่า ขอเตือนเธอไว้ก่อน ห้ามกินทีเดียวหมดเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะกลายพันธุ์เอาได้” ซย่าน่าในตอนนี้เห็นชัดว่าถูกควบคุมโดยทั้งสองบุคลิกพร้อมกัน หลังจากทิศทางในการวิวัฒนาการเริ่มปรากฏ ทั้งสองบุคลิกก็สามารถควบคุมร่างกายพร้อมกันได้แล้ว ซึ่งนี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมดวงตาของเธอถึงได้แปลกไปอย่างนั้น
ทว่าซย่าน่ายังไม่ถึงขั้นปล่อยให้บุคลิกหนึ่งควบคุมร่างกายฝั่งหนึ่งไปเลย เหตุการณ์อย่างนั้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อพวกเธอทะเลาะกันเท่านั้น ในสภาวะปกติ พวกเธอต่างก็พูดคุยปรึกษากันได้เหมือนอย่างตอนนี้ แต่ในเวลาที่ต้องสู้ น่าน่าจะกลับไปเป็นร่างดวงจิต เพื่อคอยให้ความช่วยเหลือร่างหลัก ส่วนเวลาพูด ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเป็นคนชิงพูดขึ้นมาได้ก่อน แต่ถึงอย่างนั้นพวกเธอต่างก็เป็นร่างเดียวกัน ดังนั้นในสายตาของคนอื่นเธอจึงดูเป็นคนฉลาดหลักแหลมไหวพริบดี นอกจากนั้นก็ไม่อะไรที่ดูผิดปกติ
แต่หลังจากวิวัฒนาการแล้วจะกลายไปเป็นอย่างไร ซย่าน่าเองก็บอกไม่ได้เหมือนกัน
“รู้แล้วน่า…ชิ…” เงาสะท้อนของซย่าน่าในกระจกชักสีหน้าไม่พอใจ พลางเม้มปากแน่น
ในห้องนอน หลี่ย่าหลินกลับดูสงบนิ่งมาก
เธอนั่งอยู่บนผ้าห่มสะอาดสะอ้าน ดวงตาเบิกกว้าง
ถึงแม้เธอจะมีหน้าตาเหมือนลูกครึ่ง แต่หลี่ย่าหลินในสภาวะปกติก็ยังมีดวงตาเป็นสีดำขลับ แม้จะมีสีเหลืองอำพันแฝงอยู่เล็กน้อย แต่คนอื่นไม่มีทางมองเห็นแน่นอน
แต่เวลานี้ กลิ่นอายซอมบี้รอบกายเธอยังคงถูกกดข่มไว้เหมือนเดิม ทว่าดวงตาคู่นั้นของเธอกลับแดงก่ำจนเหมือนจะมีเลือดไหลออกมา
แต่หากมองดูดีๆ ก็จะเห็นสีเหลืองอำพันส่องประกายขึ้นมาเป็นระยะอยู่ท่ามกลางทะเลโลหิตนั้น ซึ่งนั่นทำให้ดวงตาของเธอดูสุกใสและแวววาว
ถึงแม้จะเต็มไปด้วยความเยือกเย็น ทว่าเพียงสีและประกายแวววาวนี้ก็งดงามมากพอที่จะทำให้ละสายตาออกไปไม่ได้แล้ว
ข้างกายเธอ มีถุงถนอมอาหารเปล่าๆ วางไว้ แสดงให้เห็นว่าเธอเพิ่งจะกลืนกินไวรัสนางพญาของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์เข้าไป
เดิมบุคลิกของเธอเอนเอียงไปทางงู กระทั่งแม้แต่วิธีการโจมตี หรือทุกอิริยาบถในเวลาปกติล้วนเหมือนงู แต่ในระหว่างที่กลืนกินไวรัสนางพญาของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ ร่างกายของเธอกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างอย่างเห็นได้ชัด สีเหลืองอำพันยังคงอยู่ บ่งบอกว่าลักษณะเด่นของงูที่อยู่ในตัวเธอจะไม่หายไปอย่างแน่นอน ทว่าสุดท้ายจะกลายเป็นอย่างไร หลิงม่อไม่แน่ใจ หลี่ย่าหลินยิ่งไม่แน่ใจเข้าไปใหญ่
หลังจากเข้าพักเรียบร้อย สิ่งแรกที่หลิงม่อทำคือสลับมุมมองสายตา
ในกลุ่มซอมบี้สาวสามตัว คลื่นดวงจิตของเย่เลี่ยนสงบที่สุด หลิงม่อจึงสลับมุมมองสายตาไปที่เธอ
คิดไม่ถึงว่าพอสลับมุมมองสายตาเสร็จ เขาก็มองเห็นตะเกียบด้ามหนึ่งกำลังพุ่งแทงมาทางเย่เลี่ยน แถมยังดูเหมือนว่ามันกำลังไล่แทงเย่เลี่ยนด้วย
เพราะสับเปลี่ยนมุมมองสายตากะทันหัน และหลิงม่อก็ยังมองเห็นไม่ชัด พอเห็นแค่ภาพดังกล่าวเขาจึงรู้สึกหนังศีรษะตึงชาขึ้นมาทันที
หลิงม่อเห็นเย่เลี่ยนเบี่ยงตัวหลบไปอีกด้านในขณะที่ตะเกียบใกล้จะแทงโดนไหล่ของเธอ แต่ไม่นาน ตะเกียบด้ามนั้นก็พุ่งมาตรงหน้าเย่เลี่ยนติดๆ
