ตอนที่ 130 เจ้าไม่อายหรือ

แม่ครัวยอดเซียน

“อีกหน่อยถ้าเจอมารเลวแบบนี้อีกก็จัดการแบบนี้ให้หมดแล้วกัน” หลิวหลีตัดสินใจอย่างอารมณ์ดี

“นังหนู การใช้คำของเจ้ามัน อะไรเรียกว่ามารที่เลว มารมีแบ่งดีเลวด้วยอย่างนั้นหรือ” หนานกงเวิ่นเทียนไม่เข้าใจการใช้คำของหลิวหลีสักเท่าไหร่

“จะไม่มีได้อย่างไรกัน ก็เหมือนกับพวกเราที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียร ก็ยังมีคนไม่ดีเหมือนกันไม่ใช่หรือ มารก็ต้องมีคนดีเหมือนกันนั่นแหละ ไม่ควรจะตัดสินคนทั้งหมดจากคนบางส่วน” หลิวหลีพูดพลางกระดิกนิ้วไปมา

หนานกงเวิ่นเทียนตกอยู่ในภวังค์ หลิวหลีพูดมามีเหตุผล แต่ก่อนพวกเขาอคติมากเกินไป

“เอาล่ะ เสี่ยวเทียน พวกเราไปเดินดูรอบๆ กันว่ายังมีอะไรอีก เราไปปล่อยผู้บำเพ็ญหญิงพวกนั้น แล้วเราก็ไปกันเถอะ ไปเมืองต่อไปกัน” หลิวหลีเสนอ

“ก็ดีเหมือนกัน” หนานกงเวิ่นเทียนพยักหน้า เขาก็ไม่ชอบเห็นผู้บำเพ็ญหญิงที่เอาแต่ร้องไห้กลุ่มนั้นเช่นกัน จึงคุยกันว่าจะปล่อยพวกนาง แล้วพวกเขาก็ออกเดินทางต่อ

ทั้งสองสำรวจไปทั่วบริเวณพื้นที่อยู่อาศัยของผู้เฒ่าคูกู่ ทำให้ได้อะไรกลับมาไม่น้อย

“หึหึ เงินที่ข้าใช้ซื้อของมั่วๆ ไปเมื่อตอนกลางวัน ตอนนี้ถือว่าได้กลับคืนมาแล้ว แล้วยังเกินมาด้วย มิน่าคนเขาถึงพูดกันว่าการปล้นเป็นหนทางที่เร็วที่สุดที่จะนำไปสู่ความรวย” หลิวหลีพูดพลางมองของกองพะเนิน

“เก็บหินวิญญาณเกลับไปเถอะ อาวุธศักดิ์สิทธิ์พวกนี้ไม่ต้องเอาแล้ว ใครจะรู้ว่าเขาได้ทำสัญลักษณ์อะไรเอาไว้หรือเปล่า” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว

“มันก็จริง คราวนี้ได้ความรู้ในเรื่องพลังบำเพ็ญเพียรไม่น้อย ไปกันเถอะ เสี่ยวเทียน ไปปล่อยผู้บำเพ็ญหญิงพวกนั้น แล้วเราก็ไปกัน” หลิวหลีพยักหน้า โยนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ไว้อยู่ข้างๆ ทว่านางเห็นหินสีดำก้อนหนึ่ง ยิ่งมองก็ยิ่งชอบ จึงหยิบติดมือกลับไปด้วย

ณ คฤหาสน์หรูหราแห่งหนึ่งในโลกมาร ผู้บำเพ็ญชายท่าทางเจ้าชู้ผู้หนึ่งกำลังมีความสุขอยู่กับผู้บำเพ็ญหญิง ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาขึ้น ลุกขึ้นยืนจากร่างกายของผู้บำเพ็ญหญิง คูกู่ที่วันๆเอาแต่ทำเรื่องผิดพลาดตายแล้ว หินมารรัตติกาลบนตัวของเขาก็หายสาบสูญไปเช่นกัน

“นายท่าน” ผู้บำเพ็ญหญิงไม่พอใจ จึงพยายามที่จะดึงผู้บำเพ็ญชายให้กลับไป แต่กลับถูกผู้บำเพ็ญชายฆ่าปาดคอในทันที

“จัดการเสีย” เงาที่ปรากฏขึ้นจากที่มืดนำศพออกไป

ผู้บำเพ็ญชายโบกมือขวาไปมา ก็มีเงาอีกตนหนึ่งปรากฏขึ้น

“นายท่านเยี่ยซิงหวง”

