ตอนที่164 หลอกลวงทั้งเพ
ซินซินหันขวับไปสบตากับหนิงเสี่ยวเซียวในทันที หญิงสาวทั้งสองไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องเดินคังฟานไปที่โต๊ะของฉีเล่ยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ทั้งสองคนต่างก็รู้สึกอึดอัดและลำบากใจในเวลาเดียวกัน
ซินซินเดินตรงเข้าไปยืนหน้าโต๊ะอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก เธอเอ่ยปากทักทายฉีเล่ยพร้อมกับรอยยิ้มสุดแสนจะฝืน
“นะ-นาย…นายก็มาทานดินเนอร์ที่นี่ด้วยเหมือนกันเหรอ?”
ฉีเล่ยหันหน้าไปทางต้นเสียงที่เอ่ยดังขึ้นในทันใด แต่เมื่อเห็นว่าเป็นหญิงสาวตัวเล็กผู้ร่ำรวยที่ขู่จะขับรถชนเขาให้ตายมาก่อนหน้า เดินเข้ามาทักทายเสียงอ่อนแบบนี้ เขาก็ได้แต่รู้สึกงุนงงเล็กน้อย แต่ทว่าสีหน้าของเธอยังคงเย็นชาไม่เปลี่ยนไปเลย จึงได้แต่ตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นกัน
“แล้วทำไมผมถึงจะมากินอาหารที่นี่ไม่ได้ครับ? อ่อ..แล้วก็นะ มาทักทายผมแบบนี้…เราสองคนไปสนิทสนมกันตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอครับ?”
“นี่นาย….”
ซินซินโมโหจนจุกอยู่กลางอก เธอแทบอยากจะอาเจียนออกมาให้รู้แล้วรู้รอด หมอนี่กล้ายังไงถึงได้ทำสีหน้าเย็นชาใส่ฉันแบบนี้? เมื่อคิดได้เช่นนั้น เธอก็ปริปากก่นด่าฉีเล่ยกลับไปทันที
“นี่นายคิดว่าตัวเองเป็นใครห๊ะ?! ถึงได้กล้าพูดจาแบบนี้กับฉัน!”
ฉีเล่ยแสยะยิ้มกว้างอย่างมีความสุขที่ได้ปั่นประสาทสาวน้อยหัวร้อนคนนี้อีกครั้ง
“โถ่คุณป้าครับ มาทานอาหารร้านเดียวกันผมก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ แต่จะมาหัวร้อนใส่กันขนาดนี้ มันไม่ดูเสียมารยาทเกินไปหน่อยเหรอครับ?”
คนรวยพวกนี้มักมีนิสัยพาลเกเรกันทุกคนเลยรึไง?
คุณมาทานข้าวที่นี่ได้ แล้วผมทานไม่ได้รึไง?
เมื่อได้ยินฉีเล่ยเรียกตัวเองว่าป้าแบบนั้น ซินซินก็ยิ่งเดือดดาลจัด เธอร้องตะโกนสวนกลับไปทันที
“ป้าบ้านแม่แกน่ะสิ! ใครเป็นป้ากันยะ! แล้วดูสิ หัดกินข้าวให้เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาไม่ได้รึไง? ใส่สูทแต่งตัวซะดีแต่หยิบกระดูกสเต็กมาแทะเป็นหมาไปได้!”
“ก็ผมมีความสุขที่ได้กินแบบนี้นี่ ว่าแต่…คุณจะมาแส่ยุ่งเรื่องคนอื่นทำไม? เอ…แบบนี้เขาเรียกว่าอะไรนะครับ? ‘เ สื อ ก’ รึเปล่าเอ่ย?”
