บทที่ 729 วิญญาณท่อ โดย Ink Stone_Fantasy
“เจ้าเฮยซือ…คงไม่ได้เห็นฉันเป็นร่างร่วมสำรองหรอกนะ?” ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในสมองหลิงม่อทันที
ยิ่งคิดเขายิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ ยังไม่ต้องพูดถึงอิสระที่จะถูกจำกัดหลังกลายเป็นร่างร่วม แค่จินตนาการว่าเสียงของเจ้าปากมากนั่นดังอยู่ในสมองเขาทั้งวัน หลิงม่อก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัวแล้ว
ตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจความรู้สึกของอวี๋ซือหรานขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว ไม่น่าล่ะเธอถึงได้อยากให้เขาช่วยแยกดวงจิตของเธอกับเฮยซือออกจากกัน เพราะมันน่ารำคาญและทรมานขนาดนี้นี่เอง!
แต่ความคิดนี้ของเจ้าเฮยซือกลับเป็นความคิดที่เพ้อเจ้อเกินจริง เพราะมันยังคงเป็นหุ่นซอมบี้ของหลิงม่ออยู่ หากสายสัมพันธ์ทางจิตยังไม่ถูกตัดขาด มันไม่มีทางหันกลับมาต่อต้านหลิงม่อได้
“แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะมีความคิดอย่างนี้ได้…เป็นพวกท้องดำจริงๆ ด้วยสินะ สมกับเป็นหมาที่ถูกซย่าน่าอบรมสั่งสอนมาจริงๆ…” (ท้องดำ หรือ 腹黑 หมายถึง คนที่ภายนอกดูใสซื่อ แต่ภายในเต็มไปด้วยแผนการร้าย หรือคนที่มีนิสัยร้ายลึก)
หลิงม่อสะบัดหัวไปมา เฮยซือขาดการถูกอบรมสั่งสอนที่ถูกต้องจริงๆ แต่เขายังไม่มีเวลามาคิดเรื่องนี้
เรื่องสำคัญในตอนนี้ ควรจะเป็นเรื่องการสำรวจนิพพานสำนักงานใหญ่มากกว่า
หลิงม่อไม่สามารถใช้หนวดสัมผัสทางจิตมาตรวจสอบสถานที่อย่างนี้ได้ เพราะหากไปสะกิดผู้มีพลังจิตคนอื่นเข้า จะกลายเป็นการเปิดเผยตัวตนเสียเปล่าๆ
แต่หากออกค้นหาด้วยตนเองก็คงจะได้อะไรไม่มากเหมือนกัน นอกจากว่าเขาจะมีเวทมนต์ล่องหนได้อะไรทำนองนั้น
โดยทั่วไปแล้ว ในสถานที่ที่เข้มงวดอย่างนี้ ยากที่จะคิดหาวิธีที่เหมาะสมออกจริงๆ
นั่นคือความคิดของมู่เฉิน ตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่ในห้องข้างๆ อาจดูเหมือนกำลังพักผ่อน แต่ความจริงกลับกำลังช่วยหลิงม่อดูลาดเลาอยู่
เขารู้ดีว่าหลังจากแฝงตัวเข้ามาสำเร็จ หลิงม่อไม่มีทางปล่อยให้เวลาผ่านไปเฉยๆ เขาต้องรีบทำตามแผนทันทีแน่นอน
หลังคิดซ้ายคิดขวา มู่เฉินก็ยังเดาไม่ได้ว่าหลิงม่อจะใช้วิธีแบบไหนกันแน่
หากไม่มีพลังจิตสำรวจ เขาจะทำอย่างไรเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่มีอยู่ทุกที่กับจุดซุ่มยิงที่แน่นหนาขนาดนั้น
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น มู่เฉินคงเสียความเชื่อมั่นไปแล้ว แต่สำหรับหลิงม่อ ถึงแม้เขาจะแอบสงสัยอยู่ในใจ แต่กลับยังมีความหวังอยู่
ถ้าหากไร้หนทางจริงๆ ถ้าอย่างนั้นการที่พวกเขาแฝงตัวเข้ามาเสี่ยงอันตราย ไม่เท่ากับรนหาที่ตายเปล่าๆ หรือ?