“ไป ไปตรวจสอบมา ใครฆ่าคูกู่” เยี่ยซิงหวงกล่าว

“ขอรับ” เงาดำหายตัวไป

เยี่ยซิงหวงมองออกไปด้านนอก ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็จะมาทำลายแผนการใหญ่ของเขาไม่ได้ อย่างไรเสียเขาก็จะต้องได้ครอบครองหินมารรัตติกาล

หลิวหลีไม่รู้ว่าตัวเองมีคนกำลังนึกถึง แต่ถึงรู้ก็ไม่สนใจอยู่ดี นางเดินไปยังสถานที่ที่ผู้บำเพ็ญหญิงถูกขัง ปล่อยเพลิงสุวรรณรำไรเพื่อทำลายเขตป้องกัน อีกทั้งยังช่วยคืนพลังบำเพ็ญเพียรของผู้บำเพ็ญหญิงที่ถูกสะกดไว้กลับคืนมา จากนั้นหลิวหลีก็จากไป

“พวกเจ้าปลอดภัยแล้ว รีบไปเถอะ”

“ท่านเป็นใครกัน” ผู้บำเพ็ญหญิงผู้หนึ่งรวบรวมความกล้าแล้วพูดขึ้น

“เป็นใครพวกเจ้าไม่ต้องรู้หรอก รีบไปเถอะ”

“ไม่ทราบว่าท่านผู้มีพระคุณมีชื่อว่าอะไร” ผู้บำเพ็ญถามขึ้นด้วยความตื้นตันใจ

“ชื่อก็ช่างมันเถอะ ข้าคือคนที่มีครอบครัวแล้ว หากฮูหยินของข้าเกิดหึงหวงขึ้นมาจะทำอย่างไร หากมีวาสนาก็จะได้พบเจอกันอีก” หลิวหลีพูดจบ ไม่ว่าผู้บำเพ็ญหญิงจะถามอะไรนางก็ไม่ตอบอีก เหล่าบรรดาผู้บำเพ็ญหญิงมั่นใจแล้วว่า ผู้มีพระคุณของพวกนางไปแล้วจริงๆ

“พวกเราไปกันเถอะ ควรจะหาที่เข้าฌานสักพัก เพื่อจัดการกับสิ่งที่ได้มาในช่วงนี้” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว

“ได้” หลิวหลีไม่มีข้อโต้แย้ง เพราะนางก็คิดเช่นเดียวกัน

“ห่างจากเมืองจินเยี่ยไปไม่มาก มีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชื่อว่า เมืองว่านจิน มีชื่อเสียงในการส่งออกแร่ทองคำ พวกเราสามารถไปอยู่ที่นั่นได้สักพัก ไม่แน่ว่าอาจจะเจอแร่ที่ต้องการก็ได้” หนานกงเวิ่นเทียนในฐานะกึ่งผู้นำเที่ยวพูดขึ้น

“ได้” หลิวหลีแสดงออกว่าเห็นด้วย อีกอย่างมีดเล่มใหญ่ของนางก็ต้องการสินแร่อีกหลายชนิด ไม่แน่ว่าอาจจะหาเจอก็ได้

ทั้งสองคนไม่รู้เลยว่าการจากไปของตนเองได้สร้างความเคลื่อนไหวใดไว้ที่เมืองจินเยี่ยบ้าง เมื่อผู้บำเพ็ญหญิงที่หายตัวไปจำนวนมากกลับมาพร้อมกัน ทั้งยังพาเจ้าเมืองไปยังที่ที่พวกนางถูกกักขังตัวไว้ ข่าวลือเกี่ยวกับหลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนแพร่สะพัดไปทั่ว มีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกว่าเป็นฝีมือของคู่รักที่ร่ำรวยคู่นั้นเพราะเวลาที่พวกเขาหายตัวไปใกล้เคียงกับเวลาที่มารตนนั้นถูกกำจัดพอดี จึงมีคนสงสัยสถานะของพวกเขา

ณ เมืองว่านจิน ทั้งสองคนเช่าบ้านเล็กๆ จากนั้นก็เริ่มเข้าฌานฝึกบำเพ็ญ ทั้งสองได้ความรู้กลับมาไม่น้อย และย่อมต้องเอาความรู้นั้นมาลองฝึกฝน หลิวหลีก็เข้าไปอยู่ในมิติ

