ตอนที่ 145 หุบเหวหมื่นกาลี

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

ทั้งคู่เข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย สวีเสี่ยวหลานเป็นองครักษ์ของอันหลินด้วยค่าจ้างหนึ่งแสนหินวิญญาณ

ตกดึก อันหลินกับต้าไป๋นอนค้างอ้างแรมที่หอโฉมงามแห่งสำนักวิหคชาด

‘ตะลึง! ชายลึกลับบุกเข้าสำนักวิหคชาดอย่างหาญกล้า ย่างม่อไห่ก่อน จากนั้นลักพาตัวเทพธิดาเสี่ยวหลานไปบินคู่ชูชื่น!’ ข่าวฮือฮาใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวัน ก็กระจายไปทั่วสำนักวิหคชาดตามที่คาด

ไม่ว่าอันหลินจะเดินออกจากหอ หรือยืนอยู่บนโถงทางเดิน ล้วนเป็นที่จับจ้องของเหล่าลูกศิษย์และข้าทาสบริวารมากมายในสำนัก

พวกเขาต่างก็อยากเห็นชายลึกลับคนนี้ให้ชัดแก่ตาว่า มีสามเศียรหกกร[1]อย่างไรกันแน่ ถึงได้ทำเรื่องที่สะเทือนปฐพีได้เช่นนี้…

อันหลินถอนหายใจเบาๆ ท่าทางชีวิตประจำวันของสำนักบำเพ็ญเซียนเหนือชั้นจะน่าเบื่อจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ซุบซิบนินทาเรื่องเล็กๆ แบบนี้จนถึงขั้นนี้หรอก

เขาเงยหน้าขึ้น ทอดมองอัคคีศักดิ์สิทธิ์วิหคชาดที่ส่องสว่างตลอดกาลกลางนภาอันไกลโพ้น จิตใจเหม่อลอยเล็กน้อย

อัคคีศักดิ์สิทธิ์วิหคชาดเปล่งประกายขาวงดงามท่ามกลางรัตติกาล บริสุทธิ์และสูงส่ง

เป็นดุจประภาคาร ชี้นำเหล่าศิษยานุศิษย์ในสำนัก ทำให้พวกเขารู้ว่า ที่นี่ต่างหากที่เป็นที่พักพิงของพวกเขา

ภายในหอคอยสีทองแห่งหนึ่งของสำนักวิหคชาด ชายวัยกลางคนที่มีผมสีแดงฉานนั่งอยู่บนเก้าอี้ กำลังกินแก้วมังกรอย่างเอร็ดอร่อย

แก้วมังกรลูกนี้เป็นผลไม้วิเศษขั้นสาม มีมังกรไฟตัวน้อยๆ หลายตัวชอนไชอยู่ในเนื้อผลไม้

ทุกคำที่กิน ล้วนเผ็ดร้อนอย่างยิ่ง ไฟอันบริสุทธิ์ไหลตามเนื้อผลไม้ลงไปในท้องของชายคนนี้

“อา…สุดยอด!”

เขาไม่ได้กินแก้วมังกรมานานแล้ว เจ้านี่ราคาสูงหายาก ทุกลูกล้วนเป็นผลไม้ล้ำค่าประมาณค่าไม่ได้

ขณะนั้นเอง ชายชุดแดงคนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วคุกเข่าลงพื้น “รายงานท่านผู้อาวุโสจู สืบเรื่องได้แน่ชัดแล้วขอรับ!”

“อืม ลองว่ามาสิ” ชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่าผู้อาวุโสจูกินผลไม้พลางเอ่ยขึ้นมา

“ศิษย์พี่ม่อไห่ถูกวานรระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลายตัวหนึ่งเผาจนได้รับบาดเจ็บ แต่นี่เป็นคำขอร้องของเขาเอง ลูกไฟสีดำที่วานรตัวนั้นปล่อยออกมา ระดับความบริสุทธิ์ของพลังเพลิงสูงกว่าร้อยละเก้าสิบจริง เจ้านายของมันชื่ออันหลิน เป็นเพื่อนร่วมสำนักสรวงสวรรค์ของศิษย์น้องสวี อีกอย่าง อันหลินยังขี่สัตว์เลี้ยงที่เป็นสุนัขขนสีขาว สุนัขตัวนั้นมีป้ายอาญาสิทธิ์ของผู้อาวุโสแห่งสำนักเรา” ชายชุดแดงรายงานผลลัพธ์ที่เขาสืบมาให้แก่ผู้อาวุโสจูตามความจริง

