ตอนที่165 ความผิดพลาดครั้งมหันต์

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ตอนที่165 ความผิดพลาดครั้งมหันต์

ฉีเล่ยลุกเดินจากไป เขาเปิดประตูร้านอาหารเดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะลังเลหรือหันมองกลับมาเลยแม้แต่น้อย

ดวงตาคู่สวยของหลี่ถงซีจับจ้องอยู่ที่แผ่นหลังของฉีเล่ยราวกับโหยหา เธอได้แต่นั่งอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น แม้อยากจะร้องเรียกออกไปเพียงใด แต่กลับไร้สิ้นเรี่ยวแรง

ภายใต้แสงเทียนสลัว ร่างของฉีเล่ยได้หายวับจากไปโดยไม่มีย้อนกลับ รอบดวงตาเห่อร้อนขึ้นมาทันใด และท้ายที่สุดน้ำตาก็ได้ไหลรินออกมาอย่างไม่อาจสะกดกั้นไว้ได้อีก

นับตั้งแต่ที่หลี่ถงซีพบเจอกับความผิดหวังในความรักครั้งล่าสุด เธอก็ปิดประตูหัวใจลงไม่ต้อนรับผู้ชายหน้าไหนอีกเลย แต่เริ่มเดินที ตัวหลี่ถงซีคิดว่า ทั้งชีวิตต่อจากนี้คงไม่วันได้พบพานกับรักแท้อีกต่อไปแล้วจริงๆ แต่ใครจะไปคิดว่า โชคชะตากลับเล่นตลก ทำให้เธอพบเจอกับรักแท้อีกครั้ง แต่ทว่าก็หลุดมือไปอย่างง่ายดาย

เธอรินไวน์ให้กับตัวเองจนเต็มแก้ว ก่อนจะยกขึ้นดื่มพร้อมน้ำตา

จากนั้นก็ได้รินเทให้ตัวเองอีกแก้ว และยกขึ้นกระดกจนหมดหยดสุดท้ายอีกครั้ง

Penfolds 707 เป็นไวน์แดงที่เธอชื่นชอบอย่างมากตั้งแต่สมัยเรียนที่ยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย เพราะรสชาติของมันทั้งกลมกล่อมและหวานนุ่ม

ทว่าวันนี้ รสชาติของมันกลับขมขื่นเกินบรรยาย

จนกระทั่งไวน์แดงหมดไปแล้วถึงสองขวด หลี่ถงซีก็ถึงกับเมาแอ๋เป็นที่เรียบร้อย เธอทั้งสับสบและปวดหัวในเวลาเดียวกัน คู่คิ้วสวยขมวดแน่นติดกันเป็นปม ปากก็รำพึงรำพันกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า

“ไม่ใช่แบบนี้…ไม่ใช่แบบนี้สิ… มันจะเป็นอย่างที่นายคิดได้ยังไง? ฉันตัดสินใจตัดขาดมาแล้วหลายปี แล้วฉันจะเดินย้อนกลับไปอีกทำไม…”

“คนที่แต่ก่อนไม่เคยลืม ตอนนี้ฉันลืมไปหมดแล้วจริงๆ ตอนนี้ฉันไม่ได้รู้สึกรักหรือเกลียดเขาเลย ฉันเผชิญหน้าจัดการกับอารมณ์ตัวเองได้ดีมากแล้วนะ แล้วทำไมนายยังทิ้งฉัน…นายเห็นฉันเป็นคนแปลกหน้าไปแล้วเหรอ?”

“ฉันมั่นใจนะ มั่นใจมากแล้วว่า อาการป่วยของตัวเองหายแล้ว ถึงแม้จะไม่อยากคุยกับผู้ชายคนอื่นก็จริง แต่สำหรับนายมันไม่ใช่เลย ฉันอยากคุยกับนาย อยากฟังเสียงนายให้มากกว่านี้ ตอนที่ฉันทนทุกข์ทรมานก็มีนายนี่แหละที่คอยช่วยฉัน นายเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดในชีวิตของฉันเลยเลยนะ เพราะงั้น…เพราะงั้น…”

“ฉีเล่ย ฉันควรทำยังไงดี? ฉันรักนาย ได้ยินไหม ฉันรักนาย! ฮืออ…แต่ฉันจะบอกนายได้ยังไงล่ะ…”

…..

คังฟานและคนอื่นๆต่างนั่งทำมุม45องศา อยู่บริเวณโต๊ะแถวหลังถัดออกไปจากโต๊ะที่หลี่ถงซีนั่งดื่มอยู่ ดังนั้นจึงไม่มีใครเห็นสีหน้าการแสดงออกของเธอเวลานี้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ เธอเอาแต่นั่งกระดกไวน์เข้าปากแก้วแล้วแก้วเล่า

มิหนำซ้ำยังรินให้ตัวเองอย่างบ้าคลั่งด้วย..

ทุกคนบนโต๊ะถึงกับจับจ้องมองเธอด้วยสีหน้าว่างเปล่า พูดไม่ออกบอกไม่ถูกเลยเช่นกัน

หลู่หยานขยับแว่นตัวเองเล็กน้อยและเอ่ยถามขึ้นว่า

“นี่แกไม่คิดจะไปดูหน่อยเหรอ?”

ทันทีที่พูดจบเขาก็ถึงกับขมวดคิ้วเมื่อหันไปมองคังฟาน

คังฟานในตอนนี้กำลังนั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่แผ่นหลัง และเรือนร่างโค้งเว้าที่เย้ายวนของหลี่ถงซีในยามเมามาย พร้อมกับคลี่ยิ้มกว้างออกมาคล้ายมีความสุขมากมาย

เพียงแค่สีหน้าท่าทางของเขาในขณะนี้ ก็สามารถทำให้บรรดาสาวสวยหลงมนต์เสน่ห์ได้ไม่ยาก ผนวกกับวุฒิภาวะที่ดูเป็นผู้ใหญ่นั้น นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้หญิงทั่วไปจะสามารถหักห้ามใจไว้ได้เลยจริงๆ

“ไม่จำเป็น”

ในฐานะเสือผู้หญิงที่มีประสบการณ์มานับไม่ถ้วนแล้ว เขารู้ดีว่าเป็นการดีกว่าที่จะไม่เผยตัวออกโจ่งแจ้งในเวลานี้

บางครั้งบางครา ผู้หญิงเองก็มีศักดิ์ศรีบางอย่างที่ไม่อาจให้ใครลุกล้ำเส้นได้เหมือนที่ผู้ชายมี

ในเวลาที่เธอกำลังดื่มหนักแบบนี้แสดงว่า อีกฝ่ายกำลังเครียดและต้องการเวลาอยู่กับตัวเอง และวิธีการรับมือที่ดีที่สุดก็คือการปล่อยให้เธอได้อยู่ตามลำพัง ขืนกระโตกกระตากวิ่งไปหาในตอนนี้ ดีไม่ดีชื่อของคุณอาจถูกบันทึกลงในบัญชีดำของอีกฝ่ายก็เป็นได้

แต่สิ่งที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่ในตอนนี้ก็คือ ผู้ชายคนนั้นเป็นใครกัน? และมีความสัมพันธ์ยังไงกับหลี่ถงซีกันแน่?

แล้วทำไมจู่ๆถึงได้เดินจากออกไปทั้งแบบนั้น หรือเป็นไปได้ไหมว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับการปรากฏตัวของเขา

คังฟานไม่รู้ว่าหลี่ถงซีเคยเล่าเรื่องของเขาให้ฉีเล่ยฟังหรือไม่ แต่ดูจากผลลัพธ์ในขณะนี้ ดูท่าอีกฝ่ายน่าจะทราบตัวตนของเขาเช่นกัน

แต่ถึงแบบนั้น เพียงแค่การปรากฏตัวของเขาในฐานแฟนเก่าครั้งเดียว ก็ถึงกับสามารถทำให้อีกฝ่ายหนีกลับไปเลยอย่างนั้นเหรอ?

ส่วนคำถามอีกหนึ่งข้อที่สำคัญไม่แพ้กันเลยก็คือ ที่หลี่ถงซีกำลังโศกเศร้าเสียใจอยู่ในตอนนี้ เป็นเพราะการจากไปของผู้ชายที่ชื่อฉีเล่ย หรือเป็นเพราะการปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งของเขากันแน่?