ความจริงในสายตาเขา ถึงแม้ที่ผ่านมาหลิงม่ออาจเหมือนทำเรื่องรนหาที่ตายมานับไม่ถ้วน แต่พอถึงตอนสุดท้ายมู่เฉินก็พบว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งที่ผ่านๆ มา ตอนนี้พวกเขาเข้ามาถึงถิ่นของศัตรู ทันทีที่ก้าวเดินผิดก็มีแต่ความพ่ายแพ้รออยู่เท่านั้น
“พี่หลิงเอ๋ยพี่หลิง นายอย่ารังแกฉันอีกเลยนะ…” มู่เฉินพึมพำเสียงเบา
มีผนังห้องกันอยู่ หลิงม่อย่อมไม่รู้ว่ามู่เฉินกำลังพูดอะไรอยู่บ้าง
เขาไม่ได้กังวลใจเท่ามู่เฉิน และไม่ได้นั่งเค้นสมองคิดหาทางจนปวดหัว แต่กลับกำลังตรวจสอบตามซอกมุมในห้องอย่างละเอียดอยู่
ไม่รู้ว่าห้องนี้ถูกใช้ทำอะไรมาก่อน การตกแต่งไม่เลว สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ครบครัน แต่เห็นชัดว่าเฟอร์นิเจอร์จำนวนมากถูกขนเข้ามาจากข้างนอก แม้แต่การตกแต่งก็ยังดูออกว่าผ่านการถูกปรังปรุงมาใหม่
เพื่อเติมเต็มความต้องการของเหล่าผู้มีความสามารถพิเศษ นิพพานสำนักงานใหญ่ได้ลงทุนลงแรงไปไม่น้อย
กำลังกายและกำลังใจที่นำมาทุ่มเทในด้านนี้ หากเป็นค่ายผู้รอดชีวิตค่ายอื่น คงจะเอามันมาค้นหาอาหารแทน แค่นี้ก็จะหิวตายอยู่แล้ว ยังจะมาพูดเรื่องไร้สาระอย่างความเพลิดเพลินในการใช้ชีวิตอะไรอีก
แต่ก็เพราะความแตกต่างที่ชัดเจนนี้เอง ที่ทำให้นิพพานสำนักงานใหญ่เป็นที่ดึงดูดท่ามกลางผู้มีความสามารถพิเศษมากมาย
ความคิดของบางคนนั้นง่ายดายมาก อย่างไรอยู่ว่างได้ไม่นานก็ต้องออกไปเสี่ยงอันตรายอีกครั้งอยู่ดี ไม่ว่าเข้าร่วมค่ายไหนก็เหมือนกันทั้งนั้น ในเมื่อเป็นอย่างนี้ อย่างน้อยในช่วงเวลาที่ได้พักก็ขอเพลิดเพลินเต็มที่ดีกว่า ใครจะรู้ ครั้งหน้าที่ออกไปทำภารกิจอาจไม่มีวันได้กลับมาอีกแล้วก็ได้ เพราะมีมีดแกว่งอยู่บนหัวตลอดเวลา ดังนั้นคนส่วนมากจึงกล้าทำอะไรอย่างไม่เกรงกลัวนัก หลิงม่อเดาว่าคนที่นี่น่าจะสะสมระดับผลงานได้ไม่มาก พวกเขาน่าจะใช้มันทันทีที่ได้มา
ในขณะที่ใช้ความคิดอยู่นั้น หลิงม่อก็ได้สำรวจพื้นห้องจนเสร็จ และเปลี่ยนเป้าหมายไปที่เพดานห้องแทน
นิพพานสำนักงานใหญ่คงจะไม่ติดตั้งของประเภทกล้องวงจรปิดในห้องพักของผู้มีความสามารถพิเศษ หลิงม่อเองก็ไม่ได้กำลังตามหาสิ่งนั้นเหมือนกัน
เขายืนมองเพดานห้องอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็แผ่หนวดสัมผัสทางจิตออกมา 2 – 3 เส้น
หนวดสัมผัสทางจิตจะใช้สุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ แต่หากเอามาใช้สำรวจห้องของตัวเองก็ไม่มีปัญหาอะไร
ไม่นาน สายตาของหลิงม่อก็หยุดจ้องไปยังจุดจุดหนึ่ง