ผู้อาวุโสจูฟังรายงานของชายหนุ่มแล้วพยักหน้ารัวๆ สุดท้ายก็เลิกคิ้ว “หา สุนัขตัวนั้นมีป้ายอาญาสิทธิ์งั้นหรือ ป้ายอาญาสิทธิ์ของใคร”

“อืม…ป้ายอาญาสิทธิ์มีอักษร ‘จู’ สลักอยู่ขอรับ” ชายหนุ่มกล่าวตามจริง

“แค่กๆ!” ผู้อาวุโสจูสำลักแก้วมังกร

เข้าใจความรู้สึกที่สำลักพริกที่เผ็ดอย่างยิ่งไหม

“น้ำ! แค่ก…น้ำ เอาน้ำมาให้ข้า!” ผู้อาวุโสจูคร่ำครวญ

หลังดื่มน้ำไปถังหนึ่ง รวมถึงเม็ดยาดับร้อนสิบเม็ดแล้ว ผู้อาวุโสจูก็นอนแผ่อยู่บนเก้าอี้ โบกมือไล่ชายคนนั้นเป็นเชิงบอกให้ออกไปก่อน

“สุนัขขนสีขาวมีป้ายอาญาสิทธิ์ของข้างั้นหรือ หรือจะเป็นลูกชายของไป๋เซียน”

ผู้อาวุโสจูทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ “คุณพระ ไป๋เซียนยอมให้ลูกชายของเขาเป็นสัตว์คู่กายของชายคนนั้นงั้นหรือ ไม่สิ…ขนาดวานรที่ใช้ไฟตัวนั้นยังเป็นสัตว์เลี้ยงของชายคนนั้นได้เลย อันหลินคนนั้นมีอะไรพิเศษจริงๆ งั้นหรือ”

ผู้อาวุโสจูคิดว่ารู้ข้อมูลเกี่ยวกับอันหลินน้อยเกินไป ต้องตรวจสอบให้ละเอียดอีกหน่อย

อืม เพื่อหลานสาวอย่างสวีเสี่ยวหลาน เขาจำต้องตรวจสอบให้แน่ชัด

ทว่าวันต่อมา ก็มีข่าวสะเทือนวงการอีกครั้ง ทำเอาผู้เป็นอาอย่างผู้อาวุโสจูตกใจจนสะดุ้งโหยง

ตะลึง! ชายลึกลับพาเทพธิดาสวีหนีออกจากสำนักวิหคชาดแล้ว!

ข่าวนี้มีต้นตอมาจากบุคคลนิรนามผู้ไม่ประสงค์ออกนาม และไม่นานก็ได้รับการยืนยัน

หนึ่งวันต่อมา

บนนภาของแคว้นเทียนเหอทางตะวันออกเฉียงใต้ของแดนจิ่วโจว

ก้อนอิฐสีดำขนาดใหญ่ที่ปกคลุมด้วยม่านแสงสีทองพุ่งผ่านไป

“ผ่อง[2]”

“ผ่อง!”

“น็อค!”

“ฮ่าๆ”

“ชิงอีเส้อ[3] ชนะแล้ว!”

