บทที่ 170 เหตุและผลที่เชื่อมโยงกัน

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

ราวกับเถียนฝานมองเห็นความหวังอันริบหรี่ เขาจึงพูดขึ้นว่า “มี…ข้ามีหลักฐานพิสูจน์…”

ต่อมาศาลาว่าการได้เรียกตัวหญิงม่ายคนหนึ่งที่อาศัยอยู่บนถนนสายนั้น พิสูจน์ว่าคืนก่อเหตุนั้นเถียนฝานและหญิงม่ายพัวพันอยู่ด้วยกันตลอดทั้งคืน พวกเขาไม่รู้เรื่องที่เจียงหมิงจูถูกสังหารแม้แต่น้อย

มือปราบหลิวไม่อาจไม่รามือ แต่ยังคงกักขังเถียนฝานไว้คืนหนึ่งจึงยอมปล่อยตัวออกไป

หลินชิงเวยไปพบสวี่ฮ่าวเฉียงสามีของเจียงหมิงจูในห้องขัง เมื่อเห็นท่าทางของสวี่ฮ่าวเฉียงแล้วหลินชิงเวยอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ หน้าตาของเขากับคืนวันที่เกิดเรื่องเปลี่ยนไปเป็นคนละเรื่อง

สวี่ฮ่าวเฉียงถูกทุบตีอย่างทารุณเช่นกัน แต่ร่างกายของเขาแข็งแรงจึงอดทนรับได้ ทว่าเขาดูเหมือนสิ้นหวัง ราวกับไม่มีแรงจูงใจให้มีชีวิตต่อไป รอความตายอยู่ในสถานที่แห่งนี้อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย

ไม่ว่าผู้คุมจะใช้ทัณฑ์ทรมานกับเขาอย่างไรเขาก็ไม่ยอมรับว่าเป็นผู้สังหารภรรยาของตนเอง การตายของเจียงหมิงจูสร้างความเจ็บปวดให้เขาอย่างที่สุด ยังต้องการให้เขาตระบัดสัตย์ต่อตนเองยอมรับว่าตนเองเป็นผู้ลงมือ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ทำไม่ได้

เพื่อนบ้านใกล้เคียงพูดว่าเขาเป็นคนซื่อสัตย์คนหนึ่ง สายตาของผู้คนนั้นบริสุทธิ์ไม่เอนเอียงย่อมไม่พูดเท็จแน่นอน

ประตูห้องขังเปิดออก หลินชิงเวยเดินเข้าไปย่อกายลงเบื้องหน้าสวี่ฮ่าวเฉียง เนิ่นนานสวี่ฮ่าวเฉียงจึงพูดออกมาประโยคหนึ่งว่า “ข้าไม่ได้สังหารหมิงจู…ข้ารักนางถึงเพียงนั้น…”

“คืนนั้นเมื่อท่านกลับมาถึงก็เห็นนางตายแล้วใช่หรือไม่?” หลินชิงเวยถาม

สวี่ฮ่าวเฉียงพูดไปเรื่อยๆ “ทันทีที่ข้าก้าวเข้าประตูมาก็เห็นแสงสว่างจากโคมไฟในเรือน นาง…นาง…นอนอยู่บนพื้น ร่างของนางมีเลือดไหลออกมาเต็มไปหมด…ข้าไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี…”

“อาจเป็นเพราะทุกคนต่างมีชีวิตของตนเอง เจียงหมิงจูก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน นางติดหนี้ ทำบาปทำกรรมเอาไว้ ต้องให้นางชดใช้ด้วยชีวิตเพราะนางปั่นหัวคนซื่อสัตย์เช่นเจ้า”

“เจ้ากำลังพูดอะไร?” สวี่ฮ่าวเฉียงเงยหน้ามองหลินชิงเวยอย่างเลื่อนลอย

หลินชิงเวยมองดูสีหน้าบนใบหน้าของเขาแล้วพูดเนิบๆ ว่า “นางลักลอบมีความสัมพันธ์กับชายชู้ เถียนฝาน ที่อยู่ถนนสายถัดมาลับหลังเจ้า อีกทั้งใช้เงินที่เจ้าหามาด้วยความยากลำบากไปเลี้ยงชายชู้คนนั้น”

ใบหน้าของสวี่ฮ่าวเฉียงเต็มไปด้วยความตกตะลึงในอันดับแรก ต่อมาก็คือไม่อยากจะเชื่อ สุดท้ายแปรเปลี่ยนเป็นโกรธขึ้ง เขาพูดกับหลินชิงเวยด้วยโทสะว่า “หมิงจูไม่ใช่คนเช่นนั้น! ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าล่วงเกินนาง! ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอะไรข้าก็ไม่เชื่อทั้งนั้น! ขอเพียงนางบอกว่าไม่มีก็คือไม่มี!”

