บทที่ 169 ปฏิกิริยาออกจะรุนแรงไปสักหน่อย

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

เพียงแต่ปฏิกิริยาของมือปราบหลิวนั้นเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง ไม่อาจไม่นำตัวเถียนฝานไปกับไต่สวน ยังกลับไม่ถึงศาลาว่าการ ระหว่างทางเดินผ่านตรอกๆ หนึ่ง มือปราบหลิวพลันหยุดเดินแล้วหันหน้ามองเข้าไปในเรือนหลังหนึ่ง

ประตูเรือนหลังนั้นเปิดประตูอยู่ครึ่งหนึ่งมีเสียงร่ำไห้ของแม่นางน้อยดังออกมาจากข้างในและเสียงด่าทอของหญิงชราคนหนึ่ง

หลินชิงเวยหยุดก้าวเดินเช่นกัน นางมองผ่านช่องระหว่างประตูเข้าไปในเรือนหลังนั้น เห็นแม่นางคนหนึ่งในวัยใกล้เคียงกับตน กำลังถูกหญิงชราผมขาวโพลนคนหนึ่งใช้ไม้หวายตีไม่ยั้ง นางร้องไห้ไปพร้อมกับวิงวอนขอความเมตตา

หญิงชรานางนั้นไม่ยอมรามือ ด่าทออีกว่า “ถุย! คนชั้นต่ำ ไม่มีสิ่งของอะไร! ให้เจ้าออกไปขอของกินและเงินกลับมา ดูว่าเจ้าทำอะไรลงไป! อีกไม่นานน้องชายของเจ้าก็ต้องเข้าเรียนแล้ว เจ้าเอาอะไรไปจ่ายค่าเล่าเรียนให้เขา! ข้าเลี้ยงเจ้าไว้มีประโยชน์อันใด!”

“ข้าขอแล้ว…ข้าขอมาได้เพียงเท่านี้…ท่านย่าอย่าตีอีกเลย…” น้ำเสียงของเด็กสาวนั้นโต้เถียงเสียงอ่อน บนร่างกายเต็มไปด้วยร่องรอยสีเขียวสีม่วงจากการถูกตี

“ข้าไม่สน! วันนี้ต่อให้เจ้าต้องออกไปขายตัวก็ต้องหาเงินมาให้ได้! หาไม่แล้วข้าเลี้ยงเจ้ามาจนโตเช่นนี้ เลี้ยงเจ้าเปล่าๆ ปลี้ๆ หรือไร?! ยามบ่าย ยามบ่ายข้าจะเรียกคนมา!”

มือปราบหลิวเห็นแล้วมือทั้งคู่กำเป็นหมัดแน่น หลินชิงเวยเห็นเพียงสีหน้าด้านข้างของเขา เห็นเส้นเลือดสีเขียวบริเวณขมับของเขาเต้นตุบๆ ขึ้นมา ชัดเจนยิ่งนักว่าเขามีโทสะอย่างยิ่ง

เถียนฝานที่อยู่ด้านข้างร้องขอความเมตตา “ใต้เท้าละเว้นข้าเถิด ข้าไม่ได้ฆ่าคนจริงๆ…เทียบกับยายหวังแล้วข้านับว่ามีความเมตตากว่ามาก! ละแวกนี้มีผู้ใดไม่รู้บ้างว่านางเป็นหญิงชราใจคออำมหิต เห็นหลานชายของตนเป็นสิ่งของล้ำค่า เห็นหลานสาวของตนเป็นทาส เป็นเครื่องมือหาเงิน แต่ไม่ว่าใครก็เกลี้ยกล่อมนางไม่ได้ ผู้ใดมาเกลี้ยกล่อมนางก็จะไปยืนด่าทออยู่หน้าประตูเรือน อย่าได้เอ่ยถึงว่าไม่น่าฟังเพียงใด”

หลินชิงเวย “หากข้าไม่ได้จำผิด ท้องที่ในเขตนี้เป็นท้องที่ที่มือปราบหลิวรับผิดชอบลาดตระเวนกระมัง เหตุใดไม่ดูแลเรื่องเหล่านี้?”

มือปราบหลิวกัดฟันแน่น น้ำเสียงที่พูดขึ้นมานั้นต่างจากก่อนหน้านี้อยู่บ้าง เปลี่ยนจากหนักแน่นกลายเป็นเต็มไปด้วยโทสะ “นี่เป็นเรื่องภายในครอบครัวของพวกเขา ขอเพียงมิใช่เรื่องลักเล็กขโมยน้อย ไม่ได้วางเพลิง ฆ่าคน ต่อให้ไปร้องเรียนที่จวนว่าการก็ทำอันใดไม่ได้”

ถูกต้อง กฎหมายในยุคสมัยนี้มีหลายจุดที่ไม่ครอบคลุมและจนปัญญา

ท่าทางมือปราบหลิวดูเหมือนทนดูต่อไปไม่ได้ จึงจับตัวเถียนฝานเดินต่อไป หลินชิงเวยมองแผ่นหลังของเขาอย่างครุ่นคิด เมื่อหันกลับมานางยกมือขึ้นเคาะประตูเรือนของยายหวัง

