EP.131****เพื่อฉินอิน
วันรุ่งขึ้น ที่ศาลาน้ำชาของวิหารศักดิ์สิทธิ์ เกอหยางนั่งอยู่ตรงข้ามเหลยหง เขาหลับตาสูดกลิ่นหอมของชาที่เป็นบรรณาการมาจากหลิ่งหนาน ส่วนเหลยหงนั่งขัดสมาธิอยู่ฝั่งตรงข้าม ปราณยุทธ์จางๆ แผ่ออกมา การต่อสู้กับเจิ้งอี้ฝานทำให้เขาได้รับบาดเจ็บหนัก ยังต้องโคจรลมปราณรักษาอาการบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง
“เป็นอย่างไรบ้าง” เกอหยางลืมตาและถามขึ้น
เหลยหงลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วตอบ “อาการบาดเจ็บของอวัยวะภายในหายดีแล้ว โอสถที่สมาพันธ์โอสถส่งมาใช้ได้ดีทีเดียว เพียงแต่อาการบาดเจ็บในชีพจรนั้นยังขจัดไม่หมด เฮ้อ…ข้าคำนวณผิดเอง ครั้งก่อนที่ประมือกับเจิ้งอี้ฝานคือเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนนั้นเขาเป็นแค่ขอบเขตนภาชั้นที่หนึ่งเอง คิดไม่ถึงว่าเขาใช้เวลาสิบกว่าปีทะลวงขึ้นมาถึงขอบเขตปราชญ์แล้ว แถมเคล็ดวิญญาณน้ำแข็งของเขายังร้ายกาจขึ้นมากด้วย”
เกอหยางยิ้มบางๆ “วางใจเถอะ ครั้งก่อนพวกเราตั้งรับไม่ทัน หลังจากนี้เตรียมการป้องกันให้ดีขึ้น ข้ายื่นเรื่องขอพลธนูจำนวนสองร้อยนายจากกองทหารรักษาพระองค์เพื่อมาเฝ้าคุ้มกันวิหารศักดิ์สิทธิ์แล้ว หากเจิ้งอี้ฝานบุกมาอีก ปราณยุทธ์วิญญาณน้ำแข็งคงต้านทานลูกธนูนับหมื่นดอกไม่ได้หรอกกระมัง”
“อืม คงต้องเป็นแบบนี้แล้วล่ะ”
และในตอนนี้เอง ทหารรักษาการณ์นายหนึ่งเดินมาตามระเบียงทางเดินทึ่เต็มไปด้วยเถาวัลย์เขียว เขาทำความเคารพแล้วกล่าวขึ้น “ผู้ดูแลอาวุโส ผู้บัญชาการองครักษ์อวี้หลินฉินเหลยแห่งตำหนักเจ๋อเทียนขอเข้าพบขอรับ!”
“หือ? ฉินเหลย?” เหลยหงงุนงง “ให้เขาเข้ามาเถอะ”
“ขอรับ!”
……
ไม่นานนัก ฉินเหลยที่สวมชุดคลุมขาว มือจับด้ามกระบี่เดินนำองครักษ์อวี้หลินสองสามนายเข้ามาในวิหารใหญ่ ประสานมือคารวะแล้วกล่าว “ผู้น้อยฉินเหลยคารวะผู้ดูแลอาวุโสเหลยหง!”
เหลยหงลุกขึ้นยืนแล้วยิ้ม“แม่ทัพฉินเหลยมาเยือน ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดหรือ”
“เป็นเรื่องเกี่ยวกับใต้เท้าหลินมู่อวี่ขอรับ”
“หืม?” เหลยหงหรี่ตาลง “อาอวี่เขาทำไมหรือ”
ฉินเหลยยกมือจับท้ายทอย ยิ้มแบบกระดากอายอยู่นิดหน่อย “ฝ่าบาททรงพระราชทานอนุญาตให้หลินมู่อวี่เข้าร่วมหน่วยองครักษ์อวี้หลิน เป็นสมาชิกคนหนึ่งของหน่วยองครักษ์อวี้หลินสองร้อยนาย นี่คือพระราชโองการลายพระหัตถ์ของฝ่าบาทขอรับ!”
“อะไรนะ!”