“ท่านพี่” จื่อฉีเห็นหลิวหลีก็ดีใจ

เอ๋าเลี่ยกลับเบือนหน้าหนีไปอีกทาง

“อาเลี่ย เจ้าโมโหอะไร” มังกรเฒ่าตัวนี้โมโหอะไรอีก

“พี่สาว ลุงเอ๋าเลี่ยโมโหที่พี่ให้เขาแสดงเป็นเด็กรับใช้” จื่อฉีพูดอธิบาย

“โกรธเรื่องนี้หรือ เจ้าอายุตั้งปูนนี้แล้ว พลังบำเพ็ญเพียรก็สูง ยังถูกสิ่งภายนอกรบเร้าได้อีก มิน่าพลังบำเพ็ญเพียรจึงไม่มีอะไรก้าวหน้า อาเลี่ย” หลิวหลีพูดราวกับคนที่ผ่านโลกมามาก

“หึ ข้าไม่อยากจะพูดกับเจ้า” เอ๋าเลี่ยยังคงโมโหไม่ยอมพูดด้วย

“ได้ เจ้าโมโหไปก่อนนะ ข้าจะไปปรุงยาแล้ว” หลิวหลีส่ายหัว คนคนนี้ทำไมยิ่งแก่ ใจก็ยิ่งเด็ก ดูจื่อฉียิ่งมีอายุมากขึ้น ก็ยิ่งมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เทียบกันไม่ได้เลย

หลิวหลีก็ไปปรุงยาจริงๆ เอ๋าเลี่ยยังรู้สึกโมโหเล็กน้อย จื่อฉีมองไม่ออกว่าเอ๋าเลี่ยโมโห ตัวเองก็ไปบำเพ็ญฝึกฝนเช่นกัน 10 ปีที่อยู่ในเผ่ากิเลน จื่อฉีไม่ได้เรียนรู้อะไร รู้แค่ว่าต้องอดทนกับความเหงาเพื่อฝึกฝนพลังบำเพ็ญให้ก้าวหน้า

หลิวหลีรู้สึกตัวเองยังห่างไกลจากนักปรุงยาระดับ 8 ถึงแม้จะได้เห็นอาจารย์ปรุงยามาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ตัวเองก็ยังไม่สามารถสัมผัสได้ แต่ว่าหลิวหลีก็ไม่ได้ฝืน นางอยากจะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ

“ออกฌานได้แล้ว” หลิวหลีพึมพำกับตัวเอง

จื่อฉีกับเอ๋าเลี่ยที่อยู่ด้านนอกยังคงเป็นเหมือนเดิม คนหนึ่งบำเพ็ญฝึกฝน ส่วนอีกคนกำลังโมโห

“อาเลี่ย หายโกรธเถอะ ครั้งหน้าจะให้เจ้าเล่นเป็นเทพเจ้าที่ ข้าเป็นสาวใช้ให้เจ้าเอง ดีไหม” หลิวหลีพูดพลางมองไปที่เอ๋าเลี่ยที่กำลังโมโห

“เทพเจ้าที่คืออะไร” เอ๋าเลี่ยถามอย่างสงสัย รู้สึกว่าคำนี้ไม่ใช่คำที่ดีเท่าไรนัก

“อาเลี่ย เจ้าต้องเชื่อข้า บทบาทนี้เหมาะกับเจ้ามาก เดี๋ยวข้าเป็นสาวใช้ให้เจ้าเอง” หลิวหลีไม่สนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว

“พูดแล้ว ห้ามเปลี่ยนใจ” เอ๋าเลี่ยรีบพูด

“ได้ แล้วจะให้จื่อฉีเล่นเป็นลูกเจ้าที่คนซื่อบื้อ”หลิวหลีพูดต่อ จื่อฉีที่อยู่ข้างๆไม่มีอะไรจะพูด พวกเจ้าคุยกันก็พอแล้ว ทำไมต้องดึงเขาไปเกี่ยวด้วย เขาไม่ได้รู้เรื่องด้วยเลย เสือสองตัวทะเลาะกัน คนข้างทางต้องรับเคราะห์ไปด้วยหรือ

“นังหนู ครั้งนี้เจ้าทำได้ไม่เลว ทำไมถึงคิดได้ว่าต้องใช้เพลิงอัสนีคราม” หลังจากโมโหเสร็จแล้ว สิ่งที่ต้องชื่นชมก็ควรต้องชื่นชม

“เรื่องนี้น่ะหรือ ง่ายมาก ข้าคิดว่าหากข้าเป็นผู้บำเพ็ญสายพุทธก็ดีสิ”

“ผู้บำเพ็ญสายพุทธ เกี่ยวอะไรกับผู้บำเพ็ญสายพุทธหรือ” เอ๋าเลี่ยไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย เรื่องนี้เกี่ยวกับผู้บำเพ็ญสายพุทธด้วยหรือ หรือว่านังหนูไปเจอผู้บำเพ็ญสายพุทธมาตอนที่เขาไม่ทันได้สังเกต

“ไม่ใช่ เพียงแต่ว่าตอนที่ติดอยู่ในค่ายกล ข้าก็คิดได้ว่าหากเป็นผู้บำเพ็ญสายพุทธสวดมนต์ไม่กี่ท่อนก็น่าจะสามารถจัดการได้แล้ว”

“มันก็ใช่” บทสวดของผู้บำเพ็ญสายพุทธสามารถขจัดสิ่งมัวหมองทั้งปวง

“แน่นอนว่าไม่สามารถหาผู้บำเพ็ญสายพุทธได้แน่ ข้าจึงคิดๆดู อัสนีบาตขึ้นชื่อในเรื่องความยุติธรรม ข้าเลยลองใช้เพลิงอัสนีครามดูได้ พอลองแล้วผลก็ออกมาไม่เลวเลย” หลิวหลีแสดงออกว่าพอใจ

“ไม่ กำแพงเพลิงอัคคีที่เจ้าทำในตอนสุดท้ายใช้ได้ไม่เลว ทำอย่างนี้จะทำให้ไม่เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง” เอ๋าเลี่ยชื่นชม

“ขอบคุณสำหรับคำชม” หลิวหลีพูดอย่างถ่อมเนื้อถ่อมตัว

“เรื่องการจีบคนนั้น ท่านพี่เรียนรู้มาได้ดีทีเดียว ไม่สิ ต้องบอกว่าไม่มีอาจารย์แต่รู้ได้ด้วยตนเอง” จื่อฉีที่อยู่ข้างๆพูดแทรกขึ้น ฝีมือในการจีบสาวของพี่สาวเขาได้คะแนนเต็มแน่นอน

“เอ่อ” หลิวหลีไม่รู้จะพูดอะไร จื่อฉีหากเจ้าชมคนไม่เป็นก็ไปตั้งใจฝึกบำเพ็ญดีกว่า จะมาฟังผู้ใหญ่คุยกันทำไม

ส่วนฝั่งของหนานกงเวิ่นเทียน เขาไม่ได้กำลังบำเพ็ญเพียร แต่ในหัวกำลังนึกถึงภาพที่หลิวหลีถอดเสื้อผ้าให้กับเขา

“นังหนูนี่ ไม่รู้จักอายบ้างเลยหรืออย่างไร”

“นังหนู เจ้าไม่เขินอายเลยหรืออย่างไร” เอ๋าเลี่ยพูดจาหยอกล้อ

“อายอะไร นั่นคือว่าที่สามีของข้า ข้าแค่ขอกำไรล่วงหน้าก่อนเล็กๆน้อยๆ” หลิวหลีพูดขึ้นโดยหน้าไม่แดง ใจไม่เต้นแรง พูดเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา

เอ๋าเลี่ยนิ่งไป มันก็ใช่ ทั้งสองได้หมั้นหมายกันแล้ว

“นังหนู ว่าแต่เจ้าวางแผนจะแต่งงานเมื่อไหร่” เอ๋าเลี่ยค่อนข้างสงสัยเรื่องนี้ เห็นท่าทางของหลิวหลี ดูท่าก็คงอยากจะจัดงานมาก็นานแล้ว ทำไมยังไม่ไปหอเทียนจีเก๋อหาฤกษ์วันแต่งงานกันเสียที

“เอ่อ อาเลี่ย สัญชาตญาณแปลกๆของข้าบอกว่า ข้าแต่งงานเร็วเกินไปไม่ดี วันแต่งงานของข้าควรจะจัดขึ้นหลังจากที่ข้าพิชิตเพลิงอัคคีอันสุดท้ายได้แล้ว” หลิวหลีคิดว่าตัวเองมีสัญชาตญาณแปลกๆโผล่มาอีกแล้ว เอ่อ หากนางยังไม่เป็นปีศาจไปเสียก่อนนางคงยังจะแต่งงานไม่ได้

“สัญชาตญาณของเจ้ากลับมาอีกแล้วหรือ” เอ๋าเลี่ยถามขึ้น เขาก็ไม่เข้าใจว่าสัญชาตญาณนี้ของหลิวหลีเกิดจากอะไร หลิวหลีบอกว่าเป็นสัมผัสที่ 6 แต่ว่าผู้บำเพ็ญหญิงคนอื่นก็ไม่เห็นจะมีพลังในการล่วงรู้อนาคตเหมือนกับหลิวหลีเลย เอ๋าเลี่ยรู้สึกเหมือนจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แล้วคนที่จะเป็นคนสำคัญในการจัดการเรื่องนั้นก็คือนังหนูหลิวหลี

 …………………………….