หลินชิงเวยลอบถอนใจ “ดูท่าแล้วน่าจะมีคนพูดถึงความสัมพันธ์ของเจียงหมิงจูและคนผู้นั้นกับเจ้านานแล้ว แต่เจ้ายังคงดื้อรั้นถือทิฐิอย่างแรงกล้า การตายของเจียงหมิงจูสำหรับเจ้าแล้วอาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร รอให้ออกไปจากที่นี่แล้ว เจ้าอย่าได้สตรีรูปโฉมงดงามมาเป็นภรรยาอีกเพราะเจ้าไม่อาจคาดเดาจิตใจของสตรีรูปโฉมงดงาม”

สวี่ฮ่าวเฉียงโกรธเคืองอย่างมาก เขาคิดว่าหลินชิงเวยไม่เคารพเจียงหมิงจู เขาผลักร่างของหลินชิงเวยเต็มแรง เซียวเยี่ยนตาดีมือไวอย่างยิ่ง คว้าเพียงครั้งเดียวก็ดึงหลินชิงเวยลุกขึ้นมาซุกไว้ในอ้อมกอดของตนเอง ปล่อยให้สวี่ฮ่าวเฉียงโผเข้าหากำแพง ทว่าเขาไม่ได้พุ่งกายเข้ามาอีกครั้ง เขาหันหน้าเข้าหากำแพงแล้วนิ่งเงียบเป็นเวลานาน สุดท้ายยังคงค่อยๆ ย่อกายลงนั่งยองๆ บุรุษตัวโตคนหนึ่งร่ำไห้เสียงดังราวกับเป็นเด็กน้อย

หากจะกล่าวว่าเขาทำร้ายเจียงหมิงจูไม่สู้พูดว่าเจียงหมิงจูทำร้ายเขาจะถูกต้องกว่า หรือเป็นเพราะเขารักและตามใจเจียงหมิงจูมากเกินไปจึงทำให้เจียงหมิงจูทำเรื่องทรยศหักหลังเขาอย่างไม่ละอายแก่ใจ ทำให้ตนเองต้องมามีจุดจบเช่นนี้

ทุกๆ เรื่องราวที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุและผลเชื่อมโยงกัน

หลินชิงเวยพูดกับมือปราบหลิวที่อยู่นอกห้องขัง “ปล่อยตัวเขาไปเถิด เขาไม่ใช่ฆาตกร”

“คุณชายหลินแน่ใจได้อย่างไร?” สีหน้าของมือปราบหลิวเกือบจะเรียกได้ว่าดุร้าย

หลินชิงเวย “เขาพูดปดหรือไม่ สายตาของข้าชัดเจนกว่าเครื่องมือทัณฑ์ทรมานของมือปราบหลิวก็แล้วกัน!”

คืนนั้นเซียวเยี่ยนลอบส่งคนออกไปซุ่มตัวละแวกเรือนหลังเล็กของยายหวัง เพื่อเป็นการสะดวกรวดเร็วหากเกิดเรื่องใดขึ้น เพียงแต่ทางด้านยายหวังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ตลอดทั้งคืนกระทั่งถึงวันรุ่งขึ้นก็ไม่เกิดเรื่องอันใดขึ้น

กลับเป็นเถียนฝานที่ถูกปล่อยตัวออกมาจากห้องขังทั้งบาดแผลเต็มตัว เขาเดินกะโผกกะเผลกกลับเรือนของตน เขากลับมาถึงเรือนของตนเป็นเวลาดึกดื่น เขาคิดว่าตัวเองรอดพ้นจากเคราะห์ภัยครั้งนี้แล้ว ยังไม่ทันได้พรูลมหายใจโล่งอกเปิดประตูเรือนของตน หลังจากเข้าไปแล้วยังไม่ทันได้จุดตะเกียง ภายในเรือนดำมืดเขาเดินชนข้าวของ เตะถูกเก้าอี้ตัวหนึ่ง กำลังจะยื่นมือไปหยิบเก้าอี้ทว่ากลับพบว่ามีสิ่งของบางอย่างพาดผ่านไป เขางยหน้าขึ้นมองพบว่าริมหน้าต่างใต้แสงจันทร์นั้นมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ที่นั่น และสิ่งที่กำลังสะท้อนแสงวิบวับ…ก็คือดาบในมือของเขา

คนๆ นั้นเดินเข้ามาทีละก้าว เถียนฝานถอยหลังทีละก้าว เขาสะดุดเก้าอี้ล้มลงจึงกลิ้งลงไปบนพื้น

