ตอนที่ 131 เรื่องแทรก

แม่ครัวยอดเซียน

“เมืองว่านจินสมคำล่ำลือจริงๆ มีวัตถุในการหลอมอาวุธมากมาย แม้กระทั่งวัตถุดิบในการปรุงยาก็มีไม่น้อยเช่นกัน” หลิวหลีพูดกับหนานกงเวิ่นเทียนในขณะที่กำลังเดินเล่น

“มีสินแร่ไม่น้อยที่เกิดขึ้นพร้อมพืชศักดิ์สิทธิ์ ย่อมมีวัตถุดิบในการปรุงยาเป็นจำนวนไม่น้อย” หนานกงเวิ่นเทียนอธิบาย

“มีดเล่มใหญ่ที่ข้าคิดเอาไว้ยังขาดวัตถุดิบอีกสามอย่าง จะลองหาดูว่าจะหาเจอหรือไม่” หลิวหลีลองคำนวณดู มีดเล่มใหญ่ของตัวเองควรจะออกมาลืมตาดูโลกได้แล้ว

“ไปทางนั้นกันเถอะ” หนานกงเวิ่นเทียนชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง

ทั้งสองคนเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ เมื่อเจอของที่ถูกใจก็ซื้อ จนกระทั่งทั้งสองได้ยินเรื่องประหลาดเกี่ยวกับถ้ำเหมืองแร่

“ได้ยินมาว่าแร่ที่ขุดได้มาจากถ้ำเหมืองแร่นั้นสามารถแลกเป็นหินวิญญาณได้ เพียงแต่ว่าจะต้องยอมจ่ายหินวิญญาณระดับกลาง 10 ก้อนก่อน แบบนี้จะคุ้มหรือ” ผู้บำเพ็ญท่านหนึ่งพูดขึ้น

“ไม่แน่ว่าอาจจะเจอโชคใหญ่ก็ได้” ผู้บำเพ็ญอีกท่านหนึ่งพูดขึ้น

“เสี่ยวเทียน พวกเราไปกันเถอะ หินวิญญาณแค่ 10 ก้อนเอง” หลิวหลีก็เริ่มรู้สึกสนใจ นางเพิ่งเคยเจอเรื่องขุดแร่อะไรพวกนี้เป็นครั้งแรก

“ได้สิ” หนานกงเวิ่นเทียนก็รู้สึกไม่เลว ไปลองหน่อยก็ดี

“หินวิญญาณระดับกลาง 10 ก้อน รับจอบศักดิ์สิทธิ์กับยันต์ศักดิ์สิทธิ์ไป” คนเก็บเงินทำหน้าเบื่อหน่าย

“นี่ 20 ก้อน” หนานกงเวิ่นเทียนจ่ายเงิน

“จิ๊ๆ คุณชายก็คือคุณชายจริง ๆ ไม่คิดเลยว่าจะมาเที่ยวเล่นที่นี่” คนที่เก็บเงินมองแผ่นหลังของหนานกงเวิ่นเทียนกับหลงหลิวหลีแล้วพูดขึ้น

ทั้งสองคนเดินตามรถเข้าไปในเหมืองแร่ คนงานเหมืองที่ทำงานมาหลายปีบอกพวกเขาว่า หากรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวก็ให้รีบออกมาทันที แต่ว่าถ้าหากออกมาไม่ได้จริง ๆก็ให้ฉีกยันต์ศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาได้รับไป ตรงนั้นจะมีทางเชื่อมให้ออกมาได้เลย หลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนตั้งใจฟัง คนที่เหลือกลับไม่ได้สนใจมากนัก คนงานเหมืองแร่ถึงแม้ไม่รู้จะทำอย่างไรแต่ว่าอะไรที่ควรพูดก็พูดต่อไป

พอทั้งสองคนมาถึงถ้ำเหมืองแร่ก็พบว่าบริเวณรอบๆถูกขุดไปหมดแล้ว ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ คนทั้งสองจึงเดินต่อเข้าไปด้านในแต่ก็ไม่พบอะไร

“นายท่าน 100 เมตรด้านหน้ามีสินแร่ที่ยังไม่มีใครขุดไป” โม่หรานส่งเสียงบอก

“โม่หราน เจ้าสามารถหาสินแร่ได้งั้นหรือ” หลิวหลีนึกไม่ถึงเลยว่ามิติที่สูบพลังเซียนกับหินวิญญาณ นอกจากจะเป็นสวนสมุนไพรและที่พักพกพาได้แล้ว ยังทำเช่นนี้ได้ด้วย

“ได้สิ นายท่าน ท่านแค่ขุดรูเล็กๆไว้สักรู ข้าก็จะรู้เส้นทางแร่ได้ทั้งหมดแล้ว” โม่หรานพูดด้วยท่าทีลำพองใจ

“เอาล่ะ ยกเรื่องนี้ให้เจ้าจัดการแล้วกัน” หลิวหลีรู้สึกว่าครั้งนี้ตัวเองจะต้องได้อะไรกลับไปมากมายแน่

หลิวหลีจึงใช้จอบลองขุดดูตามคำแนะนำของโม่หรานก็พบว่าแข็งมากทีเดียว

“จอบห่วยแตกอันนี้ใช้ไม่ค่อยได้เรื่องเลย” หลิวหลีไม่พอใจกับเครื่องมือนี้นัก

“เฮ้อ แต่ก็ไม่มีเครื่องมืออื่นแล้วล่ะ” หนานกงเวิ่นเทียนก็ลองแล้ว หากว่าใช้จอบห่วยแตกแบบนี้กันหมด เจ้าของถ้ำเหมืองแร่คงได้กำไรไม่น้อย

“อืม ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธีสักหน่อย” หลิวหลีขบคิด

“ร้อนสุดกับเย็นสุดเจอกันจะทำให้เกิดรอยแยก ถ้าเป็นเช่นนี้ข้าจะใช้เพลิงอัคคีแผดเผาก่อน แล้วเสี่ยวเทียนเจ้าค่อยใช้พลังเหมันต์ลดอุณหภูมิ” หลิวหลีกล่าว

“ลองดูก็ได้” หนานกงเวิ่นเทียนรู้สึกว่าวิธีนี้ลองดูได้ แต่ในความเป็นจริงก็คือ

“หลิวหลี เจ้าควบคุมเพลิงอัคคีให้ช้าลงหน่อย ทางแร่เส้นเมื่อครู่นั้นถูกเจ้าหลอมละลายไปมากกว่าครึ่งแล้ว” หนานกงเวิ่นเทียนแนะนำ

“เฮ้อ ข้าประเมินค่าความแข็งของหินพวกนี้มากเกินไป” เมื่อครู่เส้นทางแร่เส้นนั้นเกือบจะถูกหลิวหลีหลอมละลายจนหมด เพลิงอัคคีมีอุณหภูมิสูงซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ความร้อนสุดเย็นสุดมาทำให้แตกออกเลย ดังนั้นหลิวหลีใช้เพลิงอัคคีเปิดทาง โม่หรานหาสินแร่ หลิวหลีกวาดล้างทางแร่มาจนเกือบหมด ทั้งสองยังคงปลอมเป็นผู้บำเพ็ญในช่วงอมตะ ด้วยประสาทเซียนที่แข็งแกร่งทำให้หลบหลีกผู้คนได้ไม่น้อย

“นายท่าน ข้างล่างมีแร่เหล็กแดง แต่ว่ามีจำนวนไม่มาก” เสียงของโม่หรานดังแว่วออกมา

หลิวหลีเกิดอาการดีใจ แค่มีก็พอแล้วเพราะเป็นชนิดแร่ที่นางต้องการอยู่พอดี หลิวหลีหลอมละลายพื้นผิวเปลือกนอกออกอย่างไม่คิดเกรงใจ เก็บแร่เหล็กแดงมาทั้งหมดซึ่งมีไม่เยอะจริง ๆ

“เสี่ยวเทียนข้าหาสินแร่เจอแล้วชนิดหนึ่ง” หลิวหลีดีใจอยู่บ้าง มีตัวช่วยตรวจจับค้นหาสมบัติแบบนี้ ช่างดีจริง ๆ

“เห็นแล้ว หลิวหลี เจ้ามีหนูช่วยหาสมบัติหรือ” หนานกงเวิ่นเทียนถาม หนึ่งครั้งคือบังเอิญ สองครั้งก็อาจจะบังเอิญ แต่นี่มันหลายครั้งแล้ว หนานกงเวิ่นเทียนอดที่จะสงสัยไม่ได้

“เปล่า เสี่ยวเทียนตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา พอถึงเวลาข้าจะบอกเจ้าเอง เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังบอกไม่ได้” หลิวหลีนึกไม่ถึงว่าหนานกงเวิ่นเทียนจะช่างสังเกตถึงเพียงนี้ หลิวหลีมองตาหนานกงเวิ่นเทียน

“เอาเถอะ ข้าเคารพในการตัดสินใจของเจ้า” หนานกงเวิ่นเทียนหลุบสายตา เขาสงสัยมาตลอดว่าฮูหยินของเขามีความลับเพียงแต่เมื่อครั้งนี้จับได้คาหนังคาเขา เขาก็จะรอวันที่หลิวหลียินยอมบอกเขาเอง

“ขอบคุณนะเสี่ยวเทียน ข้าโชคดีเหลือเกินที่ได้เจอเจ้า” หลิวหลีกอดหนานกงเวิ่นเทียนแล้วออดอ้อน

“คิดไม่ถึงว่าผู้ชายสองคนจะมากอดกันอยู่แถวนี้ เสียบรรยากาศจริง ๆ” เสียงแหลมของผู้หญิงดังขึ้นข้างหูของพวกเขาสองคน

หลิวหลีขมวดคิ้ว คนผู้นี้เป็นใคร นางทำผิดศีลธรรมตรงไหน คนที่นางกอดอยู่เป็นคู่หมั้นที่ถูกต้องของนาง

“พวกเราไปกันเถอะ” หนานกงเวิ่นเทียนขมวดคิ้ว ผู้บำเพ็ญหญิงผู้นี้น่ารังเกียจจริงๆ หนานกงเวิ่นเทียนพาหลิวหลีเดินจากไป

“ผู้ชายสองคนยื้อยุดฉุดกระชากกันไปมาแล้วยังจะไม่ให้คนเขาว่าอีก” เจ้าของเสียงพูดต่อ เจียงชิงเฉิงมองทั้งสองคนที่เดินจากไปไกลด้วยความโมโห จริง ๆเลย ผู้ชายที่เกิดมาหน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้ทำไมถึงคิดสั้นเช่นนี้ เจียงชิงเฉิงจ้องมองแผ่นหลังของหลิวหลี นางจะลองดูสักตั้ง ชายรูปงามผู้นี้จะต้องเป็นของนาง

ทั้งสองคนเดินตามคลื่นตรวจจับของโม่หรานต่อไป เจอสินแร่lไม่น้อย ระหว่างนั้นเกิดเรื่องแทรกเข้ามา พวกเขาได้เจอกับเรื่องที่มีคนร้ายดักทำร้ายสาวงามซึ่งผู้คนต่างพากันเล่าลือ สาวงามคนนั้นดันเป็นคนที่ทำให้ทั้งสองคนไม่พอใจเมื่อครู่

อย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับพวกหลิวหลี ทั้งสองคนตัดสินใจเตรียมจะหันหลังเดินจากไป แต่ใครจะไปรู้ว่าผู้หญิงคนนี้อยู่ดี ๆ ก็เกิดบ้าวิ่งมาหานาง

“คุณชาย ช่วยด้วย” เจียงชิงเฉิงวิ่งเข้าไปหาหลิวหลี หลิวหลีหันหลบ ปล่อยคนโรคจิตออกมาได้อย่างไร หากไปทำร้ายคนอื่นเข้าจะทำอย่างไรแต่จะให้ทำร้ายพืชไม้ใบหญ้าก็ไม่ได้เช่นกัน

“อ้าว นังหนู เจ้าคิดจะสอดมือเข้ามายุ่งหรือ พลังบำเพ็ญเพียรเพิ่งจะอยู่ในช่วงอมตะ พี่ใหญ่ของพวกเราเป็นผู้บำเพ็ญอยู่ในช่วงอมตะขั้นสุดยอด อีกเพียงนิดเดียวก็จะเข้าสู่ช่วงปราณก่อนกำเนิด รีบมอบตัวนังหนูที่อยู่ข้างหลังออกมาเสียดีๆ” คนร้ายกล่าว

“เปล่าสักหน่อย ข้าก็กำลังจะหลีกทางให้พวกเจ้า” หลิวหลีออกตัวว่านางไม่รู้เห็นและหลบ

 นางเบี่ยงตัวหลบมาตลอด

คนร้ายไม่มีอะไรจะพูด ไม่ทำตัวเป็นวีรบุรุษช่วยสาวงามหน่อยหรือ

“คุณชาย ท่านจะไม่ช่วยข้าได้อย่างไร” เจียงชิงเฉิงแทบไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเองว่าจะมีคนมองข้ามสาวงามอย่างนาง

“ทำไมต้องช่วยเจ้าด้วย เจ้าเป็นอะไรกับข้า ข้าเป็นคนไร้ศีลธรรมมิใช่หรือ” หลิวหลีคร้านจะพูดกับคนที่สมองมีปัญหาด้วยซ้ำ

“คุณชาย ข้ายินดีใช้ตัวของข้าทดแทนบุญคุณ” เจียงชิงเฉิงพูดด้วยความเขินอาย

“เอ่อ คนที่อยู่ข้างท่านนั้นดูมีอนาคตมากกว่า เจ้าดูสิ ข้าเพิ่งจะอยู่ในช่วงอมตะ พี่ชายท่านนั้นจะเข้าสู่ช่วงปราณก่อนกำเนิดแล้ว” หลิวหลีพูดอย่างตรงไปตรงมา

“เจ้า เจ้า เจ้า” เจียงชิงเฉิงโมโหจนพูดไม่ออก คนผู้นี้ทำไมถึงได้ดื้อด้านเช่นนี้นะ

หนานกงเวิ่นเทียนทำสีหน้าเย็นชา เดินเข้าไปในทันที

“เจ้าจะทำอะไร?” เจียงชิงเฉิงมองหนานกงเวิ่นเทียนด้วยความหวาดกลัว หนานกงเวิ่นเทียนฉีกยันต์ศักดิ์สิทธิ์ของนาง คิดไม่ถึงกล้ามาแย่งคู่หมั้นของเขาหรือ

“พวกเจ้า กล้าปล่อยนังหนูคนนั้นหนีไปงั้นหรือ” คนร้ายพูดขึ้น

“พวกเจ้าก็ออกไปด้วยเลยแล้วกัน” หลิวหลีหัวเราะแล้วพูดขึ้น สิ้นเปลืองเวลาอันมีค่าของนาง ฉีกยันต์ศักดิ์สิทธิ์ของทั้งสองคน แล้วทั้งสองคนก็เดินจากไป

ด้านนอกถ้ำเหมืองแร่ เจียงชิงเฉิงมองสถานการณ์โดยรอบด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก

“คุณหนู ทำไมถึงได้ออกมาเร็วนักล่ะ” ผู้ดูแลถ้ำเหมืองแร่รีบร้อนเข้ามาประจบประแจงอย่างโจ่งแจ้ง คนร้ายเมื่อครู่ก็ออกมาพอดี

“จับพวกเขาไว้ เมื่อครู่กล้าเสียมารยาทกับข้า อีกอย่างเดี๋ยวอีกครู่ หากมีชายท่าทางดูดีสองคนเดินออกมาให้มารายงานข้าด้วย ข้าจะไปหาท่านพ่อ” เจียงชิงเฉิงกำชับแล้วก็จากไป คนผู้นั้น นางจะต้องได้มาครอบครอง

หลิวหลีย่อมไม่รู้ว่าตัวเองถูกคนอื่นมองว่าเป็นผู้ชายแล้วคิดถึงคะนึงหาอยู่ พวกเขากำลังหาสินแร่ชนิดสุดท้ายนั่นก็คือแร่โลหะเงิน

“เหลืออีกแค่สองที่ หากยังหาไม่เจออีกก็ควรออกไปได้แล้ว” หนานกงเวิ่นเทียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก เหมืองแร่นี้ไม่ควรอยู่นานจริง ๆด้วย

“ให้ เสี่ยวเทียน ถือไว้น่าจะดีขึ้นบ้าง” หลิวหลีส่งหยกเหมันต์ให้ น่าจะรู้สึกดีขึ้นบ้าง หนานกงเวิ่นเทียนพกติดตัวไว้ อาการก็ดีขึ้นบ้างเล็กน้อย

“หาเจอก็หา หาไม่เจอก็ค่อยออกไปซื้อเอา” หลิวหลีไม่ได้คาดหวังมาก นางได้อะไรกลับมาไม่น้อยแล้ว

“ไปอีกสองที่คงไม่เป็นไร” หนานกงเวิ่นส่ายหัวแล้วพูดขึ้น

“นายท่าน 500 เมตรข้างหน้ามีแร่” โม่หรานส่งเสียงบอกหลิวหลีอีกครั้ง

หลิวหลีสูดหายใจเข้าลึก เพราะใช้เพลิงอัคคีเป็นระยะเวลานานจึงทำให้นางสูญเสียพลังงานไปไม่น้อยเหมือนกัน เผาหินผิวพื้นนอกออก พวกเขาหาแร่โลหะเงินเจอแล้วจริง ๆ

“ดูท่าแล้ว ฟ้ายังคงเมตตาเราอยู่” หลิวหลีมองแร่โลหะเงินแล้วพูดขึ้น

ทั้งสองคนออกมาจากถ้ำเหมืองแร่แล้วคืนจอบศักดิ์สิทธิ์ไป แต่กลับถูกขวางไว้

“ทั้งสองท่าน คุณหนูของข้าเรียนเชิญ” ผู้ดูแลขวางทั้งสองคนไว้

“พวกเราไม่น่ารู้จักคุณหนูของเจ้าหรอกกระมัง” หลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนพบว่าพวกเขาไม่รู้จักคุณหนูอะไรเลยจริงๆ

“ในเมื่อได้รับคำเชิญจากคุณหนูของข้าก็ถือเป็นวาสนาของพวกเจ้า ฟังให้ดีแล้วกัน คุณหนูของข้าก็คือคุณหนูเจียงชิงเฉิงแห่งบ้านสกุลเจียง เป็นบ้านสกุลที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านว่านจิน” ผู้ดูแลพูดขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ

“เสี่ยวเทียนเจ้ารู้จักไหม”

“ไม่รู้จัก” หนานกงเวิ่นเทียนส่ายหน้า หลิวหลีเดาว่าน่าจะเป็นผู้หญิงที่อยู่ในถ้ำเหมืองแร่คนนั้น ช่างน่ารำคาญเหลือเกิน พวกเขามีเวลาไปเจอคุณหนูอะไรนี่ที่ไหนกัน

“ขอโทษที พวกเราไม่รู้จัก”

“สารเลวตัวไหนกล้าเสียมารยาทกับลูกสาวของข้า” เสียงตวาดด้วยความโมโหดังขึ้นแทรกคำพูดของหลิวหลี

……………………………………………….