เหลยหงโกรธจนเคราชี้ ตบโต๊ะน้ำชาจนแตกกระจุย ถลึงตาใส่ฉินเหลย “นี่…นี่มันจะเกินไปแล้ว! ฝ่าบาททรงถามความเห็นของข้าหรือยัง อาอวี่เป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของวิหารศักดิ์สิทธิ์ ข้าตั้งความหวังกับเขาไว้สูงมาก หน่วยองครักษ์อวี้หลินมีสิทธิ์อะไรจะเอาคนของข้าไป ไม่ได้ ข้าเหลยหงไม่เห็นด้วยที่จะให้อาอวี่ไปเป็นองครักษ์อวี้หลินเด็ดขาด!”
ฉินเหลยยิ้มกว้าง ยิ่งเพิ่มความกระดากอายขึ้นไปอีก ประสานมือกล่าว “ผู้ดูแลอาวุโสอย่าเพิ่งมีโทสะสิขอรับ ความจริงแล้วฝ่าบาทเองก็พิจารณาถึงเรื่องที่ท่านคงไม่ปล่อยให้อาอวี่ออกจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้น…ฝ่าบาทจึงตรัสว่า อาอวี่ไม่ต้องออกจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ แต่ให้ควบตำแหน่งองครักษ์อวี้หลินด้วย แต่ละเดือนให้เข้าตำหนักเจ๋อเทียนทำหน้าที่องครักษ์อวี้หลินเป็นเวลาครึ่งเดือน อีกครึ่งเดือนที่เหลือก็ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยฝึกดาวสีทองแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ต่อ”
“จริงหรือ?”
เหลยหงลูบเครามองฉินเหลย “ท่านอ๋องน้อยฉินเหลย ท่านอย่าได้หลอกข้านะ”
ฉินเหลยอดหัวเราะไม่ได้ “ข้าน้อยไหนเลยจะกล้าหลอกท่านผู้ดูแลอาวุโส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการแล้ว หลังจากอาอวี่กลายเป็นองครักษ์อวี้หลิน สามารถติดสัญลักษณ์ของวิหารศักดิ์สิทธิ์อยู่ในวังหลวงได้ และยศขุนนางของอาอวี่ก็ยึดตามวิหารศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่จากหน่วยองครักษ์อวี้หลิน ชื่อเสียงเกียรติยศและความดีความชอบทุกอย่างล้วนเป็นของวิหารศักดิ์สิทธิ์ ผู้ดูแลอาวุโสว่าอย่างไรขอรับ”
“แบบนี้ค่อยยังชั่ว”
เหลยหงจึงได้ลูบเคราช้าๆ แล้วยิ้มกล่าว “ผู้ดูแลเกอหยาง ท่านไปเรียกอาอวี่มาเถอะ กำชับเขาเรื่องนี้ แล้วให้เขาเก็บสัมภาระ ตามแม่ทัพฉินเหลยไปรายงานตัวที่ตำหนักเจ๋อเทียน แต่ทุกครึ่งเดือนต้องกลับวิหารศักดิ์สิทธิ์ เขาเป็นคนของวิหารศักดิ์สิทธ์ ต้องอยู่กับวิหารศักดิ์สิทธิ์! หากเขาไม่จะกลับมา ข้าจะแบกหน้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาททวงคนของวิหารกลับมาเอง!”
เกอหยางกลั้นหัวเราะ ประสานมือกล่าว “ขอรับ ผู้ดูแลอาวุโส!”
ฉินเหลยยืนอยู่ด้านข้างอย่างนอบน้อม
แสงแดดยามเช้าสาดส่องลงมาบนศาลากลางน้ำ เหลยหงยังคงดื่มชาต่อ หรือบางทีอาจจะกำลังโมโหจริงๆ จึงไม่ได้ให้ฉินเหลยนั่งลง ไม่มีแม้แต่น้ำชา แต่ฉินเหลยเป็นผู้น้อยไม่ได้เก็บมาคิดอะไรมาก เพียงแค่ถือดาบอัสนีทลายคอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ด้านข้าง เหลยหงและชวีฉู่เป็นขอบเขตปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองของจักรวรรดิ อารมณ์ร้ายของเขาก็มีชื่อเสียงในใต้หล้าเช่นกัน ฉินเหลยจึงไม่กล้าไปกระตุกหนวดเสือ
ไม่นานนัก หลินมู่อวี่ในชุดขาวของวิหารศักดิ์สิทธิ์ปรากฏตัวขึ้นที่ระเบียงศาลาบนน้ำ ฝีเท้าหนักแน่น พูดคุยยิ้มแย้มกับผู้ดูแลเกอหยางด้วยท่าทางเคารพพลางเดินเข้ามา หลังจากเดินเข้ามาใกล้ เขาก็เข้าใจเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นทั้งหมด
“อาอวี่”
เหลยหงมองเขาด้วยแววตาที่เป็นประกาย กล่าว “เจ้ายินยอมที่จะเข้าร่วมหน่วยองครักษ์อวี้หลินหรือไม่”
เกอหยางที่อยู่ด้านข้างกล่าว “เมื่อเข้าร่วมหน่วยองครักษ์อวี้หลิน สถานะของเจ้าก็เปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นทหารขององค์จักรพรรดิผู้หนึ่ง นี่เป็นเกียรติอย่างหาที่สุดมิได้ และขึ้นตรงกับองค์จักรพรรดิโดยตรง ซึ่งหมายความว่า…จวนเสินโหวและค่ายเสินเวยไม่อาจจะทำอะไรเจ้าได้”
หลินมู่อวี่ทราบถึงเจตนาดีของท่านปู่ทั้งสอง จึงประสานมือคำนับและกล่าว “หลินมู่อวี่ยินดีปฏิบัติตามขอรับ!”