อันหลินหัวเราะร่า ได้หินวิญญาณเพิ่มอีกเป็นกองแล้ว

บนโต๊ะนกกระจอก สวีเสี่ยวหลานทอดถอนใจ เจ้าอัปลักษณ์เกาหัว ต้าไป๋ทำหน้าทุกข์ระทม

อันหลินสมกับเป็นเจ้าแห่งไพ่กระจอก ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เชื่อ บัดนี้กลับตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว

ตลอดทั้งวันนี้ เขาชนะได้มาหลายพันหินวิญญาณแล้ว

คนที่เหลือนอกจากสวีเสี่ยวหลานที่ขาดทุนเล็กน้อยแล้ว ต้าไป๋กับเจ้าอัปลักษณ์ต่างก็ขาดทุนย่อยยับ

เสี่ยวหงยืนอยู่ข้างก้อนอิฐ ส่ายหัวดอกไม้สีแดงของมันไปมา กำลังทำการสังเคราะห์แสงอยู่

“เจ้ากังหันลมหมุนติ้ว ทิวทัศน์ที่นี่ช่างงามเสียจริง ท้องฟ้าสดใส พสุธางดงาม พร้อมด้วยผองเพื่อนที่ร่วมสุขใจ…”

นี่เป็นเพลงสังเคราะห์แสงที่อันหลินสอนมัน เพลงนี้มันร้องได้ทั้งวัน!

หุบเหวหมื่นกาลีตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของแดนจิ่วโจว เป็นกำแพงธรรมชาติที่แบ่งเขตระหว่างแดนจิ่วโจวกับเผ่าพันธุ์มด

เผ่าพันธุ์มดนับว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่ค่อนข้างเลื่องชื่อในแผ่นดินบรรพกาล สุดยอดผู้แข็งแกร่งไม่มาก แต่เหนือกว่าด้วยความสามารถในการสืบพันธุ์ จำนวนประชากรเยอะถึงขั้นฆ่าไม่หมด

หากไม่เอาแต่ดำเนินแผนการสืบพันธุ์อยู่ตลอด คาดว่าแม้แต่เปลือกแผ่นดินของตัวเองก็คงจะแทะจนหมดสิ้นแล้ว

ความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าพันธุ์มดและมนุษย์เลวร้ายอย่างยิ่ง

หากทางตอนเหนือของเผ่าพันธุ์มดไม่มีเหวขนาดใหญ่อย่างหุบเหวหมื่นกาลี ทิศตะวันตกมีเผ่าพันธุ์สัตว์คอยควบคุม เกรงว่าคงจะสู้รบกับนักพรตแดนจิ่วโจวตลอดเวลาเฉกเช่นสาวหิมะ

“รีบดูเร็วเข้า ข้างหน้านั่นก็หุบเหวหมื่นกาลีแล้ว!” เสี่ยวหงโยกตัวไปมาพร้อมกับตะโกนเสียงหวานหยดย้อย

พวกอันหลินได้ฟังก็มองไปข้างหน้า หุบเหวขนาดมหึมากว้างหลายร้อยจั้ง ลึกไม่รู้ตั้งเท่าใดปรากฏแก่สายตา

ทั้งๆ ที่ดวงตะวันลอยเด่นกลางนภา แต่รอยแยกของแผ่นดินผืนนี้กลับดำทะมึนจนชวนให้พรั่นใจ ราวกับจะกลืนกินแสงสว่างทั้งปวงให้สิ้นซาก

ไม่นานทุกคนก็ลอยอยู่เหนือหุบเหว

“พวกเราจะเหาะลงไปเลยหรือ”

สวีเสี่ยวหลานจ้องรอยแยกมืดมิดและลึกล้ำเบื้องล่างพลางเอ่ยถาม

อันหลินพยักหน้า “เจ้าอัปลักษณ์ เปิดไฟ!”

เจ้าอัปลักษณ์ “…”

จู่ๆ ดวงตาสีทองของเจ้าอัปลักษณ์ก็สาดแสงเจิดจ้าออกมา ส่องลงไปเบื้องล่างประหนึ่งไฟฉาย

“โอ้โฮ สุดยอดไปเลย!” สวีเสี่ยวหลานอุทาน

ก้อนอิฐสีดำจึงค่อยๆ ร่อนลงไปด้วยประการฉะนี้

ทุกคนต่างก็เริ่มไม่นิ่งนอนใจ เข้าสู่สภาวะพร้อมรบ

หุบเหวหมื่นกาลีนอกจากจะมีปีศาจร้ายจำนวนน้อยนิดแล้ว ยังมีสัตว์ประหลาดชั่วร้ายมากมายเหลือคณานับ พวกมันซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด อาจจะโผล่ออกมาโจมตีพวกเขาเมื่อใดก็ได้

