บทที่ 70

คำพูดของเฟเรสที่บอกว่ารวบรวมหนังสือ ‘มากที่สุดเท่าที่จะหาได้’ เป็นความจริง

“หนังสือพวกนี้ไปหามาจากที่ไหนกันเนี่ย”

“เอามาจากห้องสมุดของราชวงศ์จากวังส่วนกลาง ส่วนหนังสือสมุนไพรพวกนี้เป็นของที่เดิมทีข้ามีอยู่แล้ว”

ท่าทางยามเปิดหน้ากระดาษหนังสือต่อไปไม่หยุดในขณะที่กำลังตอบนั่นดูเหมือนจะคุ้นเคยกับการทำเช่นนี้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว

จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ เธอจึงเอ่ยถามเฟเรส

“เฟเรสหรือว่าเจ้า ที่ผ่านมาศึกษาเรื่องยารักษาโรคเทรนด์บลูคนเดียวมาตลอดเลยเหรอ”

เธอเห็นหมดแล้วว่าไหล่ของเฟเรสสะดุ้งเฮือกใหญ่

และการที่เขาไม่ตอบอะไรก็ถือว่าเป็นหลักฐานมัดตัวจนดิ้นไม่หลุด

เพราะเฟเรสเป็นคนที่เลือกที่จะไม่พูดอะไร แทนที่จะพูดโกหกกับเธอยังไงล่ะ

“ขอบใจนะ”

“…”

ใบหูของเฟเรสที่นั่งเปิดหนังสืออ่านโดยไม่พูดอะไรขึ้นสีแดงก่ำ

ฟีเรนเทียหัวเราะโดยไม่มีเสียง หยิบเอาหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาถือไว้

ใช่แล้ว การมอบหมายทุกอย่างไว้ที่เอสทีร่าคนเดียว โดยที่ตัวเองเอาแต่ดีดดิ้นทั้งๆ ที่ไม่ลงมือทำอะไรเลยนั่น มันไม่เข้ากับนิสัยของเธอเลยสักนิด

เพื่อที่จะตามหาส่วนผสมอย่างสุดท้ายของยารักษาโรคเทรนด์บลู การทำอะไรสักอย่างมันช่วยให้รู้สึกสบายใจมากยิ่งขึ้น

ในระหว่างที่พวกเราใช้เวลาอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุด แคทเธอรีนกับคาอิลรัสเองก็สลับกันนำเครื่องดื่มกับของว่างมาให้

“โอ๊ย เอวข้า”

ผ่านไปกี่ชั่วโมงแล้วเนี่ย

เธอปวดเอวจนรู้สึกราวกับเอวจะหัก จึงเงยหน้าขึ้นมามอง

เข้าสู่ช่วงบ่ายแล้ว

หันหน้าไปมองเฟเรสที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เด็กนี่ยังคงไม่ละสายตาไปจากหน้ากระดาษ

ด้านข้างมีหนังสือที่อ่านจบแล้ววางกองเป็นภูเขาขนาดย่อม

เธอไม่อยากรบกวนสมาธิของเฟเรส จึงหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง แต่แล้วในตอนนั้นเอง

“ออกไปกันสักครู่มั้ย”

จู่ๆ เฟเรสก็กำลังมองหน้าเธอ

“สวนนี่เหมาะกับการเดินเล่นมากทีเดียว”

แตกต่างจากคำชื่นชมอันแสนจืดชืดของเฟเรส สวนของวังโฟอิรัคนั้นงดงามเป็นอย่างยิ่ง

ราวกับรู้ว่าเจ้าของวังแห่งนี้แวะเข้าไปยังสวนอยู่บ่อยๆ รอบทางเดินมีทั้งดอกไม้นานาชนิด ทั้งต้นไม้ถูกปลูกเอาไว้อย่างเป็นธรรมชาติ

“อ๊ะ ดอกไม้นี่…ดอกไม้ที่คราวก่อนเจ้าส่งมาให้ข้าไม่ใช่เหรอ”