“ดี!”
เหลยหงหรี่ดวงตาทั้งสองข้าง แล้วยิ้มพูด “การเป็นองครักษ์อวี้หลินเป็นเรื่องที่ยอดฝีมือในใต้หล้าต่างใฝ่ฝัน ผู้บัญชาการเฟิงจี้สิงกราบทูลเสนอชื่อเจ้าด้วยตนเอง เจ้าอย่าได้ทำให้ใต้เท้าเฟิงจี้สิงผิดหวังเสียล่ะ แต่ปู่ยังต้องบอกเจ้าไว้ก่อน เจ้าเป็นคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์ตลอดไป ตั้งแต่วันที่เข้ามาในวิหารศักดิ์สิทธิ์ วิญญาณของเจ้าก็มีตราประทับของพวกเราวิหารศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะบินสูงแค่ไหนหรือไกลเพียงใด เจ้าต้องกลับมาวิหารศักดิ์สิทธิ์ เข้าใจใช่หรือไม่อาอวี่”
ร่างของหลินมู่อวี่สั่นเทา นัยน์ตามีความเด็ดเดี่ยว พูดขึ้น “ท่านปู่เหลยหง ท่านโปรดวางใจ วิหารศักดิ์สิทธิ์คือบ้านของข้า ข้าต้องกลับมาอยู่แล้วขอรับ!”
“อืม ดี เก็บของแล้วก็เดินทางเถอะ!”
“ขอรับ!”
ฉินเหลยที่อยู่ด้านข้างตบไหล่หลินมู่อวี่เบาๆ แล้วโอบกอดอย่างสนิทสนม “น้องชาย จากนี้พวกเราก็สามารถทำหน้าที่ด้วยกันแล้ว องครักษ์อวี้หลินมียอดฝีมือมหัศจรรย์ที่มีวิญญาณยุทธ์น้ำเต้าอยู่ในมืออย่างเจ้าเพิ่มขึ้นมา เป็นเรื่องดีจริงๆ!”
หลินมู่อวี่ “……”
……
ช่วงบ่าย หลังจากเก็บข้าวของเสร็จแล้ว เกอหยางมอบม้าตัวที่หลินมู่อวี่ขี่บ่อยที่สุดให้แก่เขา หลินมู่อวี่สะพายกระบี่เหลียวหยวน มือถือทวนหลีฮวาที่ห่อด้วยผ้าสีดำไว้และพลิกตัวขึ้นม้า ตามพวกฉินเหลยออกจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ เหลยหง เกอหยาง จางเหว่ยและคนอื่นๆ มาส่งเขาถึงหน้าประตูใหญ่
จางเหว่ยประสานมือคำนับ และยิ้มกล่าว “ท่านหลินมู่อวี่ พวกเราจะต้องได้พบกันอีก!”
หลินมู่อวี่เองก็ประสานมือขึ้น “ท่านจางเหว่ยก็พยายามเข้า!”
“ข้าจะพยายาม!”
