อันหลินกับสวีเสี่ยวหลานตะโกนเรียกชื่อของอีกฝ่ายพร้อมกัน
ฝูงชนที่มุงดูในลานฝึกยุทธ์ชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ได้สติ
อันหลินเป็นนักเรียนห้องหนึ่งของสรวงสวรรค์ พวกเขาสองคนเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน!
มิหนำซ้ำ…อันหลินมาสำนักวิหคชาด ร้อยทั้งร้อยต้องมาหาสวีเสี่ยวหลานเป็นแน่…
ด้วยเหตุนี้ บรรยากาศในที่เกิดเหตุจึงเริ่มแปลกพิกลขึ้นมา
โดยเฉพาะลูกศิษย์ชายบางส่วน รู้สึกหัวใจวูบโหวง ใจคอเหี่ยวแห้งเหลือเกิน
ว่าอย่างไรดีล่ะ…
อันหลินตั้งใจมาหาสวีเสี่ยวหลาน หมายความว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองต้องไม่ธรรมดาแน่
ส่วนสวีเสี่ยวหลานรูปโฉมงามสะคราญ พรสวรรค์เลิศล้ำ เป็นเทพธิดาในดวงใจของลูกศิษย์หลายคนในสำนัก
บุรุษวิ่งโร่มาหว่านเสน่ห์เทพธิดา สัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งของเขาเก่งกาจเหลือหลาย ความสามารถของเจ้าตัวคงจะไม่ห่างกันมากนัก
เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาไม่มีแม้แต่โอกาสจะเยาะเย้ยถากถางด้วยซ้ำ จะไม่วุ่นวายใจได้อย่างไร
ถูกลูกศิษย์มากมายปานนั้นจับจ้อง ใบหน้าขาวผุดผ่องของสวีเสี่ยวหลานแดงระเรื่อเล็กน้อย
ปกติต่อให้เผชิญหน้ากับคนนับหมื่น นางไม่เคยหน้าแดงใจเต้นแรงด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้คนพวกนี้ไม่ได้มอง ‘นาง’ แต่มอง ‘นางกับอันหลิน’…
“เจ้า…เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
หัวใจของสวีเสี่ยวหลานเต้นไม่เป็นส่ำ เสียงไพเราะเจือความอ่อนหวานดังออกมาจากปากของนาง
“มาหาเจ้าไง” อันหลินกะพริบตาปริบๆ ราวกับกำลังพูดว่า ‘มันชัดเจนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ’
“โอ้…” ศิษย์หญิงที่ห้อมล้อมก็เริ่มเอ็ดอึงกันขึ้นมา
ศิษย์ชายดั่งถูกมีดกรีดหัวใจ เจ็บเหลือเกิน!
เสียงอื้ออึงรอบข้างทำให้ใบหน้าของสวีเสี่ยวหลานแดงลามไปถึงใบหู
นางรู้สึกประดักประเดิด ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี สุดท้ายก็ขบกราม ฉวยมืออันหลินแล้วขึ้นขี่กระบี่ “ไป เราไปคุยกันที่อื่น!”
พูดจบก็เหาะออกจากลานฝึกยุทธ์ทันใด
“โฮ่ง! รอข้าด้วยสิ!” ต้าไป๋ตะโกนเสียงดังแล้วเหาะตามไป
เจ้าอัปลักษณ์และหลานเยียนก็กลายเป็นลำแสงพุ่งตามไปติดๆ
เหล่าลูกศิษย์ในลานฝึกยุทธ์เหม่อมองทั้งสองที่เหาะไปไกลด้วยจิตใจที่สับสนวุ่นวาย
เชื่อว่าเวลาไม่ถึงครึ่งวัน…
ข่าวใหญ่โตก็คงจะลือกระฉ่อนไปทั่วสำนักวิหคชาดเป็นแน่
สะเทือนสำนัก!
ชายลึกลับบุกสำนักวิหคชาดอย่างหาญกล้า ย่างม่อไห่ก่อน จากนั้นลากเทพธิดาเสี่ยวหลานไปเหาะเคียงคู่กัน!
สวีเสี่ยวหลานพาอันหลินเหาะไปยังสวนแห่งหนึ่ง
เมื่อนางสงบสติอารมณ์แล้ว ก็เริ่มบ่นอุบอิบขึ้นมา “เจ้ามาหาข้า ทำไมไม่บอกข้าล่วงหน้าเลยล่ะ”
อันหลินพูดอย่างรู้สึกผิดว่า “ตัดสินใจฉุกละหุกนี่นา เพราะปิดเทอมน่าเบื่อเสียเหลือเกิน จึงอยากไปเที่ยวเล่นที่นั่นที่นี่สักหน่อย เอ่อ…ทำเจ้าเดือดร้อนใช่ไหม”
เมื่อสวีเสี่ยวหลานได้ฟังก็ฮึดฮัดในลำคอ ไม่ตอบอะไร แต่ในใจกลับอุ่นวาบขึ้นมา
ขณะนั้นเอง ต้าไป๋ก็พุ่งลงมาจากฟ้า เจ้าอัปลักษณ์และหลานเยียนก็ตามมาถึงแล้วเช่นกัน
“ฮ่าๆ ศิษย์น้องเสี่ยวหลาน ที่แท้เขาก็คืออันหลินที่เจ้าเอ่ยถึงบ่อยๆ หรือ”
หลานเยียนคิดว่าทุกอย่างช่างน่าสนุกเหลือเกิน ไม่คิดเลยว่าตัวประหลาดที่นางเจอ จะเป็นอันหลินที่สวีเสี่ยวหลานว่า!
“ใครพูดถึงบ่อยๆ กัน เพียงแค่เอ่ยถึงเป็นครั้งคราวก็เท่านั้น” สวีเสี่ยวหลานแย้งอย่างร้อนรน
“ถึงว่าช่วงนี้พี่อันจามไม่หยุด ที่แท้ก็เสี่ยวหลานนี่เองที่คิดถึงเจ้า” ต้าไป๋พูดตีไข่ใส่สีอยู่ข้างๆ
อันหลินลูบคาง พูดอย่างกระจ่างใจเมื่อได้รับคำอธิบาย “แบบนี้นี่เอง”
ใบหน้าที่กลับมาขาวอย่างยากเย็นของสวีเสี่ยวหลาน บัดนี้มันเริ่มแดงระเรื่ออีกแล้ว พูดกระอึกกระอักว่า “แบบนี้นี่เองกับผีอะไร! อย่าคิดไปเองนะ!”
หลานเยียนกลับไม่ใส่ใจ เพ่งพิศประเมินอันหลิน สุดท้ายก็พยักหน้าอย่างพออกพอใจ “อืม…อันหลินคนนี้มองแล้วนับว่าสะดุดตา แถมยังหนึ่งแถมหนึ่ง ศิษย์น้องไม่ขาดทุนแล้ว”
“ถือว่าผ่านด่านวิเคราะห์ของศิษย์พี่”
พูดจบ หลานเยียนก็มองอันหลินอย่างให้กำลังใจ
สวีเสี่ยวหลานอัดอั้นตันใจ “ใครขอให้ท่านวิเคราะห์กัน ข้ากับอันหลินเป็นเพียงเพื่อนกัน เข้าใจไหม!”
นางคิดว่าจะถูกก่อกวนเช่นนี้ต่อไปอีกไม่ได้ จึงรีบพูดกับอันหลินทันทีว่า “ไปกันเถอะ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้มาที่นี่สักครา ข้าจะพาเจ้าไปเยี่ยมชมสำนักวิหคชาดหน่อย”
ขณะที่พูดยังไม่วายหันไปถลึงตาใส่หลานเยียนด้วย “ท่านห้ามตามมานะ!”
หลานเยียนยกสองมือขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้ากลับไม่จางหาย “ก็ได้ๆ ไม่เป็นโคมไฟ[1] ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจ…”
เสียงของสวีเสี่ยวหลานสะดุดกึก อยากจะโพล่งออกไปเหลือเกินว่า ‘เจ้าเข้าใจกับผีน่ะสิ!’
สุดท้าย นางก็ดับอารมณ์ชั่ววูบที่จะพูดประโยคนี้ออกมา พาอันหลินขี่กระบี่เหาะไป
กลางสวน ต้าไป๋กับเจ้าอัปลักษณ์สบตากันแวบหนึ่ง
ต้าไป๋ “คือว่า…อย่างเรานับเป็นโคมไฟหรือไม่”
เจ้าอัปลักษณ์ “เจ้าเป็นหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ดวงตาของข้าเหมือนดั่งโคมไฟ จะไม่นับคงไม่ได้หรอกกระมัง”
“ฮ่าๆ ๆ…พวกเจ้าตลกเหลือเกิน ฮ่าๆ ๆ…”
บทสนทนาของต้าไป๋กับเจ้าอัปลักษณ์สะกิดต่อมฮาของหลานเยียนเข้าแล้ว นางจึงหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง
ต้าไป๋ “…”
เจ้าอัปลักษณ์ “…”
กลางอากาศ อันหลินเห็นสถานที่ซึ่งอันหลินใช้บำเพ็ญเพียร สัมผัสมรรควิถีแห่งเพลิงเป็นนิจ ซ้ำยังเห็นอัคคีศักดิ์สิทธิ์วิหคชาดแต่ไกลๆ อีกด้วย
อัคคีศักดิ์สิทธิ์วิหคชาดเป็นเปลวไฟสีขาวบริสุทธิ์ที่ลอยอยู่กลางอากาศ ว่ากันว่ามันสามารถขัดเกลาทุกสรรพสิ่งให้บริสุทธิ์ เป็นเพลิงอันอมตะ สัญลักษณ์ของสำนักวิหคชาด
อัคคีศักดิ์สิทธิ์ไม่ดับสูญ สำนักวิหคชาดก็จะคงอยู่ตลอดกาล
สุดท้ายทั้งสองที่เที่ยวชมทั่วสำนักวิหคชาดแล้ว ก็ร่อนลงบนกิ่งไม้ขนาดใหญ่ในอาณาบริเวณรอบนอกของยอดไม้
กิ่งไม้ทั้งใหญ่และกว้างมาก ทำให้ทั้งสองสามารถเดินข้างกันได้
“เอ๊ะ ที่นี่มีเก้าอี้ไม้ด้วย!” อันหลินวิ่งเข้าไปพลางพูดอย่างประหลาดใจ
สวีเสี่ยวหลานเดินยิ้มแย้มอยู่ข้างหลัง พูดด้วยน้ำเสียงเสนาะหูว่า “นี่เป็นสถานที่ที่ข้าชอบที่สุด เก้าอี้ตัวนี้เป็นของข้า!”
“มา เชิญนั่ง”
อันหลินนั่งลงข้างสวีเสี่ยวหลานตามคำเชื้อเชิญ เก้าอี้ตัวนี้เหมือนม้านั่งยาวที่ตั้งอยู่ตามสวนสาธารณะ แต่เขาเพิ่งเคยนั่งเก้าอี้บนต้นไม้แบบนี้เป็นครั้งแรก
เหนือศีรษะมีกิ่งไม้คอยบัดบังแสงแดดระอุ มีเพียงแสงเล็ดลอดเข้ามาบ้างประปราย ประหนึ่งหิ่งห้อยสีทอง
สายลมโชยแผ่วพัดพาเอากลิ่นหอมของใบไม้เขียวชอุ่มผ่านหน้า เกิดเสียงดังสวบสาบ
อันหลินเผลอบิดขี้เกียจอย่างลืมตัว พูดออกมาว่า “สบายจังเลย”
“อืม ที่นี่เงียบสงบมาก บางครั้งมาตากลมที่นี่ ทอดมองเมฆขาวฟ้าครามอันไกลโพ้น แผ่นดินกว้างใหญ่เบื้องล่าง อารมณ์ก็จะผ่อนคลายโดยไม่รู้ตัว” สวีเสี่ยวหลานเท้าคาง ยิ้มบางๆ แล้วพูดเสียงอ่อนโยน
“อ้อ จริงสิ เจ้ากลัวความสูงไม่ใช่หรือ นั่งอยู่ตรงนี้ไม่กลัวหรือ” สวีเสี่ยวหลานเบนสายตามองอันหลิน ดวงตาสุกใสเจือรอยยิ้ม
มุมปากของอันหลินกระตุก พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าดูถูกข้าเกินไปแล้ว อย่างไรเสียข้าก็เป็นบุรุษที่ขี่ก้อนอิฐเหาะเหิน อุปสรรคใดบ้างที่ข้าไม่เคยพบเจอ!”
สวีเสี่ยวหลานนึกถึงครั้งที่บังคับอันหลินให้ขี่กระบี่ล่องเมฆาด้วยกัน สีหน้าของอันหลินซีดเซียวประหนึ่งวิญญาณหลุดออกจากร่าง จึงอดขำเบาๆ ไม่ได้
นางกระดิกขาเรียวได้รูป พูดต่อว่า “พอเที่ยวชมสำนักวิหคชาดเสร็จแล้ว เจ้าตั้งใจว่าจะไปไหนต่อหรือ”
อันหลินทำท่าครุ่นคิด ความจริงนี่ก็เป็นปัญหาอีกอย่าง ยังเหลือเวลาอีกตั้งยี่สิบวันแน่ะ
เดิมทีเขาตั้งใจว่าจะไปสำนักวิหคชาด จากนั้นก็หาเซวียนหยวนเฉิงที่สำนักเซียนหมื่นชีวิต แล้วค่อยไปเยี่ยมซูเฉี่ยนอวิ๋นที่วังชิงมู่
แต่ว่าตอนนี้เขารู้วิชาหกกระบี่เทพสงคราม พลังต่อสู้เพิ่มขึ้นมากโข ก็เกิดความคิดอื่นอย่างอดไม่ได้
“อาจจะไปหุบเหวหมื่นกาลีสักหน่อย” เขาตอบตามจริง
สีหน้าของสวีเสี่ยวเปลี่ยนไปเมื่อได้ฟัง “ไปที่นั่นทำไม ที่นั่นมีปีศาจร้ายนะ!”
อันหลินพยักหน้า “ข้าอยากเอาชนะปีศาจร้ายนั่นแหละ”
“พอเจ้าทำสำเร็จ เจ้าจะได้ประโยชน์พิลึกอะไรอีกล่ะ” สวีเสี่ยวหลานเลิกคิ้วเล็กน้อยพลางเอ่ยถาม
อันหลิน “…”
เธอเข้าใจฉันขนาดนี้ จะให้ฉันตอบอย่างไรล่ะเนี่ย!
เมื่อเห็นอันหลินไม่ตอบ สวีเสี่ยวหลานก็เบะปากแล้วพูดว่า “ช่างเถอะ เรื่องภายในสำนักข้าก็จัดการเสร็จหมดแล้ว จะได้ไปเป็นองครักษ์ให้เจ้าได้พอดี”
ตาของอันหลินลุกวาว “ได้จริงหรือ แต่หุบเหวหมื่นกาลีอันตรายมากเลยนะ…”
“ฉะนั้นในการคุ้มกันครานี้ ข้าต้องการหนึ่งแสนหินวิญญาณเป็นการตอบแทน จะได้หักล้างกับชุดนั้นของข้าได้พอดี” สวีเสี่ยวหลานพูดยิ้มๆ
อันหลินกะพริบตาปริบๆ “เงินนั่นหักล้างด้วยรูปถ่ายแล้วไม่ใช่หรือ”
“ภาพหมู่ครั้งนั้นไม่นับ ข้าจะเอาเปรียบเจ้าได้อย่างไร ตกลงตามนี้แหละ” สวีเสี่ยวหลานโบกมือด้วยสีหน้าที่หนักแน่น
อันหลินหยุดคิดเล็กน้อย มีผู้ช่วยระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณ นับเป็นเรื่องที่ดีเช่นกัน
“ได้ งั้นก็ตกลงตามนี้!”
……………………………………
[1] เป็นโคมไฟ หมายถึง เป็นก้างขวางคอ