ทั้งคู่เข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย สวีเสี่ยวหลานเป็นองครักษ์ของอันหลินด้วยค่าจ้างหนึ่งแสนหินวิญญาณ
ตกดึก อันหลินกับต้าไป๋นอนค้างอ้างแรมที่หอโฉมงามแห่งสำนักวิหคชาด
‘ตะลึง! ชายลึกลับบุกเข้าสำนักวิหคชาดอย่างหาญกล้า ย่างม่อไห่ก่อน จากนั้นลักพาตัวเทพธิดาเสี่ยวหลานไปบินคู่ชูชื่น!’ ข่าวฮือฮาใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวัน ก็กระจายไปทั่วสำนักวิหคชาดตามที่คาด
ไม่ว่าอันหลินจะเดินออกจากหอ หรือยืนอยู่บนโถงทางเดิน ล้วนเป็นที่จับจ้องของเหล่าลูกศิษย์และข้าทาสบริวารมากมายในสำนัก
พวกเขาต่างก็อยากเห็นชายลึกลับคนนี้ให้ชัดแก่ตาว่า มีสามเศียรหกกร[1]อย่างไรกันแน่ ถึงได้ทำเรื่องที่สะเทือนปฐพีได้เช่นนี้…
อันหลินถอนหายใจเบาๆ ท่าทางชีวิตประจำวันของสำนักบำเพ็ญเซียนเหนือชั้นจะน่าเบื่อจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ซุบซิบนินทาเรื่องเล็กๆ แบบนี้จนถึงขั้นนี้หรอก
เขาเงยหน้าขึ้น ทอดมองอัคคีศักดิ์สิทธิ์วิหคชาดที่ส่องสว่างตลอดกาลกลางนภาอันไกลโพ้น จิตใจเหม่อลอยเล็กน้อย
อัคคีศักดิ์สิทธิ์วิหคชาดเปล่งประกายขาวงดงามท่ามกลางรัตติกาล บริสุทธิ์และสูงส่ง
เป็นดุจประภาคาร ชี้นำเหล่าศิษยานุศิษย์ในสำนัก ทำให้พวกเขารู้ว่า ที่นี่ต่างหากที่เป็นที่พักพิงของพวกเขา
ภายในหอคอยสีทองแห่งหนึ่งของสำนักวิหคชาด ชายวัยกลางคนที่มีผมสีแดงฉานนั่งอยู่บนเก้าอี้ กำลังกินแก้วมังกรอย่างเอร็ดอร่อย
แก้วมังกรลูกนี้เป็นผลไม้วิเศษขั้นสาม มีมังกรไฟตัวน้อยๆ หลายตัวชอนไชอยู่ในเนื้อผลไม้
ทุกคำที่กิน ล้วนเผ็ดร้อนอย่างยิ่ง ไฟอันบริสุทธิ์ไหลตามเนื้อผลไม้ลงไปในท้องของชายคนนี้
“อา…สุดยอด!”
เขาไม่ได้กินแก้วมังกรมานานแล้ว เจ้านี่ราคาสูงหายาก ทุกลูกล้วนเป็นผลไม้ล้ำค่าประมาณค่าไม่ได้
ขณะนั้นเอง ชายชุดแดงคนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วคุกเข่าลงพื้น “รายงานท่านผู้อาวุโสจู สืบเรื่องได้แน่ชัดแล้วขอรับ!”