ที่เรียกว่ามิตรภาพของบุรุษก็คงจะประมาณแบบพวกเขาเช่นนี้ หลินมู่อวี่และจางเหว่ยไม่เคยไปสถานที่อย่างพวกโรงสุรา แต่กลับเกิดมิตรภาพลูกผู้ชายที่ฝากชีวิตกันและกันได้ มิตรภาพระหว่างลูกผู้ชายแบบนี้เป็นสิ่งที่ผู้หญิงไม่มีทางเข้าใจ
หลังจากร่ำลาแล้ว ก็เดินทางทะลุถนนทงเทียนเข้าสู่ตำหนักเจ๋อเทียน
เมื่อพวกเขาผ่านคูน้ำที่อยู่รอบกำแพงของตำหนักเจ๋อเทียน “ตึง ตึง ตึง” เสียงกลองดังติดต่อกันสามครั้ง คล้ายกับต้อนรับหลินมู่อวี่ที่เป็นสมาชิกใหม่ ฉินเหลยถือดาบอัสนีทลายเดินเข้าไปอย่างช้าๆ เหล่าทหารอวี้หลินสองข้างทางพากันคุกเข่าลงข้างหนึ่งแสดงความเคารพแบบทหาร บรรยากาศเย็นยะเยือก ที่ตำหนักเจ๋อเทียน ฉินเหลยเป็นเหมือนแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้ แม้แต่ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์เฟิงจี้สิงเองก็เทียบเขาไม่ได้ เพราะอย่างไรเสียคนบนแผ่นดินนี้ก็ให้ความสำคัญเรื่องสายเลือด ฉินเหลยมีสายเลือดของราชวงศ์ แต่เฟิงจี้สิงนั้นเป็นสามัญชน ความแตกต่างที่ราวฟ้ากับดินนี้ไม่มีทางเติมเต็มได้ตลอดกาล
“อาอวี่ เพราะว่าเจ้าเป็นสมาชิกคนหนึ่งของวิหารศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นพิธีแต่งตั้งเจ้าเป็นองครักษ์อวี้หลินนั้น ฝ่าบาทจะทรงดำเนินการด้วยพระองค์เอง ไปเถอะ พวกเราไปเข้าเฝ้าที่ตำหนักข้างในตำหนักเจ๋อเทียน ฝ่าบาททรงรออยู่ที่นั่นแล้ว…”
“อืม ขอรับ…” หลินมู่อวี่รู้สึกกระวนกระวายใจอยู่บ้าง นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาพบจักรพรรดิฉินจิ้นกระมัง
ทว่าเขากลับมีความหวังเล็กๆ อยู่ ในสมองของเขาปรากฏใบหน้าอันงดงามขององค์หญิงฉินอิน ครั้งนี้จะได้พบฉินอินหรือไม่นะ แม้ว่าเขากับฉินอินจะเคยเจอกันเพียงสองครั้ง แต่รัชทายาทที่เข้ากับคนง่าย น่ารักมีชีวิตชีวาผู้นี้ กลับประทับความงามของนางที่ไม่อาจลืมได้ไปชั่วชีวิตไว้ในใจเขา
“ตึง ตึง ตึง…”
เสียงกลองศึกดังขึ้นอีกครั้ง องครักษ์อวี้หลินยืนเรียงรายตลอดทาง เมืองหลวงมีทหารอวี้หลินทั้งหมดเจ็ดพันนาย สองร้อยนายที่โดดเด่นเท่านั้นถึงจะถูกเรียกว่าองครักษ์อวี้หลิน ผู้ที่คุ้มกันข้างกายองค์จักรพรรดิและองค์หญิงนั้นล้วนเป็นองครักษ์อวี้หลิน นี่เป็นเกียรติยศพิเศษอย่างหนึ่ง เป็นเกียรติยศที่ทหารอวี้หลินธรรมดาไม่อาจจะได้รับ
แม้ว่าหลินมู่อวี่จะมาจากอีกโลกหนึ่ง แต่กล้าหาญและควบคุมตนเองได้ดีกว่าคนที่นี่มาก แต่วินาทีนี้ เมื่อเห็นตำหนักที่เรียงรายต่อกันยาวไม่มีที่สิ้นสุดและเหล่าองครักษ์ที่แน่นเหมือนผืนป่า เขาก็ยังรู้สึกสะท้านอยู่ในใจ โลกใบนี้เหมือนกับบ่อโคลนที่บิดเบี้ยวไม่หยุด พัดพาเขาเข้าไปจนจมลึกอยู่ในนั้น
ฉินเหลยเดินนำอยู่ข้างหน้า ชุดคลุมขาวด้านหลังพลิ้วไหว บนนั้นปักลายดอกจื่ออินสีทอง นี่เป็นสัญลักษณ์ขององครักษ์อวี้หลินชุดขาว เป็นผู้ที่มีฝีมือโดดเด่นในจำนวนองครักษ์อวี้หลินสองร้อยนาย ซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่คนบนแผ่นดิน
ณ ห้องโถงของตำหนักข้าง จักรพรรดิฉินจิ้นนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรอย่างน่าเกรงขาม ทรงมองกลุ่มทหารและองครักษ์อวี้หลินด้านล่างด้วยสายพระเนตรที่สงบนิ่ง
หลินมู่อวี่มองไปรอบๆ ก็เห็นเฟิงจี้สิง และสีหน้าของพี่ใหญ่เฟิงจี้สิงผู้นี้ดูดุดันเป็นอย่างยิ่ง แต่จังหวะที่ประสานสายตากัน เขาก็ยิ้มมุมปาก ทำให้จิตใจของหลินมู่อวี่ที่กระวนกระวายสงบลง เขารู้ดี ถึงแม้ตำหนักเจ๋อเทียนจะมีอิทธิพลซ่อนอยู่ลึกขนาดไหน ก็ไม่เป็นไร เพราะที่นี่มีพี่ชายสองคนนี้อยู่
ฉินเหลยก้าวขึ้นหน้า ประสานมือคารวะ “ฝ่าบาท กระหม่อมพาหลินมู่อวี่มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินจิ้นพยักพระพักตร์ “ประกาศราชโองการ!”