เมื่อเขา “ลอยตัว” ขึ้นจากพื้นอย่างน่าประหลาด โคมไฟบนเพดานก็แกว่งไหวไปด้วย
พอลอยตัวขึ้นมาถึงกลางอากาศ หลิงม่อก็จ้องมองฝ้าเพดานสีขาวแผ่นนั้นที่กำลังกระตุกสั่นเล็กน้อย ไม่นานฝ้าแผ่นนั้นก็ถูกงัดออกจนเปิดเป็นช่องเล็กๆ
“ฮู่ว…”
หลังจากใช้หนวดสัมผัสดันฝ้าแผ่นนั้นให้เปิดออก หลิงม่อก็รีบล้วงเจ้าแมงกะพรุนตัวเล็กออกมาจากกระเป๋า
ก่อนหน้านี้เขาคิดอยากจะใช้เจ้าตัวเล็กนี้เป็นแบตเตอร์รี่สำรอง แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ มันกลับสามารถรับบทเป็นหุ่นยนต์สำรวจได้ด้วย
ตอนนี้เจ้าแมงกะพรุนตัวเล็กที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นของเล่น กำลังวิ่งไปวิ่งมาอย่างลิงโลดอยู่บนฝ่ามือของหลิงม่อ
“ย่อยสลายพลังได้ช้ามากจริงๆ ด้วย จนถึงตอนนี้พลังงานทางจิตที่อยู่ในตัวมันก็ยังอยู่ในสภาวะจำกัด…”
หนวดสัมผัสเส้นหนึ่งค่อยๆ แผ่ออกมาจากดวงแสงแห่งจิตของหลิงม่อ จากนั้นก็แทรกเข้าไปในตัวเจ้าแมงกะพรุน
เนื่องจากกินจนอิ่มเกินไป ดังนั้นเมื่อหนวดสัมผัสเส้นนี้แทรกเข้ามามันจึงเพียงรวมอยู่กับพลังงานทางจิตที่อยู่ข้างใน ไม่ได้ถูกกลืนกินแต่อย่างใด
และที่หลิงม่อทำอย่างนี้ก็ไม่ได้อยากควบคุมมัน เพียงแต่ต้องการเชื่อมต่อกับพลังงานทางจิตของตัวเองเท่านั้น
“ถึงแม้ไม่มีความสามารถในการเก็บความจำ แต่ก็ถือว่าเป็นดวงแสงแห่งจิตที่ถูกสร้างขึ้นโดยคนได้ล่ะนะ…”
หลิงม่อส่งตัวมันขึ้นไปบนเพดาน เขาตั้งสมาธิมั่น แล้วเจ้าแมงกะพรุนก็ปีนขึ้นไปในช่องเพดานนั้น
พอแมงกะพรุนเข้าไป หนวดสัมผัสเส้นนั้นก็หายไปทันที พร้อมกับที่ฝ้าแผ่นนั้นกลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิม
ถึงแม้แผ่นฝ้าจะปิดไม่แน่นเท่าตอนแรก แต่ถ้าหากไม่สังเกตดูดีๆ ก็ไม่มีทางเห็นความผิดปกติ
“เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้ว” หลิงม่อกระโดดกลับมาบนพื้น ขณะเดียวกัน “มุมมองสายตา” อีกคู่หนึ่งก็ได้ถูกสับเปลี่ยนไปยังเจ้าแมงกะพรุน
แต่ความรู้สึกนี้แตกต่างจากตอนที่เขาควบคุมหุ่นซอมบี้ เจ้าแมงกะพรุนไม่มีความสามารถในการมองเห็น แต่ถึงจะมีก็คงใช้ไม่ได้เมื่อต้องไปอยู่ในท่อแบบนั้น
ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ในความมืดมิด มีเพียงดวงแสงแห่งจิตที่อยู่ใกล้บ้างไกลบ้างเหล่านั้นเท่านั้นที่เขามองเห็นได้อย่างชัดเจน
แต่เจ้าแมงกะพรุนเคลื่อนไหวเร็วมาก หลิงม่อรู้สึกราวกับตัวเองเป็นเหมือนวิญญาณ ที่ลอยผ่านดวงแสงแห่งจิตเหล่านั้นไปอย่างรวดเร็ว และบินว่อนไปทั่วทั้งนิพพานสำนักงานใหญ่
“กรร!”