เมื่อเหาะลึกลงไปเรื่อยๆ แสงสว่างก็สลัวลงเรื่อยๆ

พอแหงนหน้ามองเบื้องบน ก็เห็นผืนฟ้าเป็นดุจแถบสีขาว และมันก็แคบลงทุกที

เสี่ยวหงเริ่มหดหัวซ่อนตัวอยู่ในกระเป๋าของอันหลินอีกครั้ง ลอบสังเกตการณ์เงียบๆ

“ยังไม่ถึงก้นเหวอีกหรือ รู้สึกเหมือนพวกเราจะลงมาได้พันเมตรแล้วนะ” สวีเสี่ยวหลานกลัวความมืดมากทีเดียว ยามนี้จึงพูดขึ้นมาอย่างกระวนกระวาย

เจ้าอัปลักษณ์ส่ายหน้า “ยังเลย ตอนนี้ไฟฉายของข้าก็ยังส่องไม่ถึงก้นเหว อย่างน้อยยังมีความลึกอีกร่วมพันเมตร”

“น้องสาม ในที่สุดเจ้าก็ยอมรับแล้วว่าดวงตาของเจ้าเป็นไฟฉาย โฮ่ง!” ต้าไป๋แสดงการมีตัวตนออกมาอย่างลิงโลดใจ

เจ้าอัปลักษณ์ “…”

ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงลอยลงไปอีกหนึ่งพันเมตร

ขณะนั้นเอง อากาศรอบข้างก็เริ่มเย็นยะเยือก อับชื้น แสงสว่างก็มืดจนแทบจะไม่มีให้เห็น

ไฟฉายของเจ้าอัปลักษณ์ก็ยังคงส่องไม่ถึงก้นเหว

ตอนนี้ห่างจากผิวดินสองพันเมตรแล้ว

สามพันเมตร

ห้าพันเมตร

แปดพันเมตร

อากาศก็เริ่มเบาบางลงมากแล้วเช่นกัน

หากไม่ใช่เพราะพวกอันหลินบำเพ็ญเพียรกายแห่งมรรค เกรงว่าคงจะขาดอากาศหายใจไปนานแล้ว

เงยหน้ามองขึ้นไป ท้องฟ้ากลายเป็นเส้นสีขาวแล้ว

เพราะมีก้อนหินขรุขระ รวมถึงชั้นหินของเหวลึกที่ปูดโปนไม่เป็นระเบียบ จึงเห็นเส้นสีขาวเพียงรำไร

รอบตัวมืดมิด เงียบสงัด

มีเสียงน้ำหยดดังกังวานชัดเจนเป็นครั้งคราว ที่เหลือมีแต่เสียงหายใจเนิบนาบของทุกคน

“ถึงแล้ว ข้ามองเห็นก้นเหวแล้ว!” จู่ๆ เจ้าอัปลักษณ์ก็โพล่งขึ้นมา

ทุกคนได้ฟังก็อดถอนหายใจด้วยความโล่งอกไม่ได้

เมื่อเหาะลงมานับหมื่นเมตร ในที่สุดพวกเขาก็ถึงก้นเหวแล้ว!

………………………………

[1] สามเศียรหกกร หมายถึง คนที่มีความเก่งกาจสามารถเหนือคนธรรมดา

[2] ผ่อง เป็นคำศัพท์ของไพ่นกกระจอก ไพ่ที่เหมือนกันทั้ง 3 ตัว หรือเรียกอีกอย่างว่า ไพ่ตอง

[3] ชิงอีเส้อ หมายถึง เป็นวิธีการชนะอย่างหนึ่งของการเล่นไพ่นกกระจอก ผู้ที่ชนะด้วยวิธีนี้จะต้องมีถือไพ่ชุดที่มีจำนวนระบุอยู่หน้าไพ่เป็นประเภทเดียวกันทั้งหมด