เล่มที่ 5 บทที่ 140 ยั่วยุไม่สำเร็จแล้วยังถูกตี

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“ได้เลย ได้โปรดรอสักครู่ ข้าน้อยจะรีบไปสั่งอาหารเดี๋ยวนี้”

    เสี่ยวเอ้อร์รีบสาวเท้ายาวๆ ลงไปสั่งให้ทำอาหาร สาวใช้ทั้งสี่ลอบมองขึ้นขึ้นลงลงสำรวจสถานที่

    อย่าว่าแต่จวนอวี้เลย หากอยู่ในเขตพระราชวัง พวกนางทำได้เพียงเดินตามหลังพระชายาแล้วแอบมองดูสถานที่เท่านั้น

    สถานที่ที่มีความงดงามเช่นที่นี่หาได้ยากยิ่ง

    “นายหญิง ท่านคิดว่าเจ้าของร้านฝูหรงโหลวเป็นคนเช่นไรหรือเจ้าคะ?”

    ป๋ายจีสำรวจทุกมุมห้อง ก่อนจะเอ่ยคำถามกึ่งชมเชยออกมา

    แม้จะไม่หรูหราเท่าพระราชวัง แต่ของทุกชิ้นล้วนถูกคัดสรรมาอย่างดี

    แม้แต่คนที่ไม่เคยเรียนหนังสือเช่นนางยังอดที่จะประหลาดใจไม่ได้

    “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเป็นคนเช่นไร แต่ข้ารู้สึกได้ว่าจะต้องไม่ใช่คนธรรมดา”

    ตำแหน่งที่หลินเมิ้งหยานั่งอยู่ติดหน้าต่าง สายตาทอดยาวมองดูผู้คนเดินสวนกันไปมา

    ฝูหรงโหลวอยู่จุดกึ่งกลางของถนนคนเดินแห่งนี้

    ดังนั้นตำแหน่งที่นางอยู่จึงสามารถมองเห็นตึกรามบ้านช่องได้อย่างชัดเจน

    ที่นี่นับเป็นสถานที่ซึ่งเจริญแล้ว ทุกซอกมุมล้วนมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง

    ฉะนั้น ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่น่าเบื่อ

    ท้องฟ้าที่เคยสดใสเมื่อครู่ เพียงพริบตาเดียวกลับมีเมฆครึ้ม

    สายฝนพลันตกลงมา

    หลินเมิ้งหยายังคงนั่งข้างหน้าต่าง มองดูสายฝนโปรยปราย สายฟ้าเปล่งแสงกระทบหลังคาอย่างต่อเนื่อง ภาพเบื้องล่างเริ่มเลือนราง ความโศกเศร้าเริ่มก่อตัวในหัวใจอีกครั้ง

    “มาแล้ว ท่านลูกค้า นี่คือหมูกรอบและขาหมูตุ๋นที่ท่านสั่ง ส่วนนี้คือชาดอกมี่หลัว เชิญกินกันให้อร่อยนะขอรับ”

    เสี่ยวเอ้อร์เคลื่อนไหวคล่องแคล่วปราดเปรียว ไม่นานอาหารก็ถูกวางลงบนโต๊ะของพวกนาง

    หมูกรอบคือเนื้อสัตว์ที่หามาจากภูเขา ส่วนเครื่องปรุงมิได้ใส่มากมายนัก แต่เมื่อลองได้ชิม กลิ่นหอมของเนื้อพลันฟุ้งกระจายอยู่ในโพรงปาก

    ขาหมูตุ๋นยิ่งน่าสนใจ ราวกับว่าขาหมูชิ้นนี้ถูกเคี่ยวจนได้ที่ เครื่องเทศต่างๆ จึงซึมลึกถึงตัวเนื้อ

    สาวใช้ทั้งสี่ยืนตะเกียบเข่าไปเจาะเบา ๆ ทว่าเนื้อหมูกลับฉีกออกอย่างง่ายดาย

    “ว้าว นี่มันขาหมูตุ๋นจริงๆ ด้วย พวกเขาทำได้ยังไงนะ”

    ป๋ายจื่อร้องออกมาอย่างประหลาดใจ มือจับตะเกียบคีบเนื้อเข้าปาก

    สาวใช้ที่เหลืออีกสามคนมองดูนางด้วยความอิจฉา

    ป๋ายจื่อพยักเผยิบหน้าให้ลองชิมตาม

    “ฝีมือการใช้มีดดีใช้ได้ ดูเหมือนเขาจะเชี่ยวชาญในการแล่เนื้อเป็นอย่างดี”

    ไม่รู้ว่าหลินเมิ้งหยาเดินเข้ามายืนด้านหลังพวกนางตั้งแต่ตอนไหน นางหยิบตะเกียบขึ้นมา

