EP.132****กองลาดตระเวน
เมื่อหลินมู่อวี่พูดว่า “เพื่อฉินอิน” ออกมา บรรดาแม่ทัพขุนนางต่างตกตะลึงพรึงเพริด คนจำนวนมากรู้สึกวิตกกังวลแทนเจ้าเด็กโง่เขลาคนนี้ เพราะจักรพรรดิในเวลานี้ยังคงเป็นฉินจิ้น แต่เขากลับกล่าวคำแสดงความจงรักภักดีต่อรัชทายาทองค์ต่อไป ยากที่จะหลีกเลี่ยงมิให้องค์จักรพรรดิทรงพิโรธ แม้กระทั่งเฟิงจี้สิงเองก็ยังขมวดคิ้วแน่น แอบบ่นอยู่ในใจ
“ไอ้เจ้าบ้า ไปแหย่รังแตนจนได้…เถรตรงเสียจริง…”
แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนคาดไม่ถึงก็คือ ฉินจิ้นไม่ได้ทรงพิโรธแต่อย่างใด แต่กลับทรงลุกขึ้นยืน พระหัตถ์จับด้ามกระบี่ประจำองค์จักรพรรดิ แล้วทรงแย้มพระสรวลออกมา “พูดได้ดี ข้าจะจำเอาไว้ เพื่อองค์หญิงฉินอิน เจ้าห้ามทรยศต่อราชวงศ์ตลอดกาล!”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”
“ดี ไปเถอะ!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ฉินเหลยแอบปาดเหงื่อ ยิ้มพูด “ไอ้เจ้าบ้า รีบไปเถอะ ตามข้าไปค่ายทหารอวี้หลิน”
“ขอรับ…”
พอออกจากตำหนักข้าง ก็เคลื่อนขบวนสู่ค่ายทหารอวี้หลิน ค่ายทหารอยู่ภายในเขตพระราชวัง ทุกคนขึ้นม้าแล้วควบออกไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นาน สิ่งปลูกสร้างที่ทำจากก้อนอิฐและหลังคากระเบื้องสีเขียวก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ค่ายทหารอวี้หลินดูหรูหรากว่ากองกำลังรักษาพระองค์อยู่มากนัก ความจริงแล้วที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของตำหนักในพระราชวังที่ถูกจัดสรรให้นำมาใช้เป็นค่ายทหาร นี่ทำให้เห็นถึงสถานะของทหารอวี้หลินในเมืองหลวงได้เป็นอย่างดี
กระโจมของทัพหลวงตั้งอยู่ใจกลางตำหนัก ฉินเหลยลงจากหลังม้าพาหลินมู่อวี่เข้าสู่ภายในพระตำหนัก เห็นใบหน้าอันคุ้นเคยเดินออกมาต้อนรับแต่ไกล ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนนั่นเอง
“อาอวี่ ในที่สุดเจ้าก็เข้าร่วมหน่วยองครักษ์อวี้หลิน!” ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนพูดไปพลางหัวเราะไปพลาง
หลินมู่อวี่กระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย “พี่ฉู่ ตอนนี้เราก็ทำงานด้วยกันแล้ว กลัวแต่ว่าพอเข้าเป็นองครักษ์อวี้หลินแล้วจะไม่ค่อยมีโอกาสไปเยี่ยมพี่ฉู่เหยา”
“ไม่หรอก”
“ทำไมขอรับ” เขางงงวย
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนทำหัวเราะมีเลศนัย “ก็เพราะว่าเจ้าเพิ่งจะได้เข้าเป็นองครักษ์อวี้หลินไงล่ะ!”
“หา?”
ฉินเหลยหัวเราะดัง นั่งลงบนเก้าอี้ของแม่ทัพ พลางกล่าวว่า “เจ้าหน้าที่ บัญชีรายชื่อ!”
ไม่นาน ผู้ที่สวมชุดขุนนางบุ๋นผู้หนึ่งก็หยิบม้วนกระดาษออกมา กล่าวว่า “ผู้บัญชาการฉินเหลย โปรดสั่งการ”
ฉินเหลยลุกขึ้นยืนแล้วประกาศขึ้น “หลินมู่อวี่ องครักษ์อวี้หลินตำแหน่งนายหมู่ ฝ่าบาททรงแต่งตั้งให้เป็น ‘องครักษ์พยัคฆ์’ ด้วยพระองค์เอง เนื่องจากเข้าเป็นองครักษ์อวี้หลินยังไม่ถึงสามเดือน ดังนั้น…ให้ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่กองลาดตระเวนเป็นการชั่วคราว มียศเป็นหัวหน้ากองร้อย บัญชาการทหารอวี้หลินหนึ่งร้อยนาย”
หลินมู่อวี่นิ่งอึ้ง ไม่เข้าใจที่ฉินเหลยพูดเลยสักนิด
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนหัวเราะพลางตบบ่าเขา “เจ้าเด็กน้อย ใช้ได้ทีเดียว เข้าตำหนักเจ๋อเทียนมาก็ได้ตำแหน่งหัวหน้ากองร้อย (มีทหารในสังกัดหนึ่งร้อยนาย) ของกองกำลังอวี้หลินมาครอบครอง ตอนข้าเข้ามาแรกๆ ได้แค่ตำแหน่งอู่ฉาง (มีทหารในสังกัดห้านาย) เอง!”
หลินมู่อวี่ยิ้มกระอักกระอ่วน ก่อนเอ่ยถาม “ใต้เท้าฉินเหลย องครักษ์พยัคฆ์ กองลาดตระเวน มันคืออะไรหรือขอรับ ข้ายังไม่ค่อยจะเข้าใจนัก”
“คืออย่างนี้…”
ฉินเหลยมือจับที่ด้ามของดาบ พลางกล่าวขึ้น “อาอวี่ องครักษ์อวี้หลินมีทั้งสิ้นสองร้อยสี่นาย แบ่งตามภารกิจหน้าที่ได้สามระดับขั้น ขั้นแรกคือ องครักษ์มังกร ทั้งหมดเจ็ดสิบนาย มีหน้าที่อารักขาติดตามฝ่าบาทกับองค์หญิงโดยเฉพาะ ต้องเป็นองครักษ์อวี้หลินอย่างน้อยสามปีถึงจะรับตำแหน่งนี้ได้ ขั้นที่สององครักษ์พยัคฆ์ ทั้งหมดหกสิบเอ็ดนาย รับผิดชอบรักษาความปลอดภัยโดยรอบพระตำหนักเจ๋อเทียน และเจ้าก็เป็นหนึ่งในองครักษ์พยัคฆ์ สุดท้ายขั้นที่สามองครักษ์อินทรี รับผิดชอบตรวจตราและรักษาความปลอดภัยรอบเมืองหลวง”
ฉินเหลยหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อ “เจ้าคือองครักษ์พยัคฆ์ ถือว่าเป็นสวัสดิการที่ดีมากแล้วสำหรับองครักษ์อวี้หลินที่เข้ามาใหม่ ทำให้ดีล่ะ รอเจ้าปฏิบัติหน้าที่ครบหกเดือนข้าจะกราบทูลฝ่าบาทให้เลื่อนตำแหน่งเจ้าขึ้นเป็นองครักษ์มังกรเป็นกรณีพิเศษ! ส่วนกองลาดตระเวน ความจริงแล้วเป็นหน่วยที่จัดตั้งขึ้นมาต่างหาก ในทุกวันจะรับผิดชอบลาดตระเวนรอบนอกพระตำหนักเจ๋อเทียนและคุ้มกันถนนทงเทียน ไม่ได้มีหน้าที่อะไรเป็นพิเศษ แค่รักษาความสงบเรียบร้อยเท่านั้น นี่เป็นเส้นทางที่จะต้องผ่านเพื่อไปสู่การเป็นองครักษ์มังกร ข้ากับเฟิงจี้สิงล้วนไต่เต้าขึ้นมาจากการเป็นองครักษ์พยัคฆ์ทั้งคู่”
หลินมู่อวี่อดที่จะยิ้มไม่ได้ ประสานหมัดคำนับ “อือ ข้าเข้าใจแล้ว!”
“เอาล่ะ” ฉินเหลยลงนั่งอีกครั้ง มองดูม้วนเอกสารบนโต๊ะทำงาน เขาเงยหน้าขึ้นแล้วกล่าว “ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ตอนเจ้าพาอาอวี่ไปรายงานตัวที่กองลาดตระเวน ก็ถือโอกาสช่วยเขาเบิกชุดเกราะองครักษ์อวี้หลินมาสักสามชุด”
“ขอรับ ท่านแม่ทัพ!” ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนทำความเคารพ ไม่ว่าเขากับฉินเหลยจะมีมิตรภาพที่ดีต่อกันเพียงใด แต่ในค่ายทหารยังจำเป็นต้องเคารพนบนอบ นี่ก็คือกฎระเบียบ
นายเสบียงนำชุดเกราะองครักษ์อวี้หลินมาส่งให้สามชุด ล้วนเป็นเครื่องแต่งกายขององครักษ์อวี้หลิน ทว่าหลินมู่อวี่ได้รับสิทธิพิเศษ สามารถใส่ชุดศึกของวิหารศักดิ์สิทธิ์ภายในพระราชวังได้
“มา ติดนี่ซะ”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนทำตัวเหมือนเป็นพี่ชาย ติดเหรียญตรายศทหารสองเหรียญไว้ที่ปกเสื้อให้หลินมู่อวี่ด้วยตัวเอง มันเป็นตรายศทหารสีเงินอันหนึ่ง เป็นรูปหัวเสือที่ดูองอาจ เป็นตัวแทนขององครักษ์พยัคฆ์ ที่ด้านหลังปักไว้ด้วยดาวสีเงินสามดวง นี่คือเหรียญตราหัวหน้ากองร้อยแห่งจักรวรรดิ ในนาทีนี้ถือว่าหลินมู่อวี่คือนายทหารระดับกลางของกองทัพแล้ว
“ไปกันเถอะ!”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนขึ้นบนหลังม้า และมองหลินมู่อวี่อย่างแฝงด้วยความหมายลึกซึ้ง “แต่อาอวี่ เจ้าต้องระวังตัวไว้ด้วย หัวหน้ากองลาดตระเวนคือใต้เท้าปี้ฝาน ตอนที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวนอยู่นั้นต้องระวังให้มาก อย่าได้ไปยั่วยุใต้เท้าปี้ฝานเด็ดขาด มิเช่นนั้นเขาไม่ปล่อยเจ้าแน่…”
“หา?”
หลินมู่อวี่ชะงักไป ออกมาจากหนทางอันมืดมิดได้นับว่ามิใช่เรื่องง่าย ยังหลงคิดไปว่าเข้ามาในตำหนักเจ๋อเทียนแล้วคงจะหมดเรื่อง คิดไม่ถึงว่ามาถึงที่นี่ยังคงต้องทำประจบประแจงอีก
ห่างไปไม่ไกลนัก องครักษ์อวี้หลินที่สวมชุดขาวกลุ่มหนึ่งควบม้าเข้ามาด้วยความเร็ว เมื่อเข้ามาใกล้แล้วก็ทยอยลงจากหลังม้า ยืนเรียงแถวทำความเคารพหลินมู่อวี่ ผู้ที่เป็นหัวหน้าพร้อมเอ่ยขึ้นว่า
“ข้าน้อยเว่ยโฉว นำพี่น้ององครักษ์อวี้หลินเก้านายมารายงานตัว ใต้เท้าหลินมู่อวี่ นับจากวันนี้ไปท่านคือผู้บัญชาการโดยตรงของพวกข้า พวกข้าจะติดตามท่านไปรายงานตัวที่กองลาดตระเวนขอรับ”
“เว่ยโฉว?” หลินมู่อวี่แอบปีติยินดีมิได้ เว่ยโฉวผู้นี้ดูท่าทางซื่อสัตย์สุจริต บุคลิกองอาจผึ่งผาย มีผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นนี้นับว่าสวรรค์เมตตา เขาพยักหน้า “ได้ พวกเราออกเดินทางเลยเถอะ!”
“ขอรับ!”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนไม่ได้ไปส่งไกลนัก วันนี้เขาต้องเข้าเวรปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวนภายในพระราชวัง ดังนั้นพวกหลินมู่อวี่จึงต้องไปกองลาดตระเวนกันเอง
เสียงฝีเท้าม้าดังก้องกังวานอยู่ภายในเขตพระราชฐาน ที่ชั้นนอกสุดของพระตำหนักเจ๋อเทียน กลุ่มสิ่งปลูกสร้างที่ดูออกจะโบราณสักหน่อยตระหง่านอยู่ ดูน่าเกรงขามเป็นพิเศษ แผ่นป้ายที่แขวนไว้เหนือประตูเขียนตัวอักษรขนาดใหญ่ว่า — กองลาดตระเวน
หลินมู่อวี่ในมือถือจดหมาย นำองครักษ์อวี้หลินทั้งสิบนายเดินเข้าไป กล่าวกับทหารยามว่า “องครักษ์พยัคฆ์คนใหม่หลินมู่อวี่ นำองครักษ์อวี้หลินสิบนายมารับคำสั่งขอรับ!”
มีเสียงดังออกมาจากภายในห้องโถง “ที่แท้ก็เป็นท่านหลินมู่อวี่มาเยือนกองลาดตระเวน เข้ามาเถอะ!”
“ขอรับ!”
หลินมู่อวี่จับชุดศึกยกขึ้น เพื่อเดินข้ามธรณีประตูสีดำสูงเข้าไปยังกองลาดตระเวน เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นองครักษ์อวี้หลินยืนเรียงแถวสองด้านด้วยสีหน้าเคารพนบนอบ ด้านในสุดของห้องโถงคือโต๊ะที่หลอมด้วยเหล็กกล้า นายทหารที่ไว้เครายาวผู้หนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น เขาเงยหน้ามองหลินมู่อวี่ ยิ้มแย้มแล้วเอ่ย
“ได้ยินชื่อเสียงของหลินมู่อวี่มานาน วันนี้ได้เจอตัวจริง เป็นเกียรติยิ่งนัก!”
“ข้าน้อยหลินมู่อวี่คารวะใต้เท้าปี้ฝาน” หลินมู่อวี่ยังคงแสดงความเคารพนบนอบ
ปี้ฝานพยักหน้า ก่อนเอ่ยขึ้น “หลินมู่อวี่ กองลาดตระเวนเดิมมีทั้งสิ้นห้าหน่วย วันนี้เพิ่มหน่วยของเจ้าเข้าไปก็เป็นหกหน่วย แต่ละหน่วยในทุกเดือนจะต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นเวลาสิบวัน เจ็ดวันจากนี้ หน่วยของเจ้ารับผิดชอบลาดตระเวนที่ถนนทงเทียน เข้าใจหรือไม่”
“ขอรับ!”
“ดี”
ฉับพลันปี้ฝานก็หรี่ตาลง “ได้ยินว่าท่านเคยช่วยชีวิตองค์หญิงฉินอินในป่าล่ามังกร?”
“ขอรับ…”
“ฮึ!” ปี้ฝานลุกขึ้นยืน ประสานมือคารวะแล้วยิ้มกล่าว “เช่นนั้นใต้เท้าหลินมู่อวี่ก็เป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตองค์รัชทายาท ข้าน้อยปี้ฝานขอคารวะ”
หลินมู่อวี่อดที่จะรู้สึกไม่สบายใจ เขาขมวดคิ้ว และกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ใต้เท้า ท่านเกรงใจไปแล้ว”
“เอาล่ะ!”
ปี้ฝานพูดขึ้น “ท่านไปที่ค่าย เลือกผู้ใต้บังคับบัญชาจากทหารอวี้หลินมาหนึ่งร้อยนาย วันนี้ความปลอดภัยของถนนทงเทียนจะมอบให้ท่านดูแล แต่เจ้าต้องจำไว้ให้ดีว่าถนนทงเทียนเลขที่สามสิบถึงห้าสิบ จะต้องตรวจตราอย่างระมัดระวัง ห้ามก่อความวุ่นวายที่นั่น มิเช่นนั้น…ข้าจะไม่ปล่อยท่านไว้แน่ ถึงแม้ท่านจะเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตองค์หญิงฉินอินไว้ก็ตาม”
“ขอรับ!”
หลินมู่อวี่ประสานหมัดคารวะ “เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน!”
“ไปเถอะ”
เมื่อพ้นประตูออกมา พวกเว่ยโฉวก็ตามหลินมู่อวี่มาติดๆ หลินมู่อวี่ขมวดคิ้ว “ที่ใต้เท้าปี้ฝานพูดว่าเลขที่สามสิบถึงห้าสิบ มันหมายถึงอะไรหรือ ใครอยู่ที่นั่น”
เว่ยโฉวควบม้าขึ้นมาเคียงคู่กับหลินมู่อวี่ กดเสียงให้ต่ำลงก่อนพูดขึ้น “ท่านแม่ทัพ เลขที่สามสิบถึงห้าสิบประกอบไปด้วยบ่อนการพนัน ซ่องโสเภณี สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า โรงกษาปณ์ และสถานรับเลี้ยงดูที่ใหญ่ที่สุดในจักรวรรดิ เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของจักวรรดิ ที่นั่นมีผู้ที่มั่งคั่งร่ำรวย แต่ก็ซ่อนเร้นการต่อสู้แย่งชิงทั้งต่อหน้าและลับหลัง เท่าที่ข้าทราบ เจ้าของบ่อนพนันกับซ่องโสเภณีเป็นคนที่คุ้นเคยกับใต้เท้าปี้ฝาน ดังนั้นตอนพวกเราลาดตระเวนที่นั่น ไม่ว่าพบเห็นอะไรก็ต้องทำเป็นมองไม่เห็น”
“งั้นหรือ”
หลินมู่อวี่เลิกคิ้ว “เช่นนั้นจะมีกองลาดตระเวนของพวกเราไว้อยู่ทำไม”
เว่ยโฉวตกตะลึง ถามหยั่งเชิงดู “หรือว่าท่านแม่ทัพไม่กลัวโดนสืบสวนจากใต้เท้าปี้ฝาน”
หลินมู่อวี่หัวเราะอย่างองอาจ “พวกเราเป็นองครักษ์อวี้หลินต้องไม่ทำให้ชุดสีขาวนี้แปดเปื้อน จะให้เกิดรอยด่างพร้อยบนชุดนี้ได้อย่างไร ข้าหลินมู่อวี่ราศีกันย์ ผู้รักความสมบูรณ์แบบ จะไม่ยอมให้เกิดความผิดพลาดอย่างแน่นอน เว่ยโฉว เจ้าว่าข้าพูดถูกหรือไม่”
เว่ยโฉวตกตะลึง ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องว่าราศีกันย์คืออะไร แต่ก็ยังคงรู้สึกฮึกเหิม เขารีบประสานหมัดขึ้นก่อนพูด
“หากท่านแม่ทัพทำเพื่อแผ่นดินจริงๆ เช่นนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าเว่ยโฉวสาบานว่าจะร่วมเป็นร่วมตายกับท่านแม่ทัพขอรับ!”
“ดี!”
เมื่อมาถึงค่ายทหารอวี้หลิน หลินมู่อวี่ก็คัดเลือกผู้ที่มีความสามารถยอดเยี่ยมมาหนึ่งร้อยนาย บวกกับองครักษ์อวี้หลินอีกสิบนาย ทหารทั้งหนึ่งร้อยสิบนายนี้เป็นกำลังทหารที่หลินมู่อวี่มีไว้ในครอบครอง เขานำทหารทั้งหนึ่งร้อยสิบนายออกจากตำหนักเจ๋อเทียน ค่อยๆ ขี่ม้าเข้าสู่ถนนทงเทียน ชุดศึกสีขาวของหลินมู่อวี่ปลิวสะบัด ให้ความรู้สึกน่าภาคภูมิใจยิ่งนัก
ถนนทงเทียนเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งจักรวรรดิ มีทั้งหมดสองพันครัวเรือน ดังนั้นจึงได้แต่แบ่งกำลังออกลาดตระเวนเป็นสิบกลุ่ม หลินมู่อวี่นำกลุ่มสิบเอ็ดคนด้วยตนเอง หนึ่งในนั้นรวมถึงเว่ยโฉวองครักษ์อวี้หลิน บวกกับทหารม้าอวี้หลินอีกสิบนาย และเป้าหมายในการลาดตระเวนก็คือเลขที่สามสิบถึงห้าสิบ ในเมื่อปี้ฝานเป็นเสือแก่ ด้วยนิสัยของหลินมู่อวี่ก็ต้องลองลูบก้นของเสือแก่ตัวนี้สักหน่อยแล้ว