ยายหวังเพิ่งจะรามือจากการตีและด่าทอหลานสาว ในมือยังถือไม้เรียวเดินมาเปิดประตูเรือนด้วยสีหน้าขุ่นขึ้ง เมื่อนางเปิดประตูแล้วเงยหน้าขึ้นเห็นคุณชายรูปงามสองคนยืนอยู่หน้าประตู คนหนึ่งใหญ่คนหนึ่งเล็ก สีหน้าที่เต็มไปด้วยโทสะของนางชะงักงัน จากนั้นสีหน้าจึงผ่อนคลายลง “พวกท่านมีเรื่องอันใด?”

หลินชิงเวยมองเด็กสาวน่าสงสารในลานเรือน “พวกเราผ่านมาได้ยินเสียงด่าทอตบตี นางทำผิดอันใดหรือ?”

ยายหวังกลับไปมีสีหน้าบูดบึ้งดังเดิม “ข้าสั่งสอนหลานสาวของข้า ทั้งสองท่านอย่าได้สอดเรื่องชาวบ้านจะดีกว่า! หากทั้งสองท่านคิดจะซื้อสาวใช้ หลานสาวของข้าขายในราคาห้าตำลึง ขายให้พวกท่าน!”

หลินชิงเวยหัวเราะ “ท่านตีนางเสียจนเขียวม่วงไปทั้งตัว แม้ข้าจะมีใจคิดจะซื้อสาวใช้ เพียงแต่ห้าตำลึงดูเหมือนจะมากไปหรือไม่? หากท่านตัดสินใจแต่แรกว่าจะขายนาง ทว่ากลับไม่อาจหักใจใช้เงินเลี้ยงดูนางให้งดงาม ใครจะซื้อเล่า?”

ยายหวังชักสีหน้าตอบว่า “เช่นนั้นทั้งสองท่านมาหาเรื่อง? หลานสาวของข้า เกี่ยวอันใดกับพวกท่านด้วยเล่า?!”

หลินชิงเวยพูดขึ้นมาด้วยจังหวะไม่ช้าไม่เร็ว “ท่านดูท่านสิ เป็นคนที่ก้าวเข้าโลงศพไปครึ่งหนึ่งแล้ว ยังไม่รู้จักทำตัวให้เป็นเยี่ยงอย่างที่ดีแก่หลานๆ ของท่าน และไม่รู้จักสั่งสมบุญกุศลให้ตนเอง ต่อไปเมื่อไปถึงนรกแล้วยังต้องได้รับโทษทัณฑ์”

“เจ้า!” ยายหวังเป็นคนนิสัยใจร้อน ถูกหลินชิงเวยใช้คำพูดเนิบๆ ทำให้โมโหเสียจนแทบเต้น จึงหันไปหยิบไม้กวาดมาเพื่อไล่คนทั้งสองออกไป

หลินชิงเวยเห็นยายหวังถือไม้กวาดมา แต่ยังไม่ยอมจากไปกลับยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยน “ท่านตีเถิด มีปัญญาท่านก็ตี รอให้ท่านตีแล้ว ข้าจะได้ไปร้องเรียน ข้าไม่อาจทำอันใดท่านได้ แต่เจ้าหน้าที่ย่อมต้องทำอะไรได้บ้าง”

ยายหวังเป็นคนเฉลียวฉลาดและไม่ได้คิดจะตีคนจริงๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงแค่นหัวเราะ “คิดจะให้เจ้าหน้าที่มาดูแลเรื่องนี้? ไม่มีทาง!” นางหันกลับไปหิ้วตัวเด็กสาวที่อยู่บนพื้น สีหน้าเต็มไปด้วยความดุดัน “หวงยา ยังไม่รีบลุกขึ้นมาอีก เข้าไปล้างตัวให้สะอาดในเรือน!”

ยายหวังไม่แยแสหลินชิงเวยและเซียวเยี่ยนอีก ทั้งสองจะรั้งอยู่ที่นั่นต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด ดังนั้นจึงได้แต่ออกจากที่นั่น

หลินชิงเวยและเซียวเยี่ยนเดินอยู่ในตรอกภายในตรอกเงียบสงบ ดวงตะวันยังไม่ได้ขึ้นมาสูงนัก แสงแดดร้อนระอุถูกเงาของบ้านเรือนทั้งสองข้างทางบดบังเอาไว้เหลือเพียงแสงสว่างเป็นสายที่ทอดผ่านแนวกำแพง

หญ้าที่ขึ้นอยู่บนกำแพงถูกแสงแดดสาดส่องจนเขียวชอุ่มให้ความชุ่มชื้นแก่สายตา

โสตประสาทยังได้ยินเสียงยายหวังด่าทอเบาลงเรื่อยๆ

เซียวเยี่ยน “อย่างไรเล่า ข้าไม่คิดว่าเจ้าเป็นชอบแส่เรื่องชาวบ้าน”