    “ใช่มั้ยเจ้าคะนายหญิง ข้าคิดว่าพ่อครัวของที่นี่จะต้องเป็นปรมาจารย์อาหารอย่างแน่นอน”

    เมื่อได้กินของอร่อย ป๋ายจื่อเอ่ยชมไม่หยุด

    ทว่าหลินเมิ้งหยากลับรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง

    ดูเหมือนพ่อครัวจะจัดการขาหมูชิ้นนี้ตั้งแต่ตอนที่มันยังดิบอยู่

    เขาเฉือนมันออกมาได้อย่างสวยงาม แม้แต่นางที่เป็นนักศึกษาแพทย์ยังทำได้ไม่ดีขนาดนี้

    บริเวณกระดูกถูกเลาะจนไม่มีเนื้อติดอยู่

    พ่อครัวคนนี้เป็นใครกันแน่?

    หลินเมิ้งหยาเริ่มรู้สึกประหลาดใจในตัวพ่อครัวแห่งฝูหรงโหลว

    ตอนที่คิดจะเรียกเสี่ยวเอ้อร์เข้ามา นางได้ยินเสียงเคาะประตูดังลั่นที่ด้านนอก

    “นั่นใคร?”

    ป๋ายซ่าวร้องถาม พอลองฟังเสียงดูแล้ว มิเหมือนเสี่ยวเอ้อร์แห่งฝูหรงโหลว

    “คนสวย พวกเจ้าทั้งห้ามากันอย่างเดียวดาย มิกลัวเหงาหรอกหรือ? ให้พวกพี่มาช่วยดูแลเจ้าดีหรือไม่?”

    เสียงยั่วยุดังขึ้น ก่อนเสียงหัวเราะจะดังลั่นที่ด้านนอก

    คิ้วของหลินเมิ้งหยาขมวดเข้าหากัน เหตุใดสถานที่งดงามแห่งนี้จึงมีคนไร้ยางอายกัน

    ส่ายหน้า ส่งสัญญาณผ่านทางสายตามิให้ป๋ายซ่าวพุ่งตัวออกไป

    ประตูถูกลงกลอนเอาไว้ พวกเขาคงไม่บุกเข้ามา

    “โหยว สาวสวยไม่ตอบเสียด้วย เข้ามา ช่วยข้าพังประตูเข้าไป”

    เสียงพังประตูดังขึ้น

    เหตุเพราะเสียงดังลั่นจนทำให้ลูกค้าตื่นตระหนก เสี่ยวเอ้อร์จึงรีบวิ่งขึ้นมาบนชั้นสอง

    “คุณชาย ด้านในมีฮูหยินท่านหนึ่งอยู่ ข้าน้อยรู้ดีว่าท่านชอบสาวงาม แต่หากกระทำคุกคามผู้อื่นเช่นนี้ ข้าน้อยเกรงว่าจะมิเป็นการสมควร”

    “เจ้ามันแค่คนใช้ ไสหัวไป”

    ราวกับชายคนนั้นถีบเสี่ยวเอ้อร์ออกไปให้พ้นทาง ได้ยินเสียง “ตึง ตึง ตึง” ก่อนจะได้ยินเสียงร้องเพราะความเจ็บปวดของเสี่ยวเอ้อร์

    “ไอ้คนตาไม่มีแวว นายหญิงเจ้าคะ ข้าจะไปสั่งสอนเขาเอง”

    เมื่อรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายมีเจตนาร้าย ป๋ายซูจึงโกรธมาก

    มองดูประตูไม้ที่กำลังสั่นไหว หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง ป๋ายซูและป๋ายซ่าวจึงเปิดประตูออก

    “ไม่รู้ว่าท่านเป็นคุณชายจากสกุลใด ในเมื่ออุตส่าห์มาแล้ว เช่นนั้นก็มาดื่มชาด้วยกันเถิด”

    หลินเมิ้งหยานั่งอยู่ที่ตำแหน่งประธาน ยกชาขึ้นแล้วจิบเล็กน้อย

    ชา ทำไมถึง…

    ยังไม่ทันที่จะได้คิดอะไร ด้านนอกมีคุณชายสวมใส่ชุดสีฟ้าอ่อนเดินเข้ามา

    “ถือว่าเจ้ารู้การรู้งานเป็นอย่างดี เช่นนั้นข้าจะบอกให้เจ้ารู้ก็ได้ว่าข้าคือคุณชายสกุลตู้ เจ้าเรียกข้าว่าตู้หลางหรือคุณชายตู้ก็ได้ แล้วแต่เจ้าจะชอบ”

    คุณชายสกุลตู้มีตาคล้ายรูปสามเหลี่ยม เพียงได้มองก็รู้สึกได้ทันทีว่าเขาเป็นคนไม่ดี

    ใบหน้าเผยให้เห็นความคิดชั่วช้า อีกทั้งยังส่งยิ้มมีเลศนัยที่ทำให้คนมองรู้สึกรังเกียจ

    รูปร่างไม่สูงมาก ดูเหมือนเขาจะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องอย่างว่ามากจนเกินไป ดังนั้นร่างกายจึงไร้เรี่ยวแรง

    หลินเมิ้งหยาไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น ราวกับว่านางมิได้มองเห็นคุณชายสกุลตู้อยู่ในสายตา

    “มีอะไรก็รีบพูดออกมา อย่าทำให้ข้าหมดความอดทน”

    หลินเมิ้งหยาไม่อยากมีเรื่อง วันนี้นางต้องการพาสาวใช้มาซื้อของละลายทรัพย์เท่านั้น ดังนั้นนางจึงไม่มีอารมณ์มาสั่งสอนผู้ชายมักมากในกาม

    “ฮ่าๆ ดุดันเสียจริง วันนี้คุณชายตู้อย่างข้าจะขอลิ้มลองแม่สาวเผ็ดร้อนคนนี้ดูสักหน่อย”

    พูดจบ มือยื่นเข้ามาหมายมั่นจะแตะต้องใบหน้าของหลินเมิ้งหยา

    ทว่าหลินเมิ้งหยาร้องฮึในลำคอ ก่อนที่จะพลิกมือขึ้นหยิบปิ่นปักผมบนศีรษะแล้วแทงลงไปบนมือของเขา โดยไม่หันหน้าไปมองเลยแม้แต่น้อย

    “อ๊าก…นังหญิงบ้า”

    ร้องโอโอยเพราะความเจ็บปวด แม้แต่ชายผู้นั้นยังคิดไม่ถึงเลยว่าหลินเมิ้งหยาจะกล้าลงมือกับเขาเช่นนี้

    ทันใดนั้น นางเหวี่ยงมือข้างที่จับปิ่นปักที่กำลังแทงมือของเขาอยู่ลงบนโต๊ะอย่างแรง ปลายปิ่นคมกริบแทงทะลุมือของเขาจนเสียบลงกับโต๊ะอาหาร

    “คงไม่มีใครบอกเจ้าสินะว่าคนที่กล้ายั่วยุข้า มักจะไม่มีโอกาสหายใจ”

    หยักยิ้มเล็กน้อย ทว่าคำพูดของหลินเมิ้งหยากลับทำให้คุณชายตู้หวาดผวา เหงื่อผุดขึ้นทั้งร่าง

    อันที่จริงตัวนางเปรียบเสมือนเครื่องมือสั่งสอนผู้อื่น

    “เจ้า…เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

    มือยังคงติดอยู่กับโต๊ะ หยาดเหงื่อรินไหลลงจากหน้าผาก

    ความเจ็บปวดทำให้ชายหนุ่มต้องกัดฟันแน่น ส่วนพวกผู้ชายที่อยู่ด้านหลังพร้อมที่จะวิ่งหนีทุกเวลา

    “พวกเจ้าควรทำตัวให้เชื่องสักหน่อย อย่าได้เคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้า มิเช่นนั้น เจ้านายที่ไม่ต่างจากหมาข้างถนนของพวกเจ้าจะต้องกลายเป็นคนพิการ”

    หลินเมิ้งหยาส่งเสียงเย็นชา คาดว่าคนพวกนี้จะต้องเคยชินกับการอยู่ภายใต้อำนาจ ดังนั้นพวกเขาจึงถูกหญิงสาวตรงหน้าทำให้รู้สึกหวาดกลัว

    ฉะนั้น พวกเขาจึงรู้สึกว่าไม่ควรเข้าไปยุ่งกับนาง

    “เจ้า…เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าเพียงแต่ถูกน้ำมันหมูบังตา ก็เลยกล้ามายั่วยุฮูหยินเช่นท่าน”

    พยายามหาข้ออ้างเพื่อปกปิดความจริง แต่หลินเมิ้งหยากลับไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อย

    ป๋ายซูลอบมองเพื่อสำรวจ หากมีการสอดแนมหรือทำอะไรไม่ดี นางสามารถรู้ได้เป็นคนแรก

    เมื่อครู่หลินเมิ้งหยากับป๋ายซูสบตากัน อีกฝ่ายยังคงแสดงสีหน้าไม่รู้เรื่อง

    คาดว่าจะต้องมีคนรู้ว่านางอยู่ที่นี่ ฉะนั้นจึงส่งคนมาทำร้ายนาง

    “ไสหัวไป ฝากบอกคนที่อยู่เบื้องหลังเจ้าด้วยว่าหากกล้ามายุ่งกับข้า ก็จงเตรียมตัวย้ายบ้าน อย่าได้โผล่หน้ามาให้ข้าเห็นอีกเป็นครั้งที่สอง ไม่เช่นนั้น ชีวิตของเจ้าจะดับสูญ”

    ดึงปิ่นปักผมขึ้น เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นอีกครั้ง คุณชายตู้หวาดผวามองทางหลินเมิ้งหยา

    กัดฟัน ยอมรับความพ่ายแพ้

    “พวกเรากลับ!”

    คาดว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเขาจะต้องโกรธอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้หาใช่เวลาสร้างเรื่องต่อไป ผู้หญิงคนนี้น่ากลัวเกินไป

    “ช้าก่อน ทำลายข้าวของของข้า ซ้ำยังต่อยตีผู้ช่วยของข้า แต่ที่สำคัญไปยิ่งไปกว่านั้น พวกเจ้ากล้าทำให้ยัยเด็กน้อยของข้าต้องโมโห คิดหรือว่าจะกลับไปง่าย ๆ เช่นนี้ได้?”

    เสียงยียวนระคนเย็นยะเยือกดังขึ้น ดวงตาของหลินเมิ้งหยาเปล่งประกาย

    เบิกตาโต วิ่งออกไปด้านนอก ก่อนจะได้เห็นร่างอันคุ้นเคย

    “ชิงหู เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่?”

    เขาคือชิงหู คนที่นางส่งให้ไปทำงานให้ นางไม่ได้เจอเขาหลายวันแล้ว ใบหน้าของเขายังคงทะเล้นไม่เปลี่ยนแปลง

    “เจ้าเด็กน้อย เหตุใดจึงเที่ยวเล่นไปทั่ว ข้าหาเจ้าตั้งนาน”

    ชายสวมชุดสีขาวล้วน แต่กลับมีเสน่ห์เย้ายวนมากกว่าเดิมเดินเข้ามา

    สิ่งเดียวที่ยังไม่เปลี่ยนไปคือแววตาอ่อนโยนของเขาเวลามองนาง

    “เจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ใครบอกให้เจ้าไปนานขนาดนั้น ข้าถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ไม่มีใครเป็นเดือดเป็นร้อนแทนข้าเลย”

    มิรู้ว่าเพราะเหตุใด บางทีอาจเพราะบนโลกใบนี้ ชิงหูเป็นเพียงคนเดียวที่พร้อมจะยืนอยู่ข้างนาง โดยไม่จำเป็นต้องถามหาเหตุผล

    ดังนั้น หลินเมิ้งหยาจึงมองเขาเป็นเหมือนญาติสนิทของตนเองคนหนึ่ง

    เดินเข้ามา ไม่สนใจสายตาของผู้อื่น ก่อนจะมองหญิงสาวตรงหน้าขึ้นขึ้นลงลง

    “เอ๋ เจ้าเด็กน้อย เหตุใดเจ้าจึงผอมลงเล่า? หรือหลงเทียนอวี้ไม่ให้ข้าวเจ้ากิน? เข้ามา ยกอาหารที่อร่อยที่สุดประจำร้านมาให้ข้า ของคนอื่นค่อยทำทีหลัง ปล่อยให้พวกเขารอก่อน”

    ชิงหูเป็นคนเอาแต่ใจ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับหลินเมิ้งหยาต้องมาที่หนึ่งเสมอ แม้จะเป็นเทพเซียนหรือฮ่องเต้ก็ต้องรอ

    “ได้เลยขอรับเถ้าแก่ รอสักครู่”

    เสี่ยวเอ้อร์ที่แกล้งนอนตายอยู่บนพื้นเด้งตัวขึ้นมา ก่อนจะรีบวิ่งไปทางห้องครัว

    “นี่…”

    หลินเมิ้งหยาชี้นิ้วไปทางด้านล่าง ทว่าชิงหูกลับหัวเราะตาหยี ก่อนจะดันตัวนางกลับเข้าไปในห้อง

    “วางใจเถิด เจ้าเด็กนั่นมีเก้าชีวิต ไม่ตายง่ายๆ หรอก”

    หญิงสาวทั้งห้ามองหน้ากันเลิ่กลั่ก นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?

    “เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อไร? เหตุใดจึงไม่กลับไปที่จวน? ตรวจสอบเรื่องสกุลเยว่ได้ความว่าอย่างไร?”

    หลินเมิ้งหยานั่งลงบนตั่ง ก่อนจะยิงคำถามระรัว

    ชิงหูมองนางด้วยสายตาตำหนิ

    “เจ้าเด็กไร้หัวใจ ทั้งที่ข้ารีบกลับมาแทบตาย ยังไม่ทันที่ลมหายใจจะกลับมาเป็นปกติ แล้วยังจะให้ข้าตอบคำถามมากมายของเจ้าอีก”

    จิกนิ้วชี้เข้าหานิ้วโป้ง ก่อนจะดีดหน้าผากหลินเมิ้งหยาพลางเอ่ยด้วยความไม่พอใจ