ขณะที่ฉีเล่ยกับซินซินกำลังโต้คารมกันอย่างดุเดือดนั้น อีกมุมหนึ่ง หลี่ถงซีก็ได้ปลายหางตามองไปทางคังฟานที่อยู่ด้านหลังซินซินอีกทีหนึ่ง
คังฟานที่ได้เห็นอีกฝ่ายกำลังจ้องมองมาราวกับคนไม่รู้จักกัน จึงได้คลี่ยิ้มบางให้หญิงสาวเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยทักทายออกไปว่า
“ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลยนะ”
เสียงนุ่มลึกของเขายังคงมีเสน่ห์และไพเราะเกินบรรยายเช่นเดิม ราวกับมีมนต์ขลังที่เอาไว้สำหรับหลอกล่อเหยื่อสาวๆ
ในเวลานั้น หลี่ถงซีกลับตระหนักได้ว่า สภาพจิตใจของเธอในตอนนี้สงบลงกว่าแต่ก่อนมาก และไม่รู้สึกสั่นสะท้านหวาดกลัวแต่อย่างใด
ที่ผ่านมา ฉันเคยคิดเสมอว่า ถ้าวันหนึ่งวันใดที่ต้องเผชิญหน้ากังคังฟานอีกครั้ง ฉันควรจะทำยังไงดี? แต่พอเอาเข้าจริงกลับกลายเป็นว่าฉันไม่ได้รู้สึกอะไรเลย?
“เป็นไงบ้างสบายดีไหมล่ะ?”
“ดีมาก”
“ผมยังจำได้นะ ครั้งแรกที่เราพบกันที่ปักกิ่งก็เป็นภัตตาคารนี้ล่ะ แล้วก็ยังเป็นโต๊ะหมายเลข116ด้วย ผมยังจำได้แม่น”
สุ้มเสียงของคังฟานฟังดูสงบนิ่งอย่างมาก น้ำเสียงเรียบเฉยปราศจากความทุกข์หรือสุขใดๆ ราวกับว่าเขากำลังพูดเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตนเองเลยแม้แต่น้อย และนี่คือกับดักที่บรรดาเสือผู้หญิงชอบใช้ขุดดักรอให้เหยื่อกระโจนเข้ามา
ครั้งที่แล้วฉันประมาทเกินไป ปล่อยให้เหยื่อที่สุดแสนจะสมบูรณ์แบบอย่างเธอหลุดหนีไปได้ แต่ครั้งนี้ฉันจะไม่ยอมทำมันพลาดอีกแน่!
ศึกทะเลาะวิวาทระหว่างฉีเล่ยกับซินซินถูกบังคับให้จบลงอย่างกะทันหัน ครั้งแรกตัวต้นเรื่องอย่างซินซินเองที่เตรียมจะมาหาเรื่องฉีเล่ย โดยมีคังฟานที่เตรียมเป็นผู้ช่วยอยู่เบื้องหลัง แต่ไปๆมาๆกลับกลายเป็นเรื่องระหว่างคังฟานกับหลี่ถงซีเสียเอง
เมื่อเห็นฉีเล่ยหันมาจ้องมองตน คังฟานก็รีบยื่นมือออกไปทักทาย พร้อมกับแนะนำตัวเองทันที
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมคังฟาน”
ฉีเล่ยยังคงใจกว้างยื่นมือออกไปจับทักทายเช่นกัน
“ผมฉีเล่ยครับ”
ยืนยันออกมาชัดเจนขนาดนี้ แท้ที่จริงผู้ชายคนนี้ก็คือคังฟานคนนั้น
หลังจากได้ยินคำพูดของคังฟาน ฉีเล่ยก็เริ่มเข้าใจทุกอย่างได้ในทันใดว่าเพราะเหตุใดหลี่ถงซีจึงได้ชวนเขามาทานอาหารที่นี่ แล้วก็ยังเข้าใจอีกด้วยว่า เหตุใดจึงต้องเป็นโต๊ะหมายเลข 116 ที่แท้มันก็มีเบื้องหน้าเบื้องหลังแบบนี้นี่เอง
โอ้โห…นี่ไม่เกินไปหน่อยเหรอแม่คุณ?
แสดงว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันเป็นแค่ตัวแทนของใครบางคนสินะ?
อืม…เป็นการกระทำที่ค่อนข้างใจร้ายมากเลยนะ
นี่ผมเป็นอะไรสำหรับคุณกันแน่?