หลินชิงเวย “ท่านไม่รู้สึกว่าปฏิกิริยาของมือปราบหลิวออกจากรุนแรงอยู่สักหน่อยหรือ? เขาเดือดดาลอย่างที่สุดแต่พยายามอย่างยิ่งที่จะกดข่มเอาไว้ แม้กระทั่งน้ำเสียงที่พูดก็ยังเปลี่ยนไป”

เซียวเยี่ยน “วิธีการจับดาบของเขา”

“ไม่ต้องพลิกมือ หากเขาลงมือสังหารคนย่อมสามารถตวัดดาบฟาดฟันได้ทั้งจากบนลงล่าง และล่างขึ้นบน” หลินชิงเวยพูด “จุดประสงค์ของผู้ที่ลอกเลียนแบบมิใช่ไม่มีเป้าหมาย เจียงหมิงจูไม่ได้สะอาดบริสุทธิ์อย่างที่เห็นจากภายนอก ผู้ลอกเลียนแบบรู้รายละเอียดการก่อคดีฆาตกรรมของฆาตกรอย่างละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ แสดงให้เห็นว่าเขาอยู่ในเหตุการณ์และเห็นกับตาจึงได้รับผลกระทบต่อจิตใจอย่างรุนแรง จิตใจของเขามีสิ่งกระตุ้นอยู่ กระตุ้นให้เขาเปลี่ยนเป็นเช่นทุกวันนี้ บางทีอาจเป็นเพราะข่มกลั้นความรู้สึกเดือดดาลมาเป็นเวลายาวนาน และบางทีอาจเป็นเพราะการกดข่มความต้องการบันดาลโทสะ”

มือปราบหลิวนำตัวเถียนฝานเข้าไปในคุก เมื่อเข้าไปถึงก็เข้าสู่กระบวนการไต่สวนด้วยการใช้ทัณฑ์ทรมาน เถียนฝานถูกทุบตีจนเลือดกำเดาไหลเต็มหน้า ร่างกายของเขาถูกตรึงเอาไว้บนเสากากบาทเป็นเลขสิบอย่างอ่อนแรง ราวกับกำลังหายใจรวยริน

มือปราบหลิวถือเหล็กที่เผาจนกลายเป็นสีแดง เดินเข้ามาใกล้เถียนฝานทีละก้าว เขาพูดเสียงต่ำว่า “ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะไม่สารภาพ!”

“ไม่เอา…ไม่เอา…” เถียนฝานเห็นเหล็กที่ถูกเผานั้นจึงตกใจจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง เดิมทีเขาไม่ได้เป็นคนจิตใจเข้มแข็งอันใดอยู่แล้ว ร่างของเขาสั่นเทิ้ม “ข้าสารภาพ…ข้าสารภาพ!”

เมื่อหลินชิงเวยและเซียวเยี่ยนเดินเข้าไปในห้องไต่สวนจึงได้เห็นกับภาพเหตุการณ์นี้พอดี หลินชิงเวยพูดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ว่า “การสืบสวนคดีของใต้เท้าหลิวล้วนใช้วิธีการบีบบังคับให้รับสารภาพเช่นนี้เสมอใช่หรือไม่?”

มือปราบหลิวหันกลับไปพูดว่า “สำหรับคนที่ไม่พูดความจริงใช้วิธีการเช่นนี้ได้ผลที่สุด”

หลินชิงเวยมองเข้าไปในดวงตาของเขา แสงไฟในเตาไฟสะท้อนเข้ามาในดวงตาของนาง นางพูดว่า “แต่ข้าเชื่อว่าใต้เท้าหลิวรู้ดีว่าเขาไม่ใช่ฆาตกร ให้คนๆ หนึ่งซึ่งไม่ใช่ฆาตกรถูกทุบตีจนยอมรับสารภาพ จุดประสงค์ของใต้เท้าหลิวคืออะไร?”

มือปราบหลิว “คุณชายหลินรู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่ใช่ฆาตกร? เขาทะเลาะเบาะแว้งกับผู้ตายมาก่อน อีกทั้งลอบมีความสัมพันธ์กัน เขามีแรงจูงใจที่จะสังหารผู้อื่น”

หลินชิงเวย “แต่ท่านก็เห็นรูปร่างของเขา ดูท่าแล้วเขาน่าจะถูกสตรีสูบพลังไปหมดสิ้นแล้ว ไหนเลยจะมีเรี่ยวแรงไปสังหารคนได้? แล้วดูท่าทางขี้ขลาดตาขาวของเขา ไฉนจะกล้าสังหารคนได้? คิดจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเขานั้นง่ายดายยิ่งนัก ขอเพียงพิสูจน์ได้ว่าคืนที่เจียงหมิงจูถูกสังหาร เขาสามารถพิสูจน์ได้ว่าไม่อยู่ในที่เกิดเหตุการณ์ก็พอแล้ว”