ขันทีที่อยู่ด้านข้างก้าวขึ้นมาข้างหน้า คลี่ม้วนราชโองการสีทองออก กล่าวเสียงดังกังวาน “หลินมู่อวี่ สามัญชน ผู้ช่วยฝึกดาวสีทองประจำวิหารศักดิ์สิทธิ์ ขอบเขตนภาชั้นที่หนึ่ง เนื่องจากมีความดีความชอบที่เคยคุ้มครององค์หญิงอินที่ป่าล่ามังกร จึงโปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็นองครักษ์อวี้หลินเป็นกรณีพิเศษ พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นชนชั้นสูงระดับสาม รับตำแหน่งหัวหน้ากององครักษ์อวี้หลินสิบนาย ประจำหน่วยพยัคฆ์ชั่วคราว หวังว่าจากนี้ไปเจ้าจะอุทิศรับใช้จักรวรรดิ จงรักภักดีต่อราชวงศ์ฉิน!”
ฉินเหลยส่งสายตาเป็นนัย พูดเสียงเบา “เจ้าโง่ ยังไม่รีบขอบพระทัยฝ่าบาทอีก”
หลินมู่อวี่ชะงัก ไฉนเลยจะเข้าใจพิธีการมายมายขนาดนั้น จึงก้าวขึ้นไปรับราชโองการ จากนั้นก็ทำเคารพแบบทหารของจักรวรรดิต่อฉินจิ้นที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ กล่าวด้วยความเคารพ “ข้าหลินมู่อวี่สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อราชวงศ์ ไม่ทรยศอย่างเด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ!”
……
ตามหลักแล้ว เมื่อรับตำแหน่งองครักษ์อวี้หลินจะต้องทำความเคารพแบบจิ่วไป้ (การทำความเคารพด้วยการคุกเข่าลงในสมัยจีนโบราณ มีทั้งหมดเก้าแบบ ขึ้นอยู่กับโอกาสและผู้ที่รับการแสดงความเคารพ) แต่หลินมู่อวี่ไม่ได้กระทำเช่นนั้น กลับใช้การทำความเคารพแบบทหารผู้หนึ่งแสดงความเคารพองค์จักรพรรดิ ไม่เพียงทำให้ฉินจิ้นไม่พอพระทัย ทรงขมวดพระขนงและตรัสขึ้น “หลินมู่อวี่ ทำไมเจ้าถึงปฏิญาณภักดีต่อราชวงศ์ เป็นเพราะข้าหรือ”
หลินมู่อวี่ชะงัก
สายพระเนตรของฉินจิ้นกลับยิ่งคบกริบ ราวกับลูกธนูแหลมคมแทงทะลุวิญญาณของเขา ตรัสขึ้น “ตอบมาตามจริง อย่าได้โกหก เจ้าปฏิญาณภักดีต่อราชวงศ์ด้วยเหตุผลอันใด”
หลินมู่อวี่เงยหน้ามองฉินจิ้น นัยน์ตาของทั้งคู่ประสานกัน ไม่ถอยให้แม้แต่นิดเดียว
หลังจากผ่านไปหลายวินาที เขากล่าวด้วยความเยือกเย็น “ข้าเต็มใจถวายความภักดีต่อราชวงศ์เพื่อองค์หญิงฉินอินพ่ะย่ะค่ะ”