ฟีเรนเทียชี้ไปยังดอกสีแดงที่หน้าตาดูคุ้นเหมือนเคยเห็นที่ไหนพลางเอ่ยถาม

“อื้อ ใช่แล้วละ ดอกบอมเนีย”

“มันคนละฤดูกับตอนที่เจ้าส่งดอกไม้นี่มาให้แล้วนี่นา”

“มันบานเมื่อตอนฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา แต่ไม่รู้ทำไมดูเหมือนปีนี้จะบานอีกครั้ง”

“เหรอ น่าทึ่งจัง บานสองครั้งในปีเดียว”

เธอเดินเข้าไปสูดกลิ่นหอมของดอกไม้ดอกนั้น

ตุบ

เฟเรสเด็ดดอกบอมเนียส่งให้เธอหนึ่งดอก

เธอเด็ดกลีบดอกไม้รสหวานใส่ปากหนึ่งกลีบ พลางถามเขาไปด้วย

“ถ้าเดินไปตามทางเส้นนี้จะเจออะไรเหรอ”

“สวนวังส่วนกลาง”

“อย่างนั้นนี่เอง…”

ได้ขยับกายสักหน่อยแบบนี้แล้ว ค่อยรู้สึกหัวสมองปลอดโปร่งขึ้นมาบ้าง

เดินเล่นได้สักพักก็เริ่มมองเห็นสวนที่เฟเรสพูดถึงอยู่ลิบๆ ที่ปลายทางเดินรวมถึงคนที่ไม่อยากเจอหน้าซึ่งดันออกมาเดินเล่นในสวนพอดีด้วย

“กลับกันเถอะ”

“อื้อ”

เฟเรสเองก็ขมวดคิ้วแน่นจนหน้าผากย่นด้วยความรำคาญใจในขณะที่ตอบ

พวกเราหันหลังหมุนตัวกลับ ตั้งใจจะเดินกลับไปยังเส้นทางที่เดินมาในทันที

“เฮ้ พวกเจ้าสองคนตรงนั้น”

แต่ดันมีเสียงทุเรศดังไล่ตามหลังของพวกเธอมาเสียได้

“เฮ้อ”

สังหรณ์ใจไม่ดีเอาเสียเลย

ฟีเรนเทียหันหลังกลับไปกล่าวทักทายโดยที่สลักตัวอักษรคำว่าอดทนเอาไว้ในใจ

“ถวายบังคมเพคะ เจ้าชายลำดับที่หนึ่ง”

“อืม ว่าแล้วเชียวเป็นเจ้าจริงๆ”

อาสทาน่าแสยะยิ้มเดินเข้ามาใกล้

เฟเรสกำลังจ้องอาสทาน่าด้วยนัยน์ตาเย็นชา

ท่าทางราวกับว่าหากจำเป็นเขาก็พร้อมที่จะชักดาบออกมาเหมือนเมื่อครั้งก่อน

คราวนี้ปล่อยผ่านไปเงียบๆ เถอะ

เธอสัญญากับตัวเองเช่นนั้น

ทว่าสัญญานั่นมันสั่นคลอนทันทีที่อาสทาน่าเปิดปากพูดออกมา

“ได้ยินว่าแคลอฮัน ลอมบาร์เดียป่วยเป็นโรคใกล้ตายรึ”

“ไอ้บ้านี่”

เธอหลุดสบถออกมาโดยไม่รู้ตัว

อาสทาน่าเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

“นะ…นี่เจ้าสบถใส่ข้า…”

ฟีเรนเทียมองอาสทาน่าที่เอาแต่อ้าปากพะงาบๆ ไม่มีเสียงเหมือนปลาทอง พยายามทำใจให้กลับมาสงบลงอีกครั้ง

เพราะมันเป็นเรื่องของท่านพ่อ เธอถึงได้เผลอวู่วามแต่โชคร้ายที่ดันเห็นอะไรบางอย่างพาดผ่านขึ้นมาบนใบหน้าของอาสทาน่า

มันคือรอยยิ้มชั่วร้ายดั่งคนที่ค้นพบจุดอ่อนที่สามารถใช้เล่นงานเธอได้

“พ่อกำลังจะตาย แต่เจ้ากลับมากะหนุงกะหนิงอยู่กับไอ้ชั้นต่ำนี่ในวัง ไม่ใช่ว่าที่จริงแล้วเจ้าไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ หรอกเหรอเนี่ย”