“ท่าน ท่านท่าน…ท่านคิดจะทำอะไร?” นาทีถัดมา เถียนฝานหันหน้าคิดจะหนีและร้องว่า “ช่วย…”

ฉึ่บ

เขาทำได้เพียงส่งเสียงร้องในลำคอได้คำเดียวเท่านั้น ดาบของอีกฝ่ายก็แทงเข้ามาในร่างกายของเขาทะลุออกไปทันที

แน่นอนว่าเถียนฝานตายอยู่ในเรือนจะมีใครล่วงรู้เล่า คนละแวกใกล้เคียงล้วนคิดว่าเขาถูกจองจำอยู่ในคุก กำลังคิดว่าคนทำชั่วได้รับผลกรรมตามสนอง ไหนเลยจะรู้ว่าเขาถูกปล่อยตัวกลับมากลางดึก

ศพของเถียนฝานเน่าเปื่อยส่งกลิ่นเหม็นอยู่ในเรือน หนอนกินศพเลื้อยอยู่เต็มพื้นเขาจึงถูกพบ เวลานั้นคดีก็ได้ตัดสินไปแล้ว

วันนี้หลินชิงเวยและเซียวเยี่ยนงานยุ่งทั้งวัน กำลังจะกลับไปพักผ่อนที่จวนใต้เท้าสวี ยามนี้แสงสุดท้ายของอาทิตย์ยามอัสดงค่อยลับเลือนหายไป โคมไฟสีแดงริมถนนสว่างขึ้น เวลานี้สำหรับตลาดกลางวันถือว่าเย็นเกินไป แต่สำหรับตลาดกลางคืนนั้นเช้าเกินไป ผู้คนที่สัญจรไปมาบนถนนจึงมีไม่มากนัก

เดินมาครู่หนึ่งหลินชิงเวยจึงนึกขึ้นได้ นางพูดกับเซียวเยี่ยน “แย่แล้ว พวกเราลืมไปรับอาภรณ์ที่ร้านตัดเสื้อ”

เซียวเยี่ยนช้อนตาขึ้นมองถนนสายยาวสิบลี้แล้วพูดว่า “เวลานี้ร้านค้าน่าจะปิดแล้วกระมัง”

ร้านค้าคึกคักของตลาดกลางคืนจะเปิดร้านริมถนน ดูเหมือนร้านค้าเช่นนั้นเมื่อตะวันตกดินแล้วจะปิดร้าน

หลินชิงเวยพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ไม่ได้ วันนี้จะต้องไปรับอาภรณ์ อาภรณ์ชุดนี้สวมมาสองวันแล้ว เหม็นจะตายอยู่แล้ว” พูดแล้วก็ลากเซียวเยี่ยนวิ่งไปข้างหน้า

หลินชิงเวยออกแรงวิ่งอย่างจริงจัง เซียวเยี่ยนกลับแทบไม่ต้องใช้แรงแม้แต่น้อยเขาเพียงแต่ก้าวยาวๆ ตามไปเป็นพอ ภาพที่คนทั้งสองเดินอยู่บนถนนในสายตาของผู้คนทั่วไปก็คือเด็กชายตัวน้อยตามติดพี่ชายใหญ่ให้ไปซื้อของที่ตนอย่างได้ เซียวเยี่ยนตกตะลึงในใจยิ่งยวด ตนเองถึงกลับปล่อยให้นางกระทำตามใจโดยไม่คิดจะปฏิเสธ

ม้าทั้งสองตัวถูกนำไปเก็บไว้ที่ศาลาว่าการแล้ว อย่างไรระยะทางจากศาลาว่าการมาถึงจวนสกุลสวีไม่ได้ไกลเท่าใดนัก

พวกเขาวิ่งมาพรวดเดียวก็ถึงร้านตัดเสื้อ ร้านตัดเสื้อยังไม่ปิดร้าน หลินชิงเวยรีบก้าวเข้าไป เถ้าแก่ของร้านตัดเสื้อเป็นคนพูดจาคำไหนคำนั้นเมื่อเห็นลูกค้าจึงรีบพูดว่า “นับว่าคุณชายทั้งสองมาเสียที” ดูท่าแล้วเถ้าแก่รอคนทั้งสองมารับอาภรณ์โดยเฉพาะ หากมิใช่เพราะรอพวกเขาทั้งสองเกรงว่าจะปิดร้านไปนานแล้ว

เมื่อหลินชิงเวยเดินออกไปได้หยิบทองคำเม็ดเล็กให้เถ้าแก่เม็ดหนึ่ง นางพูดกับเถ้าแก่ว่า “เป็นสิ่งที่ท่านสมควรได้รับ”