“อืม ลองว่ามาสิ” ชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่าผู้อาวุโสจูกินผลไม้พลางเอ่ยขึ้นมา
“ศิษย์พี่ม่อไห่ถูกวานรระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลายตัวหนึ่งเผาจนได้รับบาดเจ็บ แต่นี่เป็นคำขอร้องของเขาเอง ลูกไฟสีดำที่วานรตัวนั้นปล่อยออกมา ระดับความบริสุทธิ์ของพลังเพลิงสูงกว่าร้อยละเก้าสิบจริง เจ้านายของมันชื่ออันหลิน เป็นเพื่อนร่วมสำนักสรวงสวรรค์ของศิษย์น้องสวี อีกอย่าง อันหลินยังขี่สัตว์เลี้ยงที่เป็นสุนัขขนสีขาว สุนัขตัวนั้นมีป้ายอาญาสิทธิ์ของผู้อาวุโสแห่งสำนักเรา” ชายชุดแดงรายงานผลลัพธ์ที่เขาสืบมาให้แก่ผู้อาวุโสจูตามความจริง
ผู้อาวุโสจูฟังรายงานของชายหนุ่มแล้วพยักหน้ารัวๆ สุดท้ายก็เลิกคิ้ว “หา สุนัขตัวนั้นมีป้ายอาญาสิทธิ์งั้นหรือ ป้ายอาญาสิทธิ์ของใคร”
“อืม…ป้ายอาญาสิทธิ์มีอักษร ‘จู’ สลักอยู่ขอรับ” ชายหนุ่มกล่าวตามจริง
“แค่กๆ!” ผู้อาวุโสจูสำลักแก้วมังกร
เข้าใจความรู้สึกที่สำลักพริกที่เผ็ดอย่างยิ่งไหม
“น้ำ! แค่ก…น้ำ เอาน้ำมาให้ข้า!” ผู้อาวุโสจูคร่ำครวญ
…
หลังดื่มน้ำไปถังหนึ่ง รวมถึงเม็ดยาดับร้อนสิบเม็ดแล้ว ผู้อาวุโสจูก็นอนแผ่อยู่บนเก้าอี้ โบกมือไล่ชายคนนั้นเป็นเชิงบอกให้ออกไปก่อน
“สุนัขขนสีขาวมีป้ายอาญาสิทธิ์ของข้างั้นหรือ หรือจะเป็นลูกชายของไป๋เซียน”
ผู้อาวุโสจูทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ “คุณพระ ไป๋เซียนยอมให้ลูกชายของเขาเป็นสัตว์คู่กายของชายคนนั้นงั้นหรือ ไม่สิ…ขนาดวานรที่ใช้ไฟตัวนั้นยังเป็นสัตว์เลี้ยงของชายคนนั้นได้เลย อันหลินคนนั้นมีอะไรพิเศษจริงๆ งั้นหรือ”
ผู้อาวุโสจูคิดว่ารู้ข้อมูลเกี่ยวกับอันหลินน้อยเกินไป ต้องตรวจสอบให้ละเอียดอีกหน่อย
อืม เพื่อหลานสาวอย่างสวีเสี่ยวหลาน เขาจำต้องตรวจสอบให้แน่ชัด
ทว่าวันต่อมา ก็มีข่าวสะเทือนวงการอีกครั้ง ทำเอาผู้เป็นอาอย่างผู้อาวุโสจูตกใจจนสะดุ้งโหยง
ตะลึง! ชายลึกลับพาเทพธิดาสวีหนีออกจากสำนักวิหคชาดแล้ว!
ข่าวนี้มีต้นตอมาจากบุคคลนิรนามผู้ไม่ประสงค์ออกนาม และไม่นานก็ได้รับการยืนยัน
หนึ่งวันต่อมา
บนนภาของแคว้นเทียนเหอทางตะวันออกเฉียงใต้ของแดนจิ่วโจว
ก้อนอิฐสีดำขนาดใหญ่ที่ปกคลุมด้วยม่านแสงสีทองพุ่งผ่านไป
“ผ่อง[2]”
“ผ่อง!”
“น็อค!”
“ฮ่าๆ”
“ชิงอีเส้อ[3] ชนะแล้ว!”