หัวใจของหลิงม่อหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม แต่ในตอนนั้นเองที่เขาค้นพบว่า ที่แท้เย่เลี่ยนก็กำลังยืนอยู่หน้ากระจกนั่นเอง…
ดวงตาของเย่เลี่ยนที่อยู่ในกระจกราวกับรอยคลื่นมากมายที่กำลังม้วนตัวเข้าด้านในอย่างต่อเนื่อง ดูน่าพิศวง
“ที่แท้ก็กำลังฝึกกับตัวเอง ตกใจหมดเลย…” หลิงม่อผ่อนลมหายใจ
วิธีฝึกซ้อมอย่างนี้มีแค่ซอมบี้เท่านั้นที่ทำได้ มันยากยิ่งกว่าใช้มือขวากับมือซ้ายของตัวสู้กันเสียอีก ซอมบี้มีปฏิกิริยาตอบสนองทางร่างกายที่รวดเร็ว แต่กลับมีขีดจำกัดเรื่องสติปัญญา ถึงแม้ว่าเย่เลี่ยนจะเป็นซอมบี้เจ้าเมืองแล้ว แต่พัฒนาการด้านสติปัญญากลับอยู่ในระดับธรรมดามาก แม้สัญชาตญาณด้านการต่อสู้ของเธอจะน่าทึ่ง แต่การใช้พลัง “กล้องสลับลาย” กลับขึ้นอยู่กับสติรู้คิดของตัวเอง เมื่อเป็นอย่างนี้ สติปัญญาของเธอย่อมตามปฏิกิริยาตอบสนองทางร่างกายไม่ทันแน่นอน ดังนั้นเธอจึงต้องฝึกซ้อมด้วยวิธีนี้
คิดไม่ถึงเลยว่าเย่เลี่ยนจะตระหนักได้ถึงจุดนี้แล้ว วิธีอย่างนี้แม้แต่หลิงม่อก็ยังคาดไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ…
หลิงม่ออดเหลือบมองไปที่ตัวเย่เลี่ยนไม่ได้ เขารู้สึกสนใจสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าเย่เลี่ยนมากจริงๆ
แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเย่เลี่ยน ดังนั้นหลิงม่อจึงไม่เคยคิดสลับมุมมองสายตาเพื่อแอบอ่านเลยแม้แต่ครั้งเดียว ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งไม่คิดจะบังคับให้เธอเอาออกมา
แต่หลิงม่อยังคงรู้สึกได้รางๆ ว่า ถึงแม้สติปัญญาของเย่เลี่ยนจะมีขีดจำกัด แต่ในสมองเล็กๆ ของเธอกลับเต็มไปด้วยความคิดมากมายนับไม่ถ้วน…
“ในเมื่อเด็กโง่ไม่อยากบอก แสดงว่าเธอต้องมีเหตุผล ยังไงก็เชื่อใจเธอดีกว่า”
หลิงม่อได้ส่งสัญญาณไปยังฝั่งอวี๋ซือหรานแล้วเช่นกัน แต่พอเขาสลับมุมมองสายตาไปก็เจอกับเฮยซือเข้าพอดี หลังทนฟังเฮยซือพูดมากเป็นต่อยหอยอยู่ 1 นาทีเต็มๆ หลิงม่อก็ทนต่อไปไม่ไหว จึงรีบดึงมุมมองสายตากลับมายังร่างหลัก แต่ภาพของห้องพักเพิ่งจะปรากฏสู่สายตา จู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาในสมอง
“เฮ้ยๆ นายอย่าเพิ่งหนีสิ ทำไมนายถึงไร้ความรับผิดชอบในฐานะเจ้านายอย่างนี้ล่ะ อวี๋ซือหรานไม่ได้อยากติดตามนายเลยซักนิดนะ เธอเอาแต่คิดจะกินนายเท่านั้น ยัยนั่นล้อเล่นหรือไง นายเป็นอาหารตัวสำรองของฉันต่างหากล่ะ…” เฮยซือยังคงพูดพล่ามผ่านสายสัมพันธ์ทางจิตอย่างไม่หยุดหย่อน เรื่องอย่างนี้มีแค่มันเท่านั้นที่ทำได้ เพราะตอนนี้มันเป็นร่างดวงจิตที่แข็งแกร่งมาก
หลิงม่อรู้สึกปวดหัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้ยังถูกเฮยซือตามมาราวีไม่เลิกอีก!
แต่ปรากฏว่าพอได้ยินประโยคสูดท้าย เขาก็รีบลุกนั่งตัวตรงทันที “อะไรนะ?!”
เขาไม่ได้พูดโพล่งออกมา แต่กลับคิดในใจแทน อาศัยสายสัมพันธ์ทางจิต เฮยซือรับรู้ถึงความคิดเขาได้อย่างแม่นยำ
“แหะๆๆ ฉันพูดอะไรงั้นหรอ? แค่ล้อเล่นหรอกน่า…เอ่อคือ เวลาของฉันหมดแล้ว ฉันไปก่อนละนะ…”
หลายวินาทีผ่านไป ระหว่างที่หลิงม่อกำลังนั่งรอเงียบๆ เสียงของเฮยซือก็ดังขึ้นอีกครั้งตามคาด “ดังนั้นนายต้องช่วยฉันกลืนกินยัยเด็กนั่นนะ เจ้านาย นายเป็นคนดีนะ…”
“นี่…”
“ฉันไปจริงๆ ละ”
เมื่อเสียงเฮยซือเงียบลง หลิงม่อกลับยื่นมือไปเคาะโต๊ะที่วางไว้ข้างตัว
เห็นเขาเป็นอาหาร? หรือเป็นตัวสำรอง? หมายความว่าอย่างไหนกันแน่?
—————————————————————————–