“หยุดได้แล้ว”

เฟเรสที่ยืนอยู่ข้างเธอกล่าวเตือนด้วยเสียงทุ้มต่ำ

แต่อาสทาน่ากลับทำเพียงแค่ยักไหล่ไม่แยแส และพูดจากระแนะกระแหนเธอต่อ

“หากเป็นบิดาข้า ข้าคงจะไม่ยอมอยู่ห่างจากเตียงคนไข้แม้แต่วินาทีเดียว แต่ก็นะ คนเขาก็คงไม่ได้เรียกพวกชั้นต่ำว่าต่ำช้าโดยไม่มีความหมายอยู่แล้ว”

“อาสทาน่า”

“มารดาก็เป็นแค่คนเร่ร่อนไม่มีที่มาที่ไป งั้นก็ไม่แน่สินะเนี่ย”

“หุบปาก”

เฟเรสเอ่ยพูดในขณะที่เลื่อนมือไปแตะด้ามดาบ

“รู้เรื่องนั้นหรือเปล่า พวกคนเร่ร่อนมักจะขายเรือนร่างให้ใครก็ได้โดยไม่เลือกหน้า แค่เพื่อที่จะหาที่หลับนอนสักคืน…”

เพียะ!

เสียงสนั่นดังขึ้นพร้อมกับใบหน้าของอาสทาน่าที่หันไปด้านข้าง

รอยมือสีแดงเริ่มปรากฏขึ้นเป็นริ้วบนใบหน้าอย่างช้าๆ

คนที่ตบลงบนแก้มนั่นด้วยแรงทั้งหมดที่มีคือฟีเรนเทีย

“เจ้าตบข้า…”

อาสทาน่ากุมแก้มเอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ก่อนจะพูดพึมพำ

เธอจ้องเขาเขม็ง ขณะเดียวกันน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวเพราะความโกรธที่ข้ามพ้นขีดจำกัดความอดทน

“สะ…เสด็จแม่ ไม่สิ ข้าจะฟ้องฝ่าบาท! เจ้า เจ้าตบหน้าข้า!?”

ก็รู้อยู่หรอกว่าเป็นนิสัยเสียแต่นี่มัน

ขยะชัดๆ

“ต้องฟ้องให้ได้ล่ะ เพราะข้าเองก็จะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ท่านปู่ฟังเหมือนกัน”

เธอพูดย้ำทีละคำอย่างชัดถ้อยชัดคำให้อาสทาน่าฟัง

“อย่าให้ตกหล่นไปแม้แต่คำเดียว”

ในตอนนั้นเอง ใบหน้าโง่งมของอาสทาน่าก็พลันบิดเบี้ยวไม่น่ามอง สงสัยคงจะนึกถึงประโยคที่ตัวเองพูดขึ้นมาได้

ต่อให้เขาเป็นถึงเจ้าชาย แต่การที่กล้าเอ่ยพูดเรื่องเกี่ยวกับตระกูลลอมบาร์เดีย สาดโคลนใส่ภริยาผู้ล่วงลับของบุตรชายของเจ้าตระกูลที่ตอนนี้นอนป่วยอยู่บนเตียงคนไข้ ย่อมไม่มีทางผ่านเรื่องนี้ไปได้โดยรอดปลอดภัยแน่

ถึงแม้จะอยากเตะหว่างขาไม่ใช่แค่ตบแก้มอย่างที่ใจคิดก็เถอะ

เพราะเธอยังไม่ใช่เจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย จึงต้องอดกลั้นเอาไว้

ฟีเรนเทียจ้องเขาไม่ยอมถอยจนถึงที่สุด ก่อนจะหมุนตัวหันหลังกลับ และใช้แขนเสื้อเช็ดหยาดน้ำตา

รสหอมหวานจากดอกบอมเนียเมื่อครู่ มันกลับเปลี่ยนเป็นรสชาติขมเฝื่อนไปเสียแล้ว