อันหลินหัวเราะร่า ได้หินวิญญาณเพิ่มอีกเป็นกองแล้ว
บนโต๊ะนกกระจอก สวีเสี่ยวหลานทอดถอนใจ เจ้าอัปลักษณ์เกาหัว ต้าไป๋ทำหน้าทุกข์ระทม
อันหลินสมกับเป็นเจ้าแห่งไพ่กระจอก ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เชื่อ บัดนี้กลับตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว
ตลอดทั้งวันนี้ เขาชนะได้มาหลายพันหินวิญญาณแล้ว
คนที่เหลือนอกจากสวีเสี่ยวหลานที่ขาดทุนเล็กน้อยแล้ว ต้าไป๋กับเจ้าอัปลักษณ์ต่างก็ขาดทุนย่อยยับ
เสี่ยวหงยืนอยู่ข้างก้อนอิฐ ส่ายหัวดอกไม้สีแดงของมันไปมา กำลังทำการสังเคราะห์แสงอยู่
“เจ้ากังหันลมหมุนติ้ว ทิวทัศน์ที่นี่ช่างงามเสียจริง ท้องฟ้าสดใส พสุธางดงาม พร้อมด้วยผองเพื่อนที่ร่วมสุขใจ…”
นี่เป็นเพลงสังเคราะห์แสงที่อันหลินสอนมัน เพลงนี้มันร้องได้ทั้งวัน!
หุบเหวหมื่นกาลีตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของแดนจิ่วโจว เป็นกำแพงธรรมชาติที่แบ่งเขตระหว่างแดนจิ่วโจวกับเผ่าพันธุ์มด
เผ่าพันธุ์มดนับว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่ค่อนข้างเลื่องชื่อในแผ่นดินบรรพกาล สุดยอดผู้แข็งแกร่งไม่มาก แต่เหนือกว่าด้วยความสามารถในการสืบพันธุ์ จำนวนประชากรเยอะถึงขั้นฆ่าไม่หมด
หากไม่เอาแต่ดำเนินแผนการสืบพันธุ์อยู่ตลอด คาดว่าแม้แต่เปลือกแผ่นดินของตัวเองก็คงจะแทะจนหมดสิ้นแล้ว
ความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าพันธุ์มดและมนุษย์เลวร้ายอย่างยิ่ง
หากทางตอนเหนือของเผ่าพันธุ์มดไม่มีเหวขนาดใหญ่อย่างหุบเหวหมื่นกาลี ทิศตะวันตกมีเผ่าพันธุ์สัตว์คอยควบคุม เกรงว่าคงจะสู้รบกับนักพรตแดนจิ่วโจวตลอดเวลาเฉกเช่นสาวหิมะ
“รีบดูเร็วเข้า ข้างหน้านั่นก็หุบเหวหมื่นกาลีแล้ว!” เสี่ยวหงโยกตัวไปมาพร้อมกับตะโกนเสียงหวานหยดย้อย
พวกอันหลินได้ฟังก็มองไปข้างหน้า หุบเหวขนาดมหึมากว้างหลายร้อยจั้ง ลึกไม่รู้ตั้งเท่าใดปรากฏแก่สายตา
ทั้งๆ ที่ดวงตะวันลอยเด่นกลางนภา แต่รอยแยกของแผ่นดินผืนนี้กลับดำทะมึนจนชวนให้พรั่นใจ ราวกับจะกลืนกินแสงสว่างทั้งปวงให้สิ้นซาก
ไม่นานทุกคนก็ลอยอยู่เหนือหุบเหว
“พวกเราจะเหาะลงไปเลยหรือ”
สวีเสี่ยวหลานจ้องรอยแยกมืดมิดและลึกล้ำเบื้องล่างพลางเอ่ยถาม
อันหลินพยักหน้า “เจ้าอัปลักษณ์ เปิดไฟ!”