หากจะพูดกันตามตรง ฉีเล่ยนั้นไม่ได้และไม่เคยรู้สึกอะไรกับหลี่ถงซีมากเกินไปกว่าเพื่อนเลย เขาอยู่ในเมืองปักกิ่งมานานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว และถ้าหากเขาไม่ได้รักเดียวใจเดียวและสื่อสัตย์ต่อเฉินอวี้หลัว ป่านนี้เขาคงจะขึ้นเตียงไปกับบรรดามวลบุปผาเหล่านี้แล้วล่ะ
และเพราะคิดกับหลี่ถงซีแค่เพื่อนนี่เอง ทำให้ฉีเล่ยยิ่งเสียความรู้สึกเข้าไปใหญ่เมื่อได้รู้ความจริง
คุณลองคิดดูสิว่า คุณคบกับเพื่อนต่างเพศด้วยความสนิทใจ แต่อีกฝ่ายกลับมองคุณเป็นแค่ตัวตายตัวแทนของใครบางคน
คุณจะรู้สึกยังไงบ้างล่ะ?
นี่เธอคงไม่ได้เห็นว่าเขาเป็นเพื่อนด้วยซ้ำไป แล้วเห็นเป็นอะไรดีล่ะ? หรือแค่เครื่องมือ?
ถึงเรื่องแบบนี้จะเป็นสิทธิส่วนบุคคลของแต่ละคน ไม่มีผิดหรือถูกใดๆทั้งสิ้น แต่ทว่าถึงอย่างไร ฉีเล่ยก็ไม่เคยมองใครหรือคิดใช้ใครเป็นเครื่องมือ เพราะเขามักจะคำนึงถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายเสมอยังไงล่ะ
มันไม่สำคัญหรอกว่าฉันจะชอบคุณหรือคุณจะชอบผม แต่ในมุมมองของเพื่อนคนหนึ่ง คุณไม่น่าจะโกหกกันแบบนี้
มือของคังฟานและฉีเล่ยปล่อยออกจากกัน จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับหลี่ถงซีว่า
“เอาล่ะ งั้นผมไม่อยู่รบกวนเวลาของพวกคุณสองคนจะดีกว่าครับ ถ้ามีเวลาว่างผมอยากชวนไปดื่มกาแฟด้วยกันสักครั้ง”
หลี่ถงซีไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้ตอบปฏิเสธใดๆ เพราะทันทีที่คังฟานพูดจบ เขาก็หันหลังเดินจากไปในทันที
หนิงเสี่ยวเซียวจับจ้องที่ฉีเล่ย จากนั้นค่อยเคลื่อนสายตาเลื่อนไปทางหลี่ถงซีซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม จู่ๆเธอก็ฉีกยิ้มกว้างให้ฉีเล่ยพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ยินดีด้วยนะคะ แฟนของคุณสวยมากเลย”
ฉีเล่ยยิ้มและตอบกลับไปว่า
“เธอไม่ใช่แฟนผมครับ”
แต่ถึงอย่างนั้น หนิงเสี่ยวเซียวกลับทำเป็นไม่สนใจคำพูดของฉีเล่ย เธอรีบโบกมือไปมา ก่อนจะเดินตามคังฟานไปทันที ส่วนซินซินนั้นได้ปรายหางตามองหลี่ถงซีเล็กน้อย และทำสีหน้าคล้ายกับกำลังครุ่นคิดอะไรสักอย่าง ก่อนจะรีบวิ่งติดตามคังฟานไปอีกคนเช่นกัน
เมื่อกลุ่มของคังฟานเดินจากไปจนหมดแล้ว ทั้งหลี่ถงซีและฉีเล่ยต่างก็หันกลับมาสนใจอาหารตรงหน้าตัวเองอีกครั้ง
บรรยากาศทุกอย่างเงียบสงัดราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ตอนพวกเราสองคนพบกันที่อเมริกาครั้งแรก เรายังไม่ได้สนิทสนมกันขนาดนั้น แต่พวกเราบังเอิญพบกันอีกครั้งที่สนามบินตอนบินกลับมาเยี่ยมญาติที่จีน แล้วสถานที่แรกที่เรานัดกินข้าวกันคือที่ร้านนี้ แล้วบังเอิญได้โต๊ะหมายเลข 116พอดี ทั้งหมดก็มีแค่นั้นอง…”
หลี่ถงซีเงยหน้าขึ้นพูดกับฉีเล่ยที่เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาแทะสเต็กติดกระดูกต่อไป โดยไม่รู้เลยว่าเขาตั้งใจฟังที่เธอพูดอยู่รึเปล่า
หลังจากแทะไปได้สองสามคำ เขาก็วางกระดูกชิ้นนั้นลง ก่อนจะหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปากพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“อืม…จะว่าไปหน้าผมก็ไม่ได้เหมือนผู้ชายคนนั้นนะครับ ถ้าจะเอาผมเป็นเงาของใครบางคนก็ควรบอกกันตั้งแต่แรก ผมจะได้ไม่เสียแรงมายุ่งวุ่นวายกับชีวิตคุณ”
ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าการแสดงออกของฉีเล่ยนั้น ยังคงสุภาพและสงบนิ่งเหมือนก่อนหน้า
แต่หลี่ถงซีที่ได้ยินแบบนั้น ก็ถึงกับใจหายวาบ นั่นเพราะเธอสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน สายตาของฉีเล่ยที่จับจ้องมองมาทางเธอนั้น มันว่างเปล่าราวกับกำลังมอง…คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
สายตาคู่นั้นของฉีเล่ยเปรียบเสมือนมีดประหาร ที่ตัดสะบั้นความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองลงเสียงดังฉับ!
เหตุผลที่หลี่ถงซีสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนนั้นเป็นเพราะว่า ในอดีตเธอมักจะทำกิริยาอันสุดแสนจะเย็นชาประดุจคนแปลกหน้านี้กับบรรดาผู้ชายที่เข้ามาจีบ
แต่เวลานี้ ชายหนุ่มที่กำลังนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม กลับมองเธอด้วยสายตาและกริยาเช่นนั้นเหมือนกัน
“ฉีเล่ย อย่าเข้าใจฉันผิดนะ ฉันไม่ได้เห็นนาย… ฉัน…ฉันแค่…”
“ยังไม่เลิกเสแสร้งอีกเหรอครับ?”
ฉีเล่ยพูดขัดจังหวะด้วยคำพูดคมกริบบาดใจ หลังจากจัดการเช็ดไม้เช็ดมือเรียบร้อยแล้ว เขาก็ได้พูดต่อว่า
“โอ้ ลืมไปเลย! ผมเป็นแค่เงาของคนอื่นนี่เนอะ คงไม่มีสิทธิ์พูดอะไรอยู่แล้ว เชิญพูดต่อเลยครับ ผมจะทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดีให้เอง”
น้ำเสียงของหลี่ถงซีที่ร้องบอกฉีเล่ยเวลานี้ เพียงแค่ฟังก็รู้ได้ทันทีว่าเธอกำลังวิตกกังวลมากขนาดไหน
“ฉีเล่ย นายกำลังเข้าใจฉันผิดนะ! ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น! ฉันเห็นนายเป็นเพื่อนสนิทของฉันคนหนี่งจริงๆนะ!”
แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมเธอถึงต้องรู้สึกกระวนกระวายใจจนต้องรีบเร่งอธิบายให้ฉีเล่ยฟังขนาดนี้ด้วย?
แต่สัญชาตญาณของเธอมันบอกว่า ยังไงก็ต้องอธิบายให้ผู้ชายตรงหน้าเข้าใจให้ได้
ตอนนี้เธอรู้สึก…มีอะไรบางอย่างขาดหายไปจากหัวใจ
ฉีเล่ยเช็ดมือเช็ดปากเสร็จสรรพก็ยิ้มกล่าวขึ้นว่า
“เพื่อนเหรอครับ? ผมคงเป็นเพื่อนคุณไม่ได้หรอกครับ พอดีไม่ค่อยถูกกับอาหารฝรั่งเท่าไหร่ มันไม่ค่อยอยู่ท้องเลยครับพูดตรงๆ ผมว่าจะออกไปหาอะไรกินต่อข้างนอกดีกว่า บะหมี่สักถ้วยน่าจะดีไม่น้อย”
หลังจากพูดจบ เขาก็ลุกขึ้นยืนทันทีและกล่าวทิ้งท้ายเพียงแค่ว่า
“โอ้! ยังไงก็ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์เลี้ยงอาหาร ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ”