ตอนที่166 แผนไม้อ่อน
เนื่องจากเวลานี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ในเมืองหลวงอย่างปักกิ่งจึงมีอากาศที่ค่อนข้างเย็น แต่ทว่าฉีเล่ยกลับไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิด
เขาเกิดมาพร้อมกับเส้นลมปราณตะวันฟ้า ดังนั้นเขาจึงเป็นคนที่ชอบความหนาวเย็นอย่างมาก เรียกได้ว่ายิ่งหนาวเท่าไหร่ก็ยิ่งสบายสำหรับเขา
ฉีเล่ยเดินเตร็ดเตร่ไปตามท้องถนนอยู่หนึ่งหนึ่ง พร้อมกับกวาดสายตาหาร้านบะหมี่ที่ดูน่ากินสักร้าน ในขณะเดียวกันเขาก็ครุ่นคิดกับตัวเองไปด้วยว่า
ทำไมถึงจะต้องโมโหด้วยอย่างงั้นเหรอ?
เพียงแค่เหมือนถูกหลอก?
ความจริงแล้ว ถ้าเธออยากจะให้ฉันช่วยแสดงละครเป็นแฟนใหม่เพื่อให้แฟนเก่าเจ็บใจเล่น อย่างน้อยก็ควรบอกฉันล่วงหน้า? ฉันจะได้ช่วยเหลืออย่างเต็มที่
แต่ในทางตรงกันข้าม การที่เธอไม่ได้บอกกล่าวอะไรฉันล่วงหน้าแบบนี้ ปล่อยให้ฉันมารู้ความจริงด้วยตัวเองทีหลัง ใครบ้างที่จะไม่รู้สึกโมโห?
อืม…แต่ว่าเธอทำแบบนี้เพราะอะไรกันนะ?
ทันใดนั้นเขาพลันเดาะลิ้นหนึ่งครั้งดังลั่น ในที่สุดฉีเล่ยก็เข้าใจได้ในทันที
อาจจะเป็นเพราะโรคกลัวผู้ชายของเธอยังไม่หายขาด นี่แสดงให้เห็นว่า บาดแผลภายในใจของเธอก็ยังไม่สลายหายไปด้วยเหมือนกัน เธอยังคงยึดติดกับความรู้สึกที่เคยถูกคนรักหักหลัง จนก่อให้เกิดเป็นความแค้น จึงต้องการแก้แค้นโดยใช้ตัวเขาเป็นเครื่องมืองั้นหรือ?
แต่ถ้าเป็นในแบบนั้นจริง นี่ย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ว่ากระบวนการรักษาที่ผ่านมาของเขาไม่ได้ผล?
แต่หลังจากที่ครุ่นคิดไปได้สักพัก ฉีเล่ยก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา
หากเป็นในกรณีที่มีปัญหาตรงกระบวนการรักษา มันน่าจะยิ่งกระตุ้นทำให้อาการของโรคตอบสนองรุนแรงขึ้นไม่ใช่เหรอ? และเขาคงไม่มีทางเข้าใกล้หลี่ถงซีได้มากแบบที่แล้วๆมาอย่างแน่นอน
และฉีเล่ยยังจดจำคำพูดของคังฟานเมื่อครู่ได้อย่างชัดเจน
“นัดเจอกันครั้งแรกในปักกิ่งก็ที่ร้านอาหารแห่งนี้ แล้วก็เป็นโต๊ะหมายเลข116”
ความรู้สึกแรกที่ได้ยินคือ ฉีเล่ยรู้สึกราวกับว่าถูกหลี่ถงซีหักหลัง
แต่…หักหลังเรื่องอะไรกันล่ะ?
ถ้านี่เป็นเพราะตัวโรคของหลี่ถงซี เขาก็ไม่ควรโมโหไม่ใช่เหรอ?
ยิ่งฉีเล่ยคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก แม้จะพยายามนึกถึงสาเหตุเท่าไหร่ แต่เขาก็ไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่า ทำไมตอนนั้นเขาถึงควบคุมอารมณ์ไม่ได้เลย
หรือว่าแต่เริ่มเดิมที ภายในจิตใต้สำนึกลึกๆของฉีเล่ยอาจมองว่า ดินเนอร์ในคืนนี้คือการมาออกเดทของเขาและเธอ
ยิ่งได้เห็นหลี่ถงซีสั่งไวน์แดงมาเพิ่ม ฉีเล่ยก็ยิ่งคิดไปไกลว่า อาจมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างเกิดขึ้นต่อในค่ำคืนนี้
ใช่แล้ว ทั้งหมดเป็นความไร้ยางอายของตัวเขาเอง แต่ในฐานะผู้ชายคนหนึ่งที่อดทนอดกลั้นมานานแล้ว เขานับว่าเป็นสามีที่ปฏิบัติตัวได้ดีมากแล้ว ที่ไม่เคยตัวทำนอกลู่นอกทางและทำเรื่องที่ถือว่าเป็นการนอกใจภรรยาเลย
ทว่าในทางกลับกัน หากไม่นับเรื่องที่เจอกับชูซินซูบนเครื่องบิน หลี่ถงซีถือว่าเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขาพบเจอในเมืองหลวง และความรู้สึกแรกพบนั้นมันอาจจะเกินเพื่อนไปตั้งแต่แรกแล้วก็ได้ และฉีเล่ยเองก็มีความรู้สึกดีๆให้กับเธอ เพียงแต่ว่าตลอดมาเขาอาจไม่เคยรู้ตัวมาก่อนเท่านั้น
ขณะที่กำลังว้าวุ่นอยู่กับความคิดภายในหัวของตนเองนั้น เขาก็ตัดสินใจเดินเข้าไปในร้านบะหมี่แห่งหนึ่ง แต่ขณะที่กำลังหาเก้าอี้นั่งนั้น จู่ๆเสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น
เมื่อหยิบออกมาดูก็พบว่าหมายเลขที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอก็คือหลินชูวโม่ ทันทีที่ฉีเล่ยเห็นแบบนั้น เขาก็แทบอยากจะกดตัดสายทิ้งทันที
วันนี้เขาไม่มีอารมณ์จะมาพูดจาหยอกเย้าเล่นหัวกับผู้หญิงคนนี้
แต่จนกระทั้งสั่งบะหมี่เสร็จ เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ยังคงดังไม่หยุดเสียที และดูเหมือนว่า ท้ายที่สุดยุทธการโทรตื๊อโทรจิกของผู้หญิงคนนี้ก็ได้ผล ฉีเล่ยจำต้องหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอีกครั้งและกดรับสายทันที
“มีอะไร?”
“ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ ก็แค่อยากได้ยินเสียงของนายเฉยๆ จะทำยังไงได้ล่ะก็ฉันคิดถึงนายนี่นา”
เสียงจากปลายสายฟังดูหวานฉ่ำเย้ายวนมีเสน่ห์มากเหลือเกิน ราวกับแมวสาวที่กำลังร้อนรัก
“มีธุระอะไรก็รีบๆพูดมา ไม่งั้นผมจะวางสายแล้วนะ”
“เดี๋ยวก่อน! เดี๋ยวก่อนสิ! นายนี่มันเย็นชาตลอดเลยนะ! ที่ฉันโทรจิกแบบนี้แน่นอนว่าต้องมีธุระอยากจะพูดด้วยอยู่แล้ว ว่าแต่ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน?”
“อยู่บ้าน”
ฉีเล่ยลังเลไปเสี้ยวจังหวะก่อนจะเอ่ยตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเรียบเฉย
“อยู่บ้านงั้นเหรอ?”
หลินชูวโม่ถึงกับผงะเล็กน้อยและยิ้มตอบกลับไปทันที
“ถ้างั้นบ้านนายก็คงจะใหญ่โตมากเลยสิใช่ไหม?”
“ก็ใหญ่อยู่”
ฉีเล่ยที่ได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับสับสนเล็กน้อย แต่ก็ยังตอบตามน้ำไป
“โอ้โห มันใหญ่ซะจนฉันขับรถผ่านมาเจอนายเข้าพอดีสินะ? ไม่ทราบว่าที่บ้านเปิดร้านบะหมี่ด้วยเหรอจ๊ะ?”
“….”
ฉีเล่ยลืมไปสนิทเลยว่า ร้านบะหมี่ที่ตัวเองนั่งทานอยู่ริมถนน และเมื่อหันไปทางถนนฝั่งตรงข้ามก็ดันเห็นรถสปอร์ตคุ้นตาจอดเทียบข้างอยู่พอดี จากนั้นหญิงสาวคุ้นหน้าคุ้นตาคหนึ่งก็เปิดกระจกข้างลง และจ้องมองมาทางเขาพอดี
สุ้มเสียงอันทรงเสน่ห์ของหลินชูวโม่ดังขึ้นจากปลายสายอีกครั้ง
“นายรู้ไหมว่า พี่สาวคนนี้เกลียดอะไรมากที่สุด?”
“ไม่รู้ครับ”
“การหลอกลวง”
“โอ้? บังเอิญจัง ผมเองก็โคตรเกลียดเลย”
“แล้วรู้ไหมว่า เพื่อที่จะกำจัดคนหลอกลวงพวกนั้น พี่สาวคนนี้มักจะเตรียมแผนการไว้นับสิบเลยล่ะ แต่สำหรับสุดหล่อของฉันแล้ว คงตัดสินใจจะใช้วิธีเบาๆก่อน นายเชื่อไหมว่า มันใช้ได้ผลดีเยี่ยมเลยล่ะ?”
“ก็ลองว่ามาสิครับ? เดี๋ยวผมจะประเมินให้เองว่ามันได้ผลหรือไม่ได้ผล”
“แน่นอนว่าต้องได้ผลอยู่แล้ว ยังจะต้องไปครุ่นคิดให้เสียเวลาทำไม? แผนการก็ง่ายมาก ถ้าฉันจำไม่ผิด ช่วงนี้ในมหาวิทยาลัยกำลังมีเรื่องอื้อฉาวระหว่างนายกับหลี่ถงซีอยู่พอดีใช่ไหมล่ะ? ถ้าอย่างงั้น…ฉันก็จะปล่อยภาพจากกล้องวงจรปิดในคลินิก แล้วก็ปล่อยข่าวว่านายมักจะแอบมาหาฉันอยู่บ่อยๆ แล้วพรุ่งนี้ฉันก็จะลาสอนหนึ่งวัน แล้วถ้าวันถัดมาเพื่อนร่วมงานถาม ฉันก็จะบอกเป็นนัยๆว่า พักนี้ไม่ค่อยสบายเนื้อสบายตัวเท่าไหร่ ได้กลิ่นอะไรก็อยากอาเจียนไปหมดเลย แถมยังอยากกินของเปรี้ยวๆอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าใครที่ได้ยินต่างก็ต้องคิดว่าฉันท้องกันทั้งนั้นจริงไหม?”
“หุหุ…”
หลินชูวโม่อดยิ้มไม่ได้และรีบสาธยายต่อทันที
“พอเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ฉันก็จะลาหยุดไปสักอาทิตย์ก่อนที่จะกลับมาสอนอีกครั้ง และหลังจากวันนั้นฉันก็จะมายืนรอนายทุกวันหลังเลิกงาน ถ้านายหิวฉันจะทำข้าวกล่องไปให้ ถ้านายหนาวฉันจะไปหาเสื้อผ้าอุ่นๆให้ใส่ หรือถ้านายทั้งหิวทั้งหนาว พวกเราก็จะไปออกเดทกันตามห้างแถวมหาวิทยาลัย ถ้าทุกคนได้เห็นภาพอะไรแบบนี้เข้า คงต้องคิดกันไปว่านายคือพ่อของเด็กในท้องฉัน ว่ายังไงล่ะ? คิดว่าแผนนี้จะใช้ได้ผลไหมจ๊ะคุณพ่อ?”
ถ้อยคำที่หลุดจากปากอสรพิษล้วนอันตรายเสมอ และหลินชูวโม่ก็เป็นผู้หญิงประเภทที่ควรต้องระมัดระวังตัวที่สุดคนหนึ่ง!
ฉีเล่ยรู้ดีว่า คนอย่างหลินชูวโม่นั้น เธอกล้าที่จะทำอย่างที่พูดแน่ๆ เพื่อเป้าหมายตรงหน้าแล้ว เธอยอมสละทุกอย่างแม้กระทั่งศักดิ์ศรี ลองคิดดูสิว่า หากฉีเล่ยกล้ามีเรื่องกับเธอเข้า ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นยังไง?
ดังนั้นแล้ว หากเลือกได้ ฉีเล่ยก็ขอเลือกที่จะไม่เป็นศัตรูกับอสรพิษแบบนี้จะดีกว่า
“ผมกินบะหมี่เสร็จพอดี กำลังจะกลับ คุณอยากจะไปเดินเที่ยวที่ไหนรึเปล่าล่ะ?”
“ห่ะ? นายว่ายังไงนะ?”
“ก็ตามนั้น”
“นี่ฉันหูแว่วไปรึเปล่าเนี่ย? งั้นกินบะหมี่เสร็จเจอกันที่ช็อบชาแนล นายหันหน้าไปทางซ้าย30องศาจะเจอร้านเลย!”
หลินชูวโม่ตะโกนผ่านโทรศัพท์เสียงดังด้วยความตื่นเต้นดีใจ
เธอไม่ได้หูแว่วไปใช่ไหม? นี่ฉีเล่ยชวนเธอไปเดินเล่นด้วยจริงๆ
ก็อย่างว่านะ ฉันยังไม่อยากพบเจอกับเหตุการณ์ที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตนี่
เมื่อก้าวเดิมข้ามฟากฝั่งถนนไป ฉีเล่ยก็เห็นหลินชูวโม่ที่กำลังนั่งเลือกรองเท้าอยู่ในช็อปชาแนล กำลังกวักมือเรียกเขาเข้าไป
เอาล่ะ! เบื้องหน้าคือสมรภูมิรบ!
ฉีเล่ยวิตกกังวลอย่างมากจนแทบระดมพลังปราณห้าธาตุในกายให้ตื่นขึ้น
ดิน น้ำ ลม ไฟ ไม้และทอง โปรดช่วยลูกช้างด้วย
ในสายตาของฉีเล่ย ผู้หญิงคนนี้คงจะเป็นศัตรูคู่อาฆาตของเขามาตั้งแต่ชาติปางก่อนแน่ เพราะเขาเกือบจะถูกเธอเขมือบทั้งเป็นทุกครั้งที่พบเจอกัน
ราวหนึ่งนาทีต่อมา ฉีเล่ยก็เดินเข้าไปในช็อปยืนอยู่ข้างๆหลินชูวโม่ ดูเธอลองไซส์ลองเท้าสีขาวก่อนจะเปลี่ยนไปลองส้นสูงสีดำแทน ในขณะเดียวกันก็เงยหน้าขึ้นพูดกับเขาไปด้วยว่า
“นี่นายไม่ได้หลอกฉันจริงๆด้วย ฉันคิดว่านายจะแอบหนีไปซะแล้ว…”
“ฮ่าๆ ฉันดีใจมากเลยนะที่ครั้งนี้นายไม่ได้หลอกฉัน”
หลินชูวโม่เงยหน้าขึ้นพร้อมคลี่ยิ้มหวานให้เขา ก่อนจะหันไปพูดกับพนักงานสาวที่ยืนรออยู่ข้างๆว่า
“เอาทั้งสองคู่เลยค่ะ แล้วขอลองตัวส้นสูงสีม่วงด้วยนะ”
“ได้ค่ะ กรุณารอสักครู่นะคะ”
พนักงานสาวเหลือบมองฉีเล่ยเจือสีหน้าประหลาดอยู่แวบหนึ่ง จากนั้นเธอก็รีบเดินไปหยิบรองเท้าคู่สีม่วงมาให้หลินชูวโม่ลอง
เดิมทีเธอคิดว่า หญิงสาวที่มีหุ่นเซ็กซี่บาดใจแถมยังใช้ของแบรนด์เนมทั้งตัวแบบนี้ น่าจะเป็นเด็กเลี้ยงของเสี่ยแก่ๆสักคนหนึ่ง อย่างน้อยที่สุดฝ่ายชายก็น่าจะอายุมากกว่า แต่กลับไม่คิดเลยว่าจะเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนนี้
แน่นอน เรื่องส่วนตัวของลูกค้า เธอไม่มีสิทธิ์ที่จะก้าวก่ายหรือวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ว่าหญิงสาวคนนี้จะเป็นเด็กเลี้ยงของเสี่ยหรือสาวทรงโตกินเด็กก็ตาม
เมื่อเห็นฉีเล่ยเอาแต่ยืนปิดปากเงียบ ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกอยู่แบบนี้ หลินชูวโม่ก็รู้สึกหมั่นเขี้ยวขึ้นมาทันที เธอขยับก้นเว้นที่ข้างๆบนโซฟา พร้อมกับยกมือตบและร้องเรียกอีกฝ่ายให้มานั่งทันที
“มานั่งนี่มา มานั่งกับพี่สาวคนนี้เร็วเข้า”
“อย่ามาทำเป็นออกคำสั่งเหมือนผมเป็นลูก…”
“งั้น…พ่อคะ มานั่งกับหนูหน่อยนะคะ!”
“…”
ฉีเล่ยจำใจต้องนั่งลงข้างๆหญิงสาวอย่างช่วยไม่ได้
และทันทีที่นั่งลงไปข้างเธอ เขาก็ได้กลิ่นน้ำหอมละมุนจากแบรนด์ ‘ดิออร์’ ซึ่งโชยออกมาจากร่างกายของหญิง กลิ่นของมันหอมจางๆกำลังดี
“นายคิดยังไงกับแผนการแก้แค้นของฉันที่เพิ่งพูดไป?”
“ไม่ดี”
“ไม่ดีเหรอ? งั้นบอกฉันหน่อยสิว่า นายจะวางแผนรับมือยังไง?”
หลังจากพูดจบ หลินชูวโม่ก็เอนหลังพิงกับโซฟา และกำลังรอฟังคำตอบของฉีเล่ยอย่างใจเย็น
“นี่คุณคิดแผนแก้แค้นผมรุนแรงขนาดนั้นเลยเหรอ?”
ฉีเล่ยเอ่ยถามเสียงเรียบ
“ที่ฉันทำไปเพราะรักต่างหากล่ะ”
“….”