ซอมบี้ตัวหนึ่งกำลังเหวี่ยงแขนไปมา แต่แล้วจู่ๆ มันกลับขาอ่อนล้มตึงลงไปข้างหน้าทันที
เมื่อซอมบี้ตัวนี้ล้มลงไป ด้านหลังของมันก็ปรากฏเงาร่างบอบบางของใครคนหนึ่งซึ่งถือมีดโค้งเอาไว้
“ซอมบี้ที่นี่ยุ่งยากน่ารำคาญจริงๆ! ฆ่าหนึ่งตัวมาหนึ่งฝูง!” สาวมีดโค้งเงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ภายใต้ปีกหมวก เธอหอบหายใจถี่ท่าทางดูไม่สบอารมณ์สุดขีด
ขณะเดียวกัน ชายคนหนึ่งก็กำลังล้มซอมบี้ตัวหนึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล สภาพของเขาถือว่าไม่เลว แต่ก็มีเหงื่อผุดขึ้นมาบางๆ แล้วเช่นกัน
“เราค้นหาที่นี่เกือบจะทั่วแล้ว น่าจะมั่นใจได้ว่าพวกนั้นไม่อยู่แล้วใช่ไหม? เธออย่าลืมล่ะ พวกเรามีเรื่องสำคัญต้องทำนะ” ชายคนนี้พูดขึ้นอย่างเหนื่อยหน่าย
“ชิ พูดเหมือนฉันกำลังทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวอย่างนั้นแหละ นายก็ได้ยินเจ้าเฟิ่งจื่อแห่งฟอลคอนที่ 2 พูดแล้วนี่ หากต้องการเชื่อมสัมพันธ์กับพวกเขา ต้องตามหาคนคนนั้นให้พบก่อน” หญิงสาวพูดอย่างขุ่นเคือง
“โอเค~ เธอพูดถูกแล้ว” ชายหนุ่มสะบัดแขนอย่างจนใจ
“อย่ามาทำหน้าเอือมระอาใส่กันนะ!” หญิงสาวเคือง “ถึงแม้ฟอลคอนจะมีทรัพยากรไม่น้อย แต่ก็มีพอแค่เลี้ยงตัวเองเท่านั้น ฟอลคอนที่ 2 ต่างหากที่คุ้มค่าจะเชื่อมสัมพันธ์ด้วย แต่พวกเขาก็ไม่ได้เชื่อฟังคำสั่งของสำนักงานใหญ่ ที่ฉันทำก็เพื่อส่วนรวมทั้งนั้น! อีกอย่าง…อีกอย่างนี่ก็เป็นทางผ่านไม่ใช่รึไง!”
ชายหนุ่มทำหน้ายอมแพ้ บอกว่า “ทุกเรื่องพอออกมาจากปากเธอก็ฟังดูมีเหตุผลเสมอเลยนะ…ยังไงตอนนี้เราก็ค้นหาในเมืองชุ่ยเหอทั่วแล้ว แต่ไม่พบร่องรอยของพวกเขา ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปนิพพานสำนักงานใหญ่ก่อนเถอะ”
“เหอะ…” หญิงสาวได้ทีขี่แพะไล่กลอกตาขาวใส่อีกฝ่าย จากนั้นก็หันกลับไปมองเขา “ในเมื่อไม่เจอพวกเขา แล้วก็ไม่เจอซอมบี้ความแกร่งสูงสุดที่ว่านั่น…”
เธอขมวดคิ้วเบาๆ จากนั้นก็ยกมือขึ้นลูบคอตัวเอง ทว่าบนลำคอของเธอ กลับไม่ได้สวมอะไรไว้…
สวบๆๆ—
เส้นหนวดของเจ้าแมงกะพรุนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ไม่นาน หลิงม่อก็ตามเจ้าแมงกะพรุนมาจนถึงบริเวณใกล้ๆ อาคาร 3 หลังที่อยู่ด้านหลัง
เขา “มองไม่เห็น” สิ่งของ แต่เขากลับสามารถสัมผัสรู้ได้ถึงดวงแสงแห่งจิตที่อยู่ใกล้ๆ ผ่านพลังสัมผัสรู้อันยอดเยี่ยมของเจ้าแมงกะพรุน
ความจริง การทำอย่างนี้ถือว่ามีความเสี่ยงมาก แต่หลิงม่อเชื่อว่าคงไม่มีใครมานอนจ้องเพดาน นอกเสียจากว่าคนคนนั้นจะว่างมาก
“แปด…เก้า…สิบสาม…มีคนอยู่ตรงทางเดินทั้งหมดสิบสามคน…เมื่อกี้เจ้าคนแซ่หลี่บอกว่าที่นี่ไม่อนุญาตให้สมาชิกธรรมดาเข้า ถ้าอย่างนั้นปกติก็คงไม่มีใครมาเดินเพ่นพ่านแถวนี้สินะ แปลว่า ทั้งหมดนี่คือยามรักษาความปลอดภัย?”
—————————————————————————–