ท่านหญิงเซอเชาว์มองชานาเนสที่นั่งอยู่ตรงหน้านาง

“ได้ยินข่าวลือเรื่องอาการป่วยของแคลอฮันแล้ว แต่นี่คือวิธีที่ลอมบาร์เดียปฏิบัติต่อตระกูลที่จะร่วมมือกันทำธุรกิจอย่างนั้นหรือ”

“ต้องขออภัยด้วยค่ะ ที่ไม่อาจแจ้งให้ทราบล่วงหน้าได้”

ชานาเนสก้มศีรษะลงอย่างสุภาพ

ภาพนั้นยิ่งทำให้ท่านหญิงเซอเชาว์รู้สึกโมโหมากขึ้นไปอีก

“ไหนลองแก้ตัวมาสิ! แบบนี้คิดว่าข้าจะเชื่อใจแคลอฮัน ร่วมกันสร้างกิจการใหญ่โตได้หรือยังไง!”

“ท่านป้า”

หลังจากที่ชานาเนสเอ่ยเรียกท่านหญิงเซอเชาว์เสียงแผ่ว นางก็หยิบเอาจดหมายที่เก็บอยู่ในอกเสื้อออกมา

มันคือสารจากแคลอฮัน

ท่านหญิงเซอเชาว์เปิดมันออก แล้วก็ต้องหลุดเสียงร้องครางต่ำ

[ถึง ท่านป้าเบทริกซ์

ข้าคิดว่าป่านนี้คงจะทราบข่าวเรื่องของข้าแล้ว และก็คงกำลังจะโกรธเคืองกันอยู่ครับ

ข้าตั้งใจว่าจะแจ้งข่าวให้ทราบเมื่อถึงเวลา แต่หากทำเช่นนั้นคงกลายเป็นว่าข้าโกหกท่านป้าเสียแล้วน่ะสิครับ

เพื่ออนาคตของเทีย บุตรสาวของข้า ข้าถึงได้ตั้งใจว่าจะเก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับ ไม่ให้ใครทราบให้ได้นานที่สุดครับ

แต่ในสถานการณ์ที่เรื่องราวทั้งหมดกลับแพร่ออกไปแตกต่างจากที่ตั้งใจไว้ ข้าจึงต้องบากหน้าขอร้องท่านป้าอย่างหน้าไม่อาย

ขอท่านป้าได้โปรดเชื่อใจข้า และรอคอยข้าอีกสักพักเถอะนะครับ

หากไม่อาจเชื่อใจข้าที่คิดปิดบังท่านป้า ก็ขอให้เชื่อใจคนที่ข้ามอบหมายไว้ใจให้นำสารฉบับนี้มาให้ด้วยเถอะครับ

ข้าจะพยายามเพื่อให้วันที่ข้าจะไปพบ และแจ้งข่าวดีให้ท่านทราบด้วยตัวข้าเองมาถึงนะครับ

จาก แคลอฮัน]

“เด็กเจ้าเล่ห์…”

นึกว่าเป็นเด็กทึ่มทื่อหัวอ่อนเสียอีก ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นจิ้งจอกเหมือนบิดาของเจ้าเสียแล้ว

เล่นทำตัวอ่อนน้อม เรียก ‘ท่านป้า’ แบบนี้ แล้วนางจะใจร้ายกับหลานชายที่กำลังป่วยได้ลงคอได้ยังไงกันล่ะ

ความโกรธเคืองเริ่มจางหายไปจากใบหน้าของท่านหญิงเซอเชาว์ นางเอ่ยถามชานาเนส

“ที่ว่าจะมาแจ้งข่าวด้วยตัวเอง มันหมายความว่ายังไงกัน”

“เรื่องนั้น…”

ชานาเนสพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกสับสนเอาไว้ถึงแม้จะไม่เผยความรู้สึกออกมา แต่นางเองก็กำลังพยายามทำความเข้าใจกับสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ได้เท่ากับท่านหญิงเซอเชาว์

ในตอนที่นางกำลังเตรียมตัวจะไปพบแคลอฮันหลังจากทราบข่าวว่าเขาเป็นโรคเทรนด์บลู ฟีเรนเทียก็แวะมาหานางและส่งสารของแคลอฮันให้ พร้อมกับขอร้องให้นางช่วยเดินทางมาหาท่านหญิงเซอเชาว์

‘ไม่ใช่ในฐานะพี่สาวของท่านพ่อ แต่ช่วยไปพบในฐานะชานาเนส ลอมบาร์เดียให้ทีนะคะ’ พร้อมกับคำขอร้องเช่นนั้น