แต่มีแนวโน้มสูงมากว่า…น่าจะเป็นเพราะอย่างหลัง

คังฟานนั่งไขว้ห้าง สองมือสอดผสานวางไว้บนตักพลางฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์

เวลานี้ เขารู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองยิ่งกว่าอะไร

การสามารถเปลี่ยนผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังมีความสุขให้กลายมาเป็นโศกเศร้าเสียใจ และรู้สึกโหยหาตนเองได้มาก จนถึงขั้นที่ผู้ชายคนใหม่ต้องยอมรามือและเดินจากไป นี่ล่ะคือความภาคภูมิใจอย่างแท้จริง

มันคือศักดิ์ศรีของผู้ชายอย่างเขา

เหวินเจียนเหลือบมองหลี่ถงซีเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยถามออกไปว่า

“เธอเป็นเพื่อนแกเหรอ?”

ด้วยบุคลิกนิสัยของเหวินเจียน เขาไม่เคยมาสนใจเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว แต่เขาทราบดีว่า ในขณะนี้น้องสาวของตนกำลังวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก และก็เป็นซินซินที่ขยิบตาส่งสัญญาณให้เขาตั้งหลายรอบแล้วตั้งแต่เมื่อกี้ เป็นเพราะเธอไม่กล้าที่จะเอ่ยปากถามด้วยตัวเอง จึงได้ส่งสัญญาณให้คนเป็นพี่ชายออกหน้าถามแทนให้

คังฟานพยักหน้าพร้อมตอบกลับไปว่า

“ก็แค่เพื่อนเก่า”

จากนั้นเขาก็หันไปมองซินซินและบอกกับหญิงสาวไปว่า

“ซินซิน วันหลังถ้าอยากรู้อะไรก็ถามผมเองได้เลย ไม่จำเป็นต้องฝากพี่ชายให้มาถามแทนแบบนี้ก็ได้”

แก้มสีขาวนวลทั้งสองข้างของซินซินแดงกล่ำขึ้นทันใด เธอไม่คิดไม่ฝันเลยว่า แค่แอบขยิบตาส่งสัญญาณให้พี่ชายตัวเองแบบนี้จะถูกอีกฝ่ายสังเกตเห็นได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อถูกจับได้แบบนี้แล้ว เธอก็ได้แต่กระซิบตอบเสียงเบาด้วยสีหน้าท่าทางเขินอาย

“แต่หนูอาย…”

“ต้องอายอะไรกันอีกล่ะ? ถ้าจำไม่ผิด เธอเป็นคนตรงไปตรงมานี่น่า อีกอย่างเราก็คนกันเองไม่เห็นมีอะไรจะต้องเขินอายกันเลยนี่นา”

หลังจากเอ่ยตอบออกไปแบบนั้น คังฟานก็ยกมือขึ้นมาลูบศีรษะของซินซินอย่างอบอุ่น

ตั้งแต่ตอนเด็กๆแล้ว เขาก็ชอบมาทำดีแบบนี้กับฉัน ก็เลยทำให้พวกเราสนิทสนมกันมาก

แล้วแบบนี้จะไม่ให้ฉันชอบเขาได้ยังไงล่ะ?

“แต่จะว่าไป นี่เธอไปรู้จักกับผู้ชายคนนั้นได้ยังไง?”

“ใครเหรอคะ?”

“ผู้ชายที่ใส่ชุดสูทน้ำเงินคนนั้นไงล่ะ”

“หมอนั่นอ่ะนะ?”

เมื่อนึกถึงสีหน้าท่าทาง และสายตาที่หยิ่งผยองอวดดีของฉีเล่ย ซินซินก็เริ่มโกรธขึ้นมาทันที

“วันนี้ตอนที่ขับผ่านหน้าร้านนี้น่ะสิ ทีแรกก็ขับมาดีๆกำลังร้องเพลงกับเสี่ยวเซียวกันสนุกเลย แต่จู่ๆหมอนี่ก็มายืนขวางทางทำหน้าโง่ใส่ หนูก็เลยบีบแตรใส่เบาๆ แค่อยากจะให้หมอนั่นรู้ตัวแล้วหลบทางให้ก็เท่านั้นเอง แต่จู่ๆมันก็บ้าขึ้นมา กระโดดมายืนขวางทางไว้ มิหนำซ้ำยังท้าให้ขับชนมันอีก หนูก็เลยลงไปทะเลาะกับมันอยู่สักพัก”

หนิงเสี่ยวเซียวหันไปตำหนิเพื่อนสาวของเธอทันทีว่า

“แน่ใจเหรอแม่คุณ? ไม่ใช่ว่าเธอเหยียบมาเร็วจนเกือบชนเขาเข้าเหรอ? แถมยังกระหน่ำบีบแตรใส่เขาไม่หยุด เธอนี่นะยังจะกล้าโกหกต่อหน้าฉันอีก”

ซินซินที่ได้ยินแบบนั้นก็เลยพูดประชดประชันกลับไปว่า

“แหม…เสี่ยวเซียว พอเห็นคนหล่อก็ช่วยแก้ต่างให้ใหญ่เลยนะ เธอเองก็เหมือนกัน ตอนแรกบอกจะอาสาลงไปจัดการให้เอง แต่ไปๆมาๆกลับชวนหมอนั่นไปทานข้าวด้วยเฉยเลย?”

เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนั้นของซินซิน สีหน้าขอหลู่หยานพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันที เขาหันขวับจับจ้องไปที่หนิงเสี่ยวเซียวด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

เขาเฝ้าตามจีบหญิงสาวคนนี้มานานหลายปีแล้ว แต่กลับไม่เคยสมหวังเลยสักครั้ง

“ที่ไหนกันล่ะ? ฉันก็แค่พูดไปตามมารยาท อีกอย่างนะ เขาก็มีแฟนแล้วแถมยังสวยมากอีกด้วย”

หลังจากจ้องมองแววตาของหนิงเสี่ยวเซียวอยู่นาน ในที่สุดซินซินก็ยิ้มออกมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“แย่แล้วๆ เสี่ยวเซียวสาวน้อยผู้น่าสงสาร นี่เธอกำลังหลงเสน่ห์ของหมอนั่นซะแล้วสิ”

หนิงเสี่ยวเซียวหัวเสียไม่น้อยเมื่อได้ยินเพื่อนสาวพูดออกมาแบบนั้น เธอรีบตอบโต้กลับไปทันที

“ไร้สาระน่า! ฉันไม่ได้ชอบเขาสักหน่อย!”

เมื่อเห็นว่าน้องสาวตัวเองเริ่มพูดจาเลอะเทอะไปกันใหญ่ เหวินเจียนจึงได้พูดขัดขึ้นมาว่า

“ซินซิน พอได้แล้วน่า”

“พอก็ได้! เสี่ยวเซียว เธออยากกินอะไรล่ะ? สั่งมาได้เลย ถ้าไม่หมดเดี๋ยวฉันช่วยเอง”

สองสาวหยิบเมนูขึ้นมาเลือกจิ้มอาหารที่อยากกินอย่างสนุกสนาน อีกด้านหนึ่งเป็นหลู่หยานที่กำลังนั่งครุ่นคิดอยู่เพียงลำพัง

เขาไม่ได้คิดเรื่องเกี่ยวกับหนิงเสี่ยวเซียว แต่กำลังคิดว่าคังฟานกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ในขณะนี้

คังฟานเพิ่งเอ่ยถามซินซินไปว่า เธอไปเจอกับผู้ชายคนนี้ได้ยังไง?

ในฐานะที่เขากับคังฟานเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่ยังเด็ก หลู่หยานจึงรู้จักคังฟางดีว่าเขาเป็นคนแบบไหน มีนิสัยยังไง? เมื่อใดก็ตามที่เพื่อนของเขาคนนี้เอ่ยปากถามเรื่องของใครสักคนขึ้นมาเช่นนี้ นั่นเป็นสิ่งยืนยันได้ดีที่สุดว่า เขากำลังสนใจอีกฝ่ายอยู่ หรือไม่ก็เป็นเพราะอีกฝ่ายอาจจะเป็นอันตรายกับตัวเขาอยู่ เขาจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

หลังจากมาคิดๆดูแล้ว หลู่หยานจึงได้เอ่ยถามออกไปว่า

“คังฟาน ลองตรวจสอบรายละเอียดของหมอนั่นดูหน่อยไหม?”

“ไม่ ไม่จำเป็นหรอก”

ในสายตาของคังฟาน การแสดงออกของฉีเล่ยเมื่อครู่ที่จู่ๆก็ลุกหนีออกไปแบบนั้น ย่อมเป็นเครื่องชี้วัดได้เป็นอย่างดีว่า อีกฝ่ายก็แค่ผู้ชายขี้ขลาดคนหนึ่งเท่านั้น

และผู้ชายแบบนี้ก็ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นคู่แข่งของเขาได้เลย

แต่คังฟานกลับหารู้ไม่ว่า…การที่เขาปล่อยฉีเล่ยไปแบบนี้ นับเป็นความผิดพลาดครั้งมหันต์ของตัวเขาทีเดียว!