เจ้าอัปลักษณ์ “…”
จู่ๆ ดวงตาสีทองของเจ้าอัปลักษณ์ก็สาดแสงเจิดจ้าออกมา ส่องลงไปเบื้องล่างประหนึ่งไฟฉาย
“โอ้โฮ สุดยอดไปเลย!” สวีเสี่ยวหลานอุทาน
ก้อนอิฐสีดำจึงค่อยๆ ร่อนลงไปด้วยประการฉะนี้
ทุกคนต่างก็เริ่มไม่นิ่งนอนใจ เข้าสู่สภาวะพร้อมรบ
หุบเหวหมื่นกาลีนอกจากจะมีปีศาจร้ายจำนวนน้อยนิดแล้ว ยังมีสัตว์ประหลาดชั่วร้ายมากมายเหลือคณานับ พวกมันซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด อาจจะโผล่ออกมาโจมตีพวกเขาเมื่อใดก็ได้
เมื่อเหาะลึกลงไปเรื่อยๆ แสงสว่างก็สลัวลงเรื่อยๆ
พอแหงนหน้ามองเบื้องบน ก็เห็นผืนฟ้าเป็นดุจแถบสีขาว และมันก็แคบลงทุกที
เสี่ยวหงเริ่มหดหัวซ่อนตัวอยู่ในกระเป๋าของอันหลินอีกครั้ง ลอบสังเกตการณ์เงียบๆ
“ยังไม่ถึงก้นเหวอีกหรือ รู้สึกเหมือนพวกเราจะลงมาได้พันเมตรแล้วนะ” สวีเสี่ยวหลานกลัวความมืดมากทีเดียว ยามนี้จึงพูดขึ้นมาอย่างกระวนกระวาย
เจ้าอัปลักษณ์ส่ายหน้า “ยังเลย ตอนนี้ไฟฉายของข้าก็ยังส่องไม่ถึงก้นเหว อย่างน้อยยังมีความลึกอีกร่วมพันเมตร”
“น้องสาม ในที่สุดเจ้าก็ยอมรับแล้วว่าดวงตาของเจ้าเป็นไฟฉาย โฮ่ง!” ต้าไป๋แสดงการมีตัวตนออกมาอย่างลิงโลดใจ
เจ้าอัปลักษณ์ “…”
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงลอยลงไปอีกหนึ่งพันเมตร
ขณะนั้นเอง อากาศรอบข้างก็เริ่มเย็นยะเยือก อับชื้น แสงสว่างก็มืดจนแทบจะไม่มีให้เห็น
ไฟฉายของเจ้าอัปลักษณ์ก็ยังคงส่องไม่ถึงก้นเหว
ตอนนี้ห่างจากผิวดินสองพันเมตรแล้ว
สามพันเมตร
ห้าพันเมตร
แปดพันเมตร
…
อากาศก็เริ่มเบาบางลงมากแล้วเช่นกัน
หากไม่ใช่เพราะพวกอันหลินบำเพ็ญเพียรกายแห่งมรรค เกรงว่าคงจะขาดอากาศหายใจไปนานแล้ว
เงยหน้ามองขึ้นไป ท้องฟ้ากลายเป็นเส้นสีขาวแล้ว
เพราะมีก้อนหินขรุขระ รวมถึงชั้นหินของเหวลึกที่ปูดโปนไม่เป็นระเบียบ จึงเห็นเส้นสีขาวเพียงรำไร
รอบตัวมืดมิด เงียบสงัด
มีเสียงน้ำหยดดังกังวานชัดเจนเป็นครั้งคราว ที่เหลือมีแต่เสียงหายใจเนิบนาบของทุกคน
“ถึงแล้ว ข้ามองเห็นก้นเหวแล้ว!” จู่ๆ เจ้าอัปลักษณ์ก็โพล่งขึ้นมา
ทุกคนได้ฟังก็อดถอนหายใจด้วยความโล่งอกไม่ได้
เมื่อเหาะลงมานับหมื่นเมตร ในที่สุดพวกเขาก็ถึงก้นเหวแล้ว!
………………………………
[1] สามเศียรหกกร หมายถึง คนที่มีความเก่งกาจสามารถเหนือคนธรรมดา
[2] ผ่อง เป็นคำศัพท์ของไพ่นกกระจอก ไพ่ที่เหมือนกันทั้ง 3 ตัว หรือเรียกอีกอย่างว่า ไพ่ตอง
[3] ชิงอีเส้อ หมายถึง เป็นวิธีการชนะอย่างหนึ่งของการเล่นไพ่นกกระจอก ผู้ที่ชนะด้วยวิธีนี้จะต้องมีถือไพ่ชุดที่มีจำนวนระบุอยู่หน้าไพ่เป็นประเภทเดียวกันทั้งหมด