“นักเรียนทุนคนหนึ่งของลอมบาร์เดียที่เป็นนักวิจัยได้คิดค้นยารักษาโรคเทรนด์บลูขึ้นมาได้พอดี และได้นำมันมาให้ค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นหมายความว่าแคลอฮันจะหายดีได้อย่างนั้นหรือ”

“กำลังรักษาตัวอยู่ค่ะ”

เรื่องไม่อาจโกหกคนอื่นได้ พี่สาวน้องชายอย่างชานาเนสกับแคลอฮันต่างก็เป็นเช่นเดียวกัน

ท่านหญิงเซอเชาว์หรี่ตามองชานาเนส

“หากข้าเชื่อใจและรอคอย แต่ความเชื่อใจนั่นมันกลับแทงเข้าที่ฝ่าเท้าของข้า พวกเจ้าจะทำยังไงล่ะ ทางอังเกนัสเองก็ดูพร้อมใจที่จะจับมือกับเซอเชาว์ของข้าอยู่เหมือนกันนะ”

ว่าแล้วเชียว

ชานาเนสกำหมัดแน่น เมื่อมั่นใจแล้วว่าสิ่งที่นางคาดการณ์เอาไว้เป็นเรื่องจริง

“ท่านป้าคะ แคลอฮันอาจจะเป็นน้องชายของข้า แต่ก็เป็นเด็กที่มีนิสัยตรงไปตรงมาโกหกคนอื่นไม่เป็นจนเรียกว่าทึ่มทื่อเลยก็ได้ค่ะ หากเขามีเล่ห์เหลี่ยมมากกว่านี้สักหน่อยก็คงดี แต่เพราะเป็นคนที่ทำเรื่องพวกนั้นไม่เป็นน่ะสิคะ”

หลังจากที่นางทราบว่าน้องชายคนนั้นเป็นโรคร้ายก็เพิ่งจะผ่านมาได้เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น

ทว่าตอนนี้ไม่มีเวลาให้ชานาเนสมานั่งเสียใจหรือตื่นตระหนกอะไรทั้งสิ้น

การจัดการงานที่แคลอฮันไหว้วานให้สำเร็จลุล่วง เป็นเพียงเรื่องเดียวที่นางจะช่วยเหลือน้องชายที่นอนป่วยติดเตียงได้

“ข้าเชื่อว่าตอนนี้แคลอฮันเองก็กำลังพยายามทำอย่างเต็มที่ เพื่อเอาชนะโรคร้ายค่ะ แต่ถ้าหากแคลอฮันไม่อาจรักษาสัญญาได้…”

ชานาเนสนึกถึงคำพูดของหลานสาวตัวน้อยขึ้นมา

‘ไม่ใช่ในฐานะพี่สาวของท่านพ่อ แต่ช่วยไปพบในฐานะชานาเนส ลอมบาร์เดียให้ทีนะคะ’

หรือเด็กคนนั้นจะคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้ว ว่าอาจจะมีสถานการณ์ที่เธอต้องกล่าวเช่นนี้เกิดขึ้น

ชานาเนสยกยิ้มเล็กน้อยเมื่อตัวนางเผลอคิดเรื่อยเปื่อยไปเสียได้และมองหน้าสบตาท่านหญิงเซอเชาว์ตรงๆ ในขณะที่พูดขึ้น

“หากเป็นเช่นนั้น เมื่อถึงเวลาก็ขอให้เชื่อมั่นในลอมบาร์เดียค่ะ แคลอฮัน เด็กคนนั้นอาจจะเป็นผู้ก่อตั้ง ‘ร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮัน’ ก็จริง แต่เขาก็เป็นบุตรชายของเจ้าตระกูลอย่างรูลลัก ลอมบาร์เดีย และลอมบาร์เดียย่อมไม่มีวันทำให้ผู้คนที่เชื่อมั่นในลอมบาร์เดียต้องผิดหวังอย่างเด็ดขาดค่ะ”

ความเงียบเข้ากลืนกินไปทั่วห้องอยู่ครู่หนึ่ง

สุดท้ายท่านหญิงเซอเชาว์ก็ถอนหายใจเสียงแผ่วจนแทบเป็นเสียงคราง

“…ฝากบอกแคลอฮันด้วยว่า ไม่ต้องห่วงเรื่องเซอเชาว์ ให้ตั้งใจกับการรักษาก็พอ บอกด้วยว่าอีกไม่นานข้าจะแวะขึ้นไปเยี่ยม”

“ค่ะ ท่านป้า”

ชานาเนสซ่อนมือที่สั่นเล็กน้อยของตัวเองไว้ใต้แขนเสื้อกว้างของชุดเดรส ในขณะที่ลุกขึ้นจากที่นั่ง

“และก็ชานาเนส”

ท่านหญิงเซอเชาว์นวดหน้าผากด้วยใบหน้าเหนื่อยล้าพลางเอ่ยพูด

“ทางเซอเชาว์ของพวกเราไม่มีความคิดที่จะขายเหมืองให้สามีของเจ้าหรอกนะ ฝากบอกเขาด้วยว่าเลิกเกลี้ยกล่อมได้แล้ว”

“…เหมือง?”

ชานาเนสตื่นตระหนกไปครู่หนึ่ง แต่เพียงไม่นานก็เก็บซ่อนสีหน้าเอาไว้ แล้วพยักหน้าลง

“ค่ะ ท่านป้า ข้าจะแจ้งเขาให้ค่ะ”

ผ่านไปได้สามสัปดาห์แล้วหลังจากที่ความวุ่นวายเกิดขึ้น

โล่งอกที่เรื่องราวที่ปิดฉากลงได้ในคราวเดียวพวกนั้นถูกปิดตายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ทั้งหมดก็เป็นเพียงแค่เรื่องชั่วคราวที่จะมั่นคงอยู่ต่อได้ไปอีกระยะหนึ่งเท่านั้น

วิธีการแก้ไขที่ดีที่สุดมีเพียงแค่ผลิตยารักษาโรคเทรนด์บลูขึ้นมา ช่วยให้ท่านพ่อฟื้นตัวได้สำเร็จเท่านั้น

เอสทีร่าเองก็กำลังวิจัยอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ยังไม่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคไปได้อยู่ดี

โรคของท่านพ่อกำลังแย่ลงเรื่อยๆ เหมือนเมื่อชีวิตก่อน

“…ไปก่อนนะ”

และในสถานการณ์เช่นนี้ เธอก็ต้องเข้าวังเพื่อรับหน้าที่เป็นเพื่อนเล่นของเฟเรส

ถึงแม้จะอยากเฝ้าอยู่ข้างเตียงคนไข้อย่างที่ใจอยาก แต่ท่านพ่อกลับผลักหลังเธอ สั่งให้ออกไปเล่นกับเฟเรส จะได้รับลมให้สดชื่นเสียบ้าง

ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่ท่านพ่อต้องการ เธอจึงจำเป็นต้องไป

เธอขึ้นรถม้าด้วยใบหน้าเศร้าหมอง

ระยะเวลาหลายชั่วโมงจากคฤหาสน์ลอมบาร์เดียจนถึงพระราชวัง ความคิดต่างๆ นานาพันกันยุ่งเหยิงอยู่ในหัวสมอง

และในที่สุดเธอก็เดินทางมาถึงวังโฟอิรัคที่เฟเรสอาศัยอยู่

“เทีย สวัสดี”

เฟเรสกล่าวทักทายเธอด้วยรอยยิ้มบางที่จางเสียจนเกือบมองไม่เห็น

“สวัสดี”

เธอกำลังรู้สึกหงุดหงิด

ในสถานการณ์ที่อยากจะใช้เวลาร่วมกันกับท่านพ่อให้ได้มากขึ้นแม้จะแค่ชั่วโมงเดียวก็ตาม เธอรู้สึกเสียดายเวลาที่จะต้องแบ่งเอามาใช้ร่วมกันกับเฟเรสแบบนี้

เฟเรสรับคำทักทายอันแสนเฉื่อยชาของเธอ เขาเหม่อมองใบหน้าของเธออยู่ครู่หนึ่ง

มันเป็นนิสัยอย่างหนึ่งของเด็กนี่

“ไปกันเถอะ”

แล้วมือของเฟเรสก็เลื่อนมาจับมือของเธอเอาไว้

“อะไร จะไปที่ไหน”

“ที่ที่วันนี้พวกเราจะเล่นด้วยกันทั้งวัน”

“ข้าไม่มีอารมณ์เล่นหรอกนะ”

“ข้ารู้”

รู้อะไรกันแน่

ในตอนที่ความอดทนของเธอเริ่มถึงขีดสุดเฟเรสใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้กุมมือของเธอเอาไว้ผลักประตูบานใหญ่ให้เปิดออก

“ที่นี่…”

“ห้องสมุดประจำวังโฟอิรัคน่ะ ข้ารวบรวมหนังสือเกี่ยวกับโรคเทรนด์บลูและสมุนไพรมาไว้ที่นี่ มากที่สุดเท่าที่ข้าจะหามาได้”

เฟเรสช่วยเลื่อนเก้าอี้ตรงโต๊ะที่ตั้งอยู่กลางห้องสมุดออกให้พลางเอ่ยพูด

“มาลองหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคเทรนด์บลูด้วยกันเถอะ ถ้าลองหาดูบางทีพวกเราอาจจะค้นพบวิธีอะไรดีๆ ก็ได้”

“เฟเรส…”

“ครั้งนี้ข้าจะช